เซี่ยเสี่ยวหลานมาแล้ว!
ฝานเจิ้นชวนไม่เคยได้ยินเสียงของเซี่ยเสี่ยวหลานมาก่อน เขาแค่เคยเห็นเซี่ยเสี่ยวหลานจากอีกฟากถนนหนเดียวเท่านั้น
แต่พอได้ยินสุ้มเสียงนี้ เขาก็รู้ทันทีว่าเป็เซี่ยเสี่ยวหลาน
น้ำเสียงเหมาะกับภาพจำที่เซี่ยเสี่ยวหลานมอบให้เขาโดยสมบูรณ์ เมื่อครู่ฝานเจิ้นชวนสั่งสมโทสะเอาไว้มาก ในที่สุดเมื่อเซี่ยเสี่ยวหลานปรากฏตัว ไฟโทสะนี้ก็สลายไปกว่าครึ่งอย่างลึกลับ ผู้คนว่ากันว่าความงามของสตรีเป็อาหารตา พอสาวงามที่แท้จริงปรากฏกาย มันช่างมอบความสดชื่นปลอบประโลมใจยิ่งกว่าแตงโมที่ดึงขึ้นมาจากใต้บ่อน้ำ [1] ในวันซานฝู [2] เสียอีก
แอ๊ด
ประตูถูกเปิดออกจากด้านนอก
ผู้ที่เข้ามาก่อนกลับไม่ใช่เซี่ยเสี่ยวหลาน ทว่าเป็ชายร่างสูงสองคน สวมเสื้อมีปกสีขาวและชุดสูทดำ รองเท้าหนังเงาวาวจนแทบจะสามารถใช้ส่องแทนกระจกได้ ถ้าสองคนนี้เพิ่มแว่นกันแดดอีก นั่นจะเป็การแต่งกายของคนคุ้มกันที่เห็นได้ในภาพยนตร์เท่านั้นเลยทีเดียว... แบบนี้ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว คนขับรถของฝานเจิ้นชวนเดินหน้าสองก้าว ยืนเคียงข้างกายฝานเจิ้นชวน
สองคนนี้มิได้มีเพียงท่วงท่าสะดุดตาแค่ภายนอกเท่านั้น พวกเขายังทำให้คนขับรถััได้ถึงอันตราย สิ่งที่คำนึงเป็อย่างแรกก็คือความปลอดภัยของฝานเจิ้นชวน
แววตาของฝานเจิ้นชวนกำลังพิจารณาอย่างตั้งใจ
เป็ต่ออีกฝ่ายโดยการแสดงความน่าเกรงขาม เซี่ยเสี่ยวหลานทำได้แล้ว หรือว่าเป็คนรักนั่นของเซี่ยเสี่ยวหลานกันแน่ที่เป็คนทำ?
หลี่ต้งเหลียงและเก่อเจี้ยนกางแขนออก กระบวนท่านี้คือการป้องกัน และเป็การอารักขาผู้ว่าจ้าง จะให้เธอโดนประตูกระแทกไม่ได้ สภาพอากาศปลายเดือนเมษายนกำลังสบายมากจริงๆ การแต่งกายในวันนี้ของเซี่ยเสี่ยวหลานจึงดึงดูดสายตาเป็พิเศษ เธอใส่เสื้อปกผีเสื้อสีขาว พับแขนเสื้อเผยข้อมือ ทว่าท่อนล่างกลับใส่กางเกงขายาวสีเหลืองอ่อน เก็บชายเสื้อเข้าในกางเกง ทำให้เอวยิ่งดูบาง เรียวขายิ่งดูยาว
เดิมทีเธอก็สูง 165 เิเอยู่แล้ว ต่อมาเธอทำธุรกิจหาเงินจนได้รับสารอาหารครบถ้วนบวกกับออกกำลังกายที่เพียงพอ ครึ่งปีกว่าที่ผ่านมานี้ดูเหมือนเธอจะสูงเพิ่มขึ้นอีก 2 เิเแล้ว
ปัจจุบันความความสูงอย่างเดียวคือ 167 เิเ พอสวมรองเท้าส้นสูง ยิ่งสูงโปร่งโดดเด่นกว่าเดิม
วันนี้เซี่ยเสี่ยวหลานปัดผมหน้าม้าบางขึ้นไปด้วย เผยให้เห็นหน้าผากเนียนใสเอิบอิ่ม แถมแนวไรผมของเธอก็ขึ้นได้อย่างดีเยี่ยม ถ้าปล่อยผมหน้าม้าบางจะดูอ่อนเยาว์ เมื่อรวบผมหางม้าแบบเกาหลียิ่งขับเน้นใบหน้าวิจิตรไร้มลทินของเธอ รูปหน้าเล็กๆ องค์ประกอบเครื่องหน้าจัดวางอย่างสมบูรณ์ ไม่มีหน้าม้าปกคลุม ความงามอันแสนประณีตนี้ กระทั่งฝานเจิ้นชวนผู้มีประสบการณ์ชีวิตโชกโชนยังละสายตาไปไม่ได้
เหลียงฮวนกัดริมฝีปาก เพราะอะไรกันน่ะ หญิงสาวชนบทคนหนึ่งถึงมีหน้าตาเช่นนี้ได้?
หลิวฟางเองก็คิดว่าใบหน้านี้อยู่กับเซี่ยเสี่ยวหลานแล้วช่างสิ้นเปลืองเหลือเกิน ทั้งที่เป็สายเืตระกูลหลิวเหมือนกัน ทว่าหากเหลียงฮวนบุตรสาวของเธอมีหน้าตาเช่นนี้ ชีวิตในภายภาคหน้าคงจะราวกับเสือติดปีก [3]
หลี่ต้งเหลียงก้าวไปข้างหน้า ดึงเก้าอี้ออกมาและวางไว้โดดเดี่ยวอีกด้าน
“คุณผู้หญิงเซี่ย เชิญครับ”
การแสดงของหลี่ต้งเหลียงมาในแบบเรียบง่ายติดดิน เขาใช้แขนเสื้อสูทเช็ดเก้าอี้สุดฤทธิ์สุดเดชหนึ่งรอบ และค่อยเชิญเซี่ยเสี่ยวหลานนั่งลง ราวกับกลัวว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจะเปรอะเปื้อนแม้แต่ละอองฝุ่นเล็กน้อย
อากัปกิริยานี้ บ้านเหลียงเห็นแล้วถึงกับมึนงง
โดยเฉพาะหลิวฟาง เซี่ยเสี่ยวหลานเมื่อไม่กี่ปีก่อนเป็อย่างไร เธอผู้เป็น้าจะจำไม่ได้เลยหรือ?
จะไม่พูดถึงอดีตเก่าที่ยาวนาน การพบกันไม่กี่ครั้งที่ผ่านมานี้ แม้เซี่ยเสี่ยวหลานจะแต่งตัวไม่เลว ทว่ายังคงไม่ได้วางท่าอวดโอ้เหมือน ณ ขณะนี้เลย
หลิวฟางชะเง้อมองไปยังด้านหลังเซี่ยเสี่ยวหลาน กลับไม่เห็นเงาของโจวเฉิง หลิวฟางแสร้งหัวเราะหึๆ “เสี่ยวหลาน ทำไมไม่เห็นแม่เธอล่ะ น้านึกว่าเธอจะพาป้าลุงกับป้าสะใภ้ของเธอมาด้วยกัน พบญาติฝ่ายชายหน่อยเสียอีก”
เซี่ยเสี่ยวหลานมองหลิวฟาง ทันใดนั้นก็เผยรอยยิ้มประชดประชัน
“น้า แกล้งโง่ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจดี นั่นไม่เรียกว่าการกวนประสาทนะ นั่นเรียกว่าโง่จริง ฉันไม่รู้เื่การแต่งงานครั้งนี้เลยั้แ่ต้นจนจบ น้าคิดเองเออเอง ยังนึกว่าตัวเองจะรอดพ้นไปได้หรือ?”
หลิวฟางอยากเอาลูกชิ้นทอดบนโต๊ะจานนั้นยัดเข้าปากเซี่ยเสี่ยวหลานทั้งหมด
เคราะห์ดีที่ฝานเจิ้นชวนไม่ได้ถือสา
ฝานเจิ้นชวนเพิ่งหลุดจากภวังค์ของการตกตะลึงในความงาม ไม่ว่าคนบ้านเหลียงจะเล่นตุกติกหลอกลวงหรือไม่ การที่พวกเขาส่งเซี่ยเสี่ยวหลานเข้าสู่สายตาของตน ฝานเจิ้นชวนตัดสินใจจะให้อภัยเหลียงปิ่งอันกับภรรยา เขากับเซี่ยเสี่ยวหลานสมรสกันเมื่อไร อย่างไรก็ต้องกลายเป็ญาติกับเหลียงปิ่งอันนี่นา
“เธอจะต้องยินดีแต่งงานกับฉัน แต่งกับฉันซะ ฉันสามารถทำให้เธอมีทุกสิ่งทุกอย่าง!”
ทั้งเงินและอำนาจ ฝานเจิ้นชวนไม่บกพร่องเลยสักอย่าง
เปลี่ยนจากทะเบียนบ้านชนบทเป็ทะเบียนบ้านเมืองอะไรนั่น สำหรับหลายคนแล้วคงต้องวิ่งเต้นหาเส้นสายอย่างหนัก แต่สำหรับฝานเจิ้นชวนไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย
ในเขตเหอตง เขามีภาพมายาว่าตนเองคือฮ่องเต้ประจำถิ่นด้วยซ้ำ เซี่ยเสี่ยวหลาน้าอะไรเขาก็ให้ได้ทั้งนั้น!
พอมองเซี่ยเสี่ยวหลานใกล้ๆ ั้แ่ดวงหน้าจนถึงรูปร่าง จวบจนบุคลิก ล้วนไม่มีจุดบกพร่อง มีเพียงผู้หญิงแบบนี้เท่านั้นที่คู่ควรกับเขาฝานเจิ้นชวน ในอดีตที่ผ่านมานั้น พอเหล่าผู้หญิงที่เขาเคยมีถูกสะท้อนเปรียบเทียบโดยเซี่ยเสี่ยวหลาน ก็กลายเป็ผู้หญิงธรรมดาดาษดื่นทั้งหมด
“คุณให้ฉันได้ทุกอย่างอย่างนั้นหรือ?”
นี่ก็คือคนมีไม่อวดคนอวดไม่มีจริงๆ ชาติก่อนเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้แต่งงาน แต่โอกาสด้านหน้าที่การงานทำให้เธอได้รู้จักกับผู้ชายคุณสมบัติเป็เลิศมากมาย มีทั้งเศรษฐีใหม่ที่ก่อตั้งธุรกิจโดยเริ่มจากศูนย์ั้แ่อายุยังน้อย ผู้นำทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่อาศัยความรู้ของตนจนร่ำรวยในชั่วข้ามคืน หรือผู้บริหารหนุ่มอนาคตสดใสที่กำลังอยู่ใน่รุ่งโรจน์... ไม่ว่าพวกเขาคนไหนก็เยี่ยมยอดกว่าฝานเจิ้นชวน กระนั้นไม่ว่าคนไหนก็อ่อนน้อมกว่าเขาด้วยเช่นกัน
ผู้ที่ตำแหน่งยิ่งสูง กลับยิ่งควรถ่อมตน
ชาตินี้เซี่ยเสี่ยวหลานเคยรู้จักอยู่หนึ่งคน ทังหงเอินจากเผิงเฉิงนั่นเอง ทังหงเอินนั้นเหนือกว่าฝานเจิ้นชวนอย่างแน่นอน
แววตาที่ทังหงเอินมองเธอนั้นสุขุมมาก เขาเป็ถึงผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่ง ทว่าสามารถกินข้าวในร้านอาหารมอซอข้างทางกับเซี่ยเสี่ยวหลานได้มิใช่หรือ
ส่วนฝานเจิ้นชวนนั้นตรงกันข้าม เขายึดมั่นตนเองในเขตเหอตงมานาน วิสัยทัศน์ก็คับแคบอยู่แค่ในเขตเหอตง ทำให้เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกว่าช่างน่าขันทีเดียว
“คุณผู้ชายฝาน อายุของคุณไม่ต่างจากแม่ฉันมากนัก ฉันจะขอเรียกคุณด้วยความเคารพว่าคุณผู้ชายฝานแล้วกัน! ที่นี่คือบ้านพักรับรองประจำเมืองมณฑล ไม่ใช่เขตเหอตง สิ่งที่คุณพูดนี้มันช่างน่าขันเสียจริงๆ คุณให้ฉันได้ทุกอย่าง คงไม่พ้นเงินทองหรืออำนาจสินะ เงินน่ะ ฉันหาได้ด้วยตัวเอง ส่วนอำนาจ... ฉันจะพูดความจริงที่อาจทำร้ายจิตใจหน่อย ฉันค้นคว้าเกี่ยวกับประวัติหน้าที่การงานของคุณมาเล็กน้อย ฉันคิดว่าเป็ไปได้มากที่จุดสูงสุดของอำนาจคุณจะหยุดอยู่ที่เขตเหอตง ขออภัยที่ฉันต้องพูดตามตรง แต่เขตเล็กๆ แห่งหนึ่ง ไม่มีกระทั่งห้างสรรพสินค้า ฉันไม่สนใจจะอาศัยในระยะยาวจริงๆ ถ้าพูดอย่างระคายหูอีกหน่อย ฉันไม่ชอบที่ตำแหน่งของคุณมันขี้ปะติ๋ว ทว่าดันอวดโอ้ตัวเองเสียยิ่งใหญ่ พวกบุคคลความสามารถโดดเด่นเก่งกาจที่อายุเท่าคุณ เขาเดินออกจากเขตกันเพื่อก้าวข้ามสู่ระดับตำแหน่งงานที่สูงกว่าตั้งนานแล้วหรือเปล่า? คนมีอนาคตไกลมีถมเถจะไม่เลือกรึ ฉันจะเลือกคุณไปเพื่ออะไร?”
น้ำเสียงของเซี่ยเสี่ยวหลานทั้งอ่อนหวานและชัดเจน เธอกล่าวสิ่งเหล่านี้ช้าๆ ฝานเจิ้นชวนยังไม่ทันได้บันดาลโทสะ โรคหัวใจของน้าหลี่ใกล้กำเริบแล้ว
“เธอ เธอมันเด็กบ้านนอก อุตส่าห์ไว้หน้าก็ยังปฏิเสธอีก!”
น้าหลี่ไม่มีอารมณ์สนใจภาพลักษณ์ทั้งนั้น ชี้นิ้วใส่เซี่ยเสี่ยวหลานด้วยความโมโห บ้านเหลียงทั้งสามคนฟังจนงงงวยไปหมดแล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ยอมแต่งงาน เพราะเดียดฉันท์ที่ฝานเจิ้นตำแหน่งจิ๊บจ๊อย?
เช่นนั้นเธอก็ต้องมีปัญญาพอหาข้าราชการใหญ่โตด้วยสิ!
เซี่ยเสี่ยวหลานลูบใบหน้าของตนเอง “ฉันชอบใบหน้านี้ทีเดียว เื่ทะเบียนบ้านและฐานะครอบครัวมันเป็ข้อจำกัดสำหรับบางคน แต่ไม่ได้เป็ปัญหาหนักหนาในสายตาฉัน พวกคุณได้เปรียบเพียงเพราะทะเบียนบ้านกับสถานะของคนเมืองเท่านั้น จึงมักเอาสองอย่างนี้ใส่ไว้ในปากและพูดถึงวกไปวนมาไม่หยุด ราวกับใครเขาเทิดทูนเหลือเกิน แค่ทะเบียนบ้านเมืองไม่ใช่หรือไร ฉันจัดการเองได้เหมือนกัน”
ทะเบียนบ้าน สอบเข้ามหาวิทยาลัยก็มีแล้ว
อาชีพการงาน สอบเข้ามหาวิทยาลัยก็มีแล้ว
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้คิดว่าตนเองเก่งกาจด้านการเมือง และเธอไม่เคยคิดจะทำงานด้านการเมืองด้วย แต่ถ้าเป็ข้าราชการจากเขตเล็กๆ แห่งหนึ่งแล้วคิดจะให้เธอเชิดชู นั่นช่างตลกสิ้นดี หากเธอละทิ้งการสอบเข้าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยหัวชิง แล้วเลือกเรียนสาขาวิชาที่มีวัตถุประสงค์จำเพาะกว่า สอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังอย่างหัวชิงและจิงต้า กระตือรือร้นขยับเข้าใกล้องค์กรต่างๆ ระหว่างเรียน มีโอกาสสูงมากที่เธอจะถูกจัดสรรเข้าทำงานในกระทรวงหลังจบการศึกษา—สิ่งที่ฝานเจิ้นชวนมี สิ่งที่ฝานเจิ้นชวนมอบให้ได้ เซี่ยเสี่ยวหลานสามารถอาศัยความพยายามของเธอเองไขว่คว้ามาได้ทั้งสิ้น คนพวกนี้ก่อเื่อุบาทว์ไปทั่ว ยึดถือความคิดตนว่าเพียงโปรยทานเล็กน้อยจะทำให้เธอหมอบลงบนพื้นกระดิกหางขอความเมตตา เซี่ยเสี่ยวหลานจะพูดอะไรได้?
“เธอพึ่งอะไรจัดการเื่ทะเบียนบ้านล่ะ อาศัยคนรักคนนั้นของเธอหรือ?”
หลิวฟางค่อนขอดอย่างเผ็ดร้อน
ไม่ใช่ว่าฝานเจิ้นชวนไม่โกรธ ทว่าเขาสงวนท่าที และเคยชินกับการปล่อยให้สุนัขรับใช้ข้างกายออกโรง ตอนนี้หลิวฟางกำลังยินยอมพร้อมใจปฏิบัติหน้าที่เป็สุนัขรับใช้ของฝานเจิ้นชวนนั่นเอง เห่าหอนโฮ่งๆ ใส่เซี่ยเสี่ยวหลาน!
เชิงอรรถ
[1]แตงโมที่ดึงขึ้นมาจากใต้บ่อน้ำ มีที่มาจาก่ยุค 80 และ 90 ผู้คนในชนบทมักนำแตงโมแช่ไว้ใต้บ่อน้ำ ทำให้แตงโมทั้งหวานฉ่ำและเย็นสดชื่น
[2]三伏天 วันซานฝู คือ วันทั้งสาม (三 แปลว่า สาม) ที่อากาศร้อนที่สุดของปี โดยแบ่งเป็ ชูฝู 初伏 จงฝู 中伏 และ โม่ฝู末伏 ซึ่งชูฝูจะอยู่ใน่กลางเดือนกรกฎาคม จงฝูอยู่ใน่ปลายเดือนกรกฎาคมหรือต้นเดือนสิงหาคม ส่วนโม่ฝูอยู่ใน่กลางเดือนสิงหาคม ผู้คนชื่นชอบการรับประทานแตงโมในวันซานฝู เนื่องจากแตงโมเป็ผลไม้อุดมไปด้วยน้ำ รับประทานแล้วช่วยคลายร้อนดับกระหาย
[3]如虎添翼 ราวกับเสือติดปีก หมายถึง อานุภาพทวีคูณ ไร้เทียมทาน เพราะเสือคือสัตว์ที่แสดงถึงความแข็งแกร่ง เมื่อเพิ่มปีกเข้าไปจะยิ่งสุดยอดกว่าเดิม