เซวียเสี่ยวหรั่นนอนไม่หลับทั้งคืนเพราะคำพูดของเหลียนเซวียน
ตอนเช้ายามตื่นขึ้นมาใต้ขอบตาจึงคล้ำ
ยามชิงเยว่เกล้าผมให้ เห็นสีผิวของนางจึงกระซิบถาม
"คุณหนูจะทาแป้งบางๆ หรือไม่"
ทาแป้ง? การทาแป้งในวันอากาศร้อนจัดแบบนี้ไม่เท่ากับหาเหาใส่หัวหรือ เซวียเสี่ยวหรั่นมองตนเองในคันฉ่อง ก็เห็นรอยหมองคล้ำใต้ดวงตา
"ไม่ต้องหรอก" คล้ำก็คล้ำสิ เมื่อก่อนตอนอ่านหนังสือถึงเช้าคล้ำยิ่งกว่านี้อีก
เซวียเสี่ยวหรั่นสั่นศีรษะ ล้างหน้าสะอาดแล้วก็ออกไปเรือนด้านหน้า
เธอตื่นค่อนข้างเช้า เพราะมีเื่บางอย่างกวนใจ อูหลันฮวากับเซวียเสี่ยวเหล่ยฝึกกระบองอยู่เรือนหน้า เสียงเฮ่ย! ย่าห์! ดังเข้าหูไม่ขาดสาย
เซวียเสี่ยวหรั่นนั่งลงบนเก้าอี้หินด้านข้าง ยกมือเท้าคางมองพวกเขาฝึกกระบอง
อูหลันฮวาแรงเยอะ กระบองยาวในมือนางร่ายรำดุจพยัคฆ์คำราม เซวียเสี่ยวเหล่ยรูปร่างเล็ก แรงก็ค่อนข้างน้อย แต่เคลื่อนไหวคล่องแคล่วปราดเปรียว ะโหลบไปมาอย่างว่องไว
ทั้งสองฝึกคู่กัน ย่อมจะสู้พอเป็พิธี
หลังจากนั้นหนึ่งเค่อ ทั้งสองก็หยุดมือพร้อมกับเหงื่อท่วมตัว
"คุณหนู วันนี้ไยท่านตื่นเช้านักเล่า"
อูหลันฮวาหายใจหอบเดินเข้ามา
"ข้าจะขยันสักวันไม่ได้หรือไง" เซวียเสี่ยวหรั่นทำปากยื่น ตอนไปโรงเรียน เธอต้องตื่นหกโมงทุกวัน
"ฮิๆ" อูหลันฮวาหัวเราะคิกคัก
"พี่สาว" เซวียเสี่ยวเหล่ยรับผ้าจากตู้ซานมาเช็ดเหงื่อที่หน้าผากและลำคอ
"เสี่ยวเหล่ย เหนื่อยหรือไม่" เห็นใบหน้าของเขาแดงก่ำ แต่เซวียเสี่ยวหรั่นยังเห็นด้วยที่เขาฝึกกระบองทุกวัน อย่างน้อยสุขภาพก็ดูแข็งแรงขึ้นมาก
"ไม่เหนื่อยขอรับ" เซวียเสี่ยวเหล่ยสั่นศีรษะ ทุกวันนี้พวกเขายังฝึกไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ระดับการฝึกยังห่างกับคำว่าเพียงพออีกไกล องครักษ์เหลยกล่าวว่า เมื่อก่อนที่พวกเขาฝึกฝน ตั้งฝึกถึงวันละสามสี่ชั่วยาม
เซวียเสี่ยวเหล่ยไม่รู้สึกเหนื่อยสักนิด ทุกวันกินอิ่มนอนหลับ เรียนหนังสือฝึกยุทธ์ไม่อาจนับว่าเหนื่อยอะไร
"อืม ทำเท่าที่ไหวก็พอ อย่าให้ตนเองเหนื่อยเกินไป" เซวียเสี่ยวหรั่นมีความคิดเปิดกว้าง ไม่อยากให้เซวียเสี่ยวเหล่ยกดดันตนเองเกินไป
"พี่สาว ข้าทราบขอรับ" เซวียเสี่ยวเหล่ยพยักหน้า
ปากเอ่ยว่ารู้ แต่ท่าทางกลับมีแต่ความจริงจัง เซวียเสี่ยวหรั่นรู้สึกจนปัญญา
หลังมื้อเช้า หญิงปักผ้าหลินเหนียงจื่อก็มาพบ ถือผ้าที่ปักลายเรียบร้อยแล้วสองชิ้นในมือ นั่นคือผ้าที่เซวียเสี่ยวหรั่นให้นางช่วยปัก เตรียมไว้สำหรับทำกระเป๋าถือ
เซวียเสี่ยวหรั่นมองลวดลายบุปผาอันวิจิตรประณีตและซับซ้อนบนผ้าเนื้อหยาบ ก็นึกชื่นชมฝีมือของหลินเหนียงจื่อเป็อย่างมาก
ลวดลายประณีตเช่นนี้ ใช้เป็ฝากระเป๋า แลดูหรูหราสง่างาม จะต้องดึงดูดสายตาของสตรีนับไม่ถ้วนได้แน่
เซวียเสี่ยวหรั่นยังอยากปรึกษากับนางเื่ลวดลายที่จะปักด้านหลัง แต่หลินเหนียงจื่อกลับเริ่มวัดตัวนาง พร้อมกับอธิบาย "หงกูบอกว่า ต้องเตรียมอาภรณ์ฤดูใบไม้ร่วงของคุณหนูแล้วเ้าค่ะ"
อาภรณ์ฤดูใบไม้ร่วง ยามนี้เพิ่งจะเดือนหก แต่เสื้อผ้าของที่นี่แต่ละเส้นด้ายแต่ละฝีเข็มล้วนใช้คนตัดเย็บทั้งหมด เสียทั้งแรงและเวลา ต้องเตรียมล่วงหน้าจริงๆ
เซวียเสี่ยวหรั่นจึงยอมให้หลินเหนียงจื่อวัดตัว
ผ่านไปชั่วครู่หนึ่ง ผู้ดูแลหม่าก็เข้ามาแจ้งว่าฟางขุยพาบัณฑิตท่านหนึ่งมา
บัณฑิต? หรือว่าอาจารย์สอนหนังสือ? เซวียเสี่ยวหรั่นดวงตาสว่างวาบ รีบเชิญคนไปที่ห้องรับแขก
ผู้มาแซ่ซู อายุสามสิบกว่า บุคลิกสง่างาม ท่าทางสุขุม เขาเป็หนึ่งในที่ปรึกษาขณะที่เหลียนเซวียนรักษาการณ์อยู่ชายแดน ตอนนี้ในค่ายทหารว่างงาน เหลียนเซวียนจึงส่งเขามาทำหน้าที่เป็อาจารย์ให้เซวียเสี่ยวหรั่น
เซวียเสี่ยวหรั่นรีบให้ตามเซวียเสี่ยวเหล่ยมา หลังจากสองฝ่ายพบกันแล้ว ก็ตามหงกูมา ให้นางจัดห้องที่อยู่ติดกับห้องพักของเซวียเสี่ยวเหล่ยเป็ห้องหนังสือสำหรับศึกษาวิชา
หลังจัดการเสร็จเรียบร้อย อาจารย์ซูก็พาเซวียเสี่ยวเหล่ยไปห้องหนังสือ
เซวียเสี่ยวหรั่นถอนหายใจโล่งอก ไม่นึกว่าเมื่อวานเหลียนเซวียนเพิ่งบอกว่าจะหาอาจารย์ให้เซวียเสี่ยวเหล่ย วันนี้อาจารย์ก็มาแต่เช้า
งานมีประสิทธิภาพรวดเร็วฉับไวยิ่ง
แต่พอนึกถึงเหลียนเซวียน เซวียเสี่ยวหรั่นก็เริ่มกลัดกลุ้ม
ภายในศาลาสี่เหลี่ยมของสวนดอกไม้ มีเสียงถอนหายใจดังมาเป็ระยะ
อูหลันฮวายกถาดไม้แดงขอบทอง เดินมาตามทางเล็กๆ อย่างคล่องแคล่ว
"คุณหนู ฟางเหนียงจื่อต้มน้ำบ๊วย ตั้งไว้จนเย็นแล้ว ชื่นใจมากเลยเ้าค่ะ"
"หลันฮวา ส่งไปให้ท่านอาจารย์กับเสี่ยวเหล่ยหรือยัง" เซวียเสี่ยวหรั่นกำลังพิงราวกั้นอย่างเกียจคร้านหันมามองนางปราดหนึ่ง
"ส่งไปแล้วเ้าค่ะ" อูหลันฮวายกน้ำบ๊วยมาวางบนโต๊ะหิน "อาจารย์ที่มาใหม่ดูจริงจังมากเลยเ้าค่ะ ขนาดแค่วันแรก ก็เริ่มให้เรียนต่อเนื่องยาวนานเช่นนี้"
ตอนที่นางยกน้ำบ๊วยเข้าไปส่ง เห็นบนโต๊ะของเซวียเสี่ยวเหล่ยมีกระดาษที่เพิ่งเขียนอักษรเสร็จใหม่ๆ วางอยู่หลายแผ่น ส่วนเขาก็ยังโคลงศีรษะท่องหนังสือตามอาจารย์
"อาจเป็เพราะเสี่ยวเหล่ยต้องเข้าร่วมการสอบเข้าสถานศึกษาตอนเดือนเก้า ดังนั้นจึงต้องเร่งศึกษาให้ก้าวหน้าโดยเร็ว" แท้จริงแล้วเซวียเสี่ยวหรั่นไม่อยากให้เซวียเสี่ยวเหล่ยต้องลำบาก แต่เมื่อเขาเต็มใจ นางก็จำต้องยอมรับ
"อ้อ มิน่าล่ะ เป็บุรุษช่างยากลำบาก ต้องศึกษาอะไรมากมาย" อูหลันฮวารู้สึกว่าตนเองโชคดีที่เกิดมาเป็หญิง อย่างน้อยก็ไม่ต้องเผชิญหน้ากับไม้เรียวอาจารย์ตลอดเวลา
เซวียเสี่ยวหรั่นอมยิ้ม ยกน้ำบ๊วยดื่มสองสามคำ
หลังจากนั้นหันไปเกาะราว เหม่อมองใบกล้วยน้ำว้าสีเขียวด้านข้าง
"คุณหนูเป็อะไรเ้าคะ" แม้อูหลันฮวาจะไม่ค่อยพิถีพิถัน แต่ก็ยังมองออกว่าวันนี้นางดูกระสับกระส่าย จิตใจไม่อยู่กับเนื้อตัว
"อูหลันฮวา ต่อไปเ้าคิดว่าจะใช้ชีวิตอย่างไร" เซวียเสี่ยวหรั่นถามนาง
"ก็ต้องติดตามคุณหนูไปชั่วชีวิตอย่างไรเล่า" อูหลันฮวายืดอกทันที
เซวียเสี่ยวหรั่นปรายหางตามองนาง "ติดตามข้าชั่วชีวิตทำไม? อยากเป็สาวเทื้อไม่แต่งงานหรือ"
ไม่มีคนชอบข้า เป็สาวเทื้อก็เป็สิเ้าคะ" ตอนอยู่ขู่หลิ่งถุน ไม่เคยคุยเื่แต่งงานสำเร็จสักครั้ง นางชาชินกับเื่นี้มานานแล้ว
"เหลวไหล หลันฮวาของพวกเราเป็สตรีแสนประเสริฐ จะไม่มีคนชอบได้อย่างไร" เซวียเสี่ยวหรั่นตบม้านั่งยาว บอกเป็นัยให้นั่งลง
อูหลันฮวาเดินมานั่งข้างๆ
"เมื่อก่อนตอนอยู่ขู่หลิ่งถุน เพราะครอบครัวลุงใหญ่ของเ้าเป็พวกสิงโตอ้าปาก ใครมาสู่ขอก็เรียกร้องเสียจนคนใหนีกระเจิงไปหมด หาใช่ไม่มีใครมาสู่ขอเสียหน่อย" เซวียเสี่ยวหรั่นเริ่มใคร่ครวญถึงปัญหาของอูหลันฮวาอย่างจริงจัง
"ข้าทราบ ตอนนั้นข้าพูดไม่ชัด รูปร่างก็ผอมแห้ง ข้าวก็กินเยอะมาก ประกอบกับถูกเรียกสินสอดแพงเกินไป ดังนั้นจึงไม่ได้แต่งงานเสียที"
อูหลันฮวาเองก็ตระหนักได้ "แต่ข้าก็ไม่อยากแต่งนี่เ้าคะ ออกเรือนแล้วก็ต้องไปจากคุณหนู ข้ายังไม่อยากจากคุณหนูไปไหนนี่นา"
คุณหนูฉุดนางขึ้นมาจากหลุมอันโสมมแห่งนั้น นางยังไม่ทันตอบแทนบุญคุณ จะจากไปง่ายๆ ได้อย่างไร
"ฮ่าๆ" เซวียเสี่ยวหรั่นหัวเราะพลางตบบ่าของนาง "เด็กโง่ ต่อไปหากข้าออกเรือน เ้าก็จะตามไปด้วยหรือ"
"คุณหนูจะออกเรือน?" ดวงตาของอูหลันฮวาทอประกายวาบ "องค์ชายเจ็ดจะแต่งคุณหนูหรือเ้าคะ?"
พวงแก้มของเซวียเสี่ยวหรั่นแดงซ่าน "หากข้าแต่ง คู่ครองต้องเป็เขาด้วยหรือ"
"ไม่ใช่องค์ชายเจ็ด แล้วจะเป็ใครได้อีกเล่า" อูหลันฮวาย้อนถาม
จริงด้วยสิ ไม่ใช่เหลียนเซวียน ยังจะเป็ใครได้อีก?
