“คุณชาย...” หลานเล่อไม่รู้จะมองหน้าหนานิเหอตรงๆ อย่างไร
ั้แ่คุณชายกับคุณหนูบาดหมางกันคราวก่อน งานเขาก็ทวีความลำบากน่าระแวงยิ่งขึ้นด้วยกลัวคุณชายลงโทษตนเองเพราะเื่นี้
สีหน้าของหนานิเหออ่อนล้า เขาน่าจะนอนหลับไม่สนิทมานาน ร่องใต้ตาเลยดำคล้ำหนักขึ้น คุณชายสูงศักดิ์ดีๆ ท่านหนึ่งยามนี้ทุกข์จนหน้าซีดเซียวไปหมด
“ปิดประตู ให้นางกลับไป”
หนานิเหอย่อมรู้นิสัยใจคอของเยี่ยนเจาเจา นางทนมาหนึ่งเดือนไม่ง่ายเลยจริงๆ ทว่าเขาไม่อาจปล่อยสัตว์ร้ายภายในจิตใจออกอาละวาดอีก ความคิดที่ไม่ควรมีอยู่นี้ เขาควรตัดมันออกเสีย
เขาจะเป็คนบาปเอง วันหน้าแม้เข้าใกล้นางไม่ได้อีก เขายังสามารถมองนางอยู่ห่างๆ ต่อให้ใจของนางโดนตนทำร้ายจนพรุน ก็ยังดีกว่ามาแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เดินเข้าสู่สถานการณ์เสี่ยงอันตรายยากจะย้อนคืน
เยี่ยนเจาเจาหยิ่งในศักดิ์ศรีตนเองที่สุด นางแบกความมุ่งมั่นมาเต็มเปี่ยมก็ยังไม่ได้พบเขา ตอนโดนเขาปิดประตูใส่หน้าเลยเกิดความรู้สึกหดหู่และสิ้นหวังอย่างยิ่ง
หนานิเหอเดิมคิดว่าตนสงบสติมาเดือนหนึ่ง ใจคิดตกพอประมาณแล้ว
แต่เขาคาดไม่ถึงเลยสักนิดว่าเกราะป้องกันทางใจและหลักการทั้งหมดที่ตนใช้เวลาหลายวันหลายคืนสร้างขึ้นมาดิบดีจะมลายหายไปเพียงพบหน้านาง หากมองมากกว่านี้เกรงว่าคงจะควบคุมตนเองไม่อยู่
เขาเลยจำต้องรีบวิ่งหนี ความจริงที่ประตูบานนั้นต้องขวางไม่ใช่เยี่ยนเจาเจาหรอก แต่เป็ตัวเขาเอง
หากการปิดประตูสามารถหยุดนางไม่ให้เข้ามาค้นหาความคิดของตน หนานิเหอก็รู้สึกว่าตนจะควบคุมความคิดที่ไม่ควรเกิดขึ้นมาในอนาคตได้
สีหน้าของหนานิเหออึมครึมขึ้น เขาวางมือลงบนหน้าอกซ้ายของตนเองเบาๆ ััได้ถึงความเ็ปรวดร้าวที่ปะทุอยู่ภายใน ความขมขื่นของเขาไม่น้อยไปกว่านาง แต่กลับไม่มีใครรู้ ป่าวประกาศยิ่งไม่ได้
สติบอกว่าเขาควรกลับเข้าไปในห้อง แต่ในห้องนี้เยือกเย็นเงียบเหงาราวกับถ้ำหิมะ ไม่มีอะไรสักอย่าง ไม่มีชามน้ำขิงผสมน้ำผึ้งต้นต้วนอีกต่อไป ไม่มีของว่างหอมหวานรสเลิศอีกแล้ว
ดังนั้นหนานิเหอจึงอยากกลับไปหานางอีกครั้ง ขาของเขาถึงขั้นเริ่มเปลี่ยนทิศไปทางประตูเอง
ครั้งสุดท้าย ต่อให้เป็แมลงเม่าบินเข้ากองไฟก็ไม่เสียดาย
เยี่ยนเจาเจาจินตนาการฉากพบกันอีกครั้งไว้นับร้อยนับพันอย่าง ทว่าในฉากเ่าั้ ไม่รวมหนานิเหอหันหลังจากไปทันทีที่พบหน้านาง ทั้งยังไม่ยอมพูดกับนางแม้แต่ประโยคเดียว
หลานเล่อถึงขั้นมาปิดประตูหอร่มรื่นโต้งๆ
เยี่ยนเจาเจารู้สึกเหมือนว่าฟ้าจะถล่ม นางไม่เคยได้รับความอัดอั้นคับข้องใจขนาดนี้มาก่อน...อีกนัยหนึ่งคือนางไม่เคยคิดว่าตนจะต้องทนทุกข์เพราะหนานิเหอต่างหาก
ทำไมกัน?
ไม่ใช่นางรับไม่ได้ แต่อย่างน้องต้องบอกเหตุผลนางสักหน่อยสิ
หากเป็คนอื่น เยี่ยนเจาเจาคงจะหมุนตัวจากไป ไม่แบ่งสายตาไว้เหลียวแลเขาอีกเลยนับจากนี้
ทว่านางเผลอนึกถึงดอกซิ่งฮวาที่เห็นในวันนั้น และลืมวลี “ดาราพร่างพราวพาตพาพัด” อันเศร้าโศกอ้างว้างไม่ลง ยิ่งคิดใจก็ยิ่งยิ้มเยาะหยัน
เยี่ยนเจาเจาทั้งน้อยใจทั้งโกรธเคือง รู้สึกเหมือนอวัยวะภายในกำลังสั่นเทิ้มพร้อมกัน ไม่รู้เอาความกล้ามากจากไหน คิดเพียงว่าวันนี้นางต้องได้รับคำอธิบายกลับไป
นางไม่เคยดูถูกเขา ทั้งยังอยู่ข้างกายเขาเสมอ แต่ขณะนี้นางโมโหเพราะหมกมุ่นอยู่กับความสุขและความโกรธของเขา ต่อให้ต้องตัดความสัมพันธ์กันนับั้แ่วันนี้ เยี่ยนเจาเจาก็้าคำอธิบาย!
แม้อายุจริงของนางไม่เด็กแล้ว แต่เยี่ยนเจาเจาคิดว่ายามนี้ตนยังเป็เด็กอยู่ นางยังมีสิทธิ์วิ่งเต้นตามใจตนเอง และมีโอกาสเอาแต่ใจ
แม้รู้ว่าฝนเช่นนี้อาจจะทำให้นางป่วย เยี่ยนเจาเจาก็ยังอยากดื้อรั้นสักครั้ง
ความกล้าของเยี่ยนเจาเจาพุ่งกระฉูดอย่างไม่เคยเป็มาก่อน เบ้าตานางแดงก่ำ แต่ไม่ยอมปล่อยน้ำตาไหลลงมาง่ายๆ หลังมองซ้ายขวารอบหอร่มรื่นก็พบว่าข้างนอกแนวกำแพงตรงมุมตะวันออกเฉียงใต้มีต้นไม้อยู่ หากตนปีนขึ้นไปคงสามารถข้ามเข้าไปในหอร่มรื่นจากยอดกำแพงได้
ดังนั้นนางจึงเดินจ้ำอ้าวไปทางนั้น แม้ความรู้สึกหวาดกลัวจะผุดขึ้นมายามมองต้นไม้ แต่นางกลับเลือกโยนร่มในมือทิ้ง แล้วปีนขึ้นไปท่ามกลางเม็ดฝนที่มีขนาดเท่าเม็ดถั่ว
สิ่งที่เยี่ยนเจาเจาแตกต่างกับคนอื่นอย่างสิ้นเชิง คือนางยึดมั่นในหลักการ ไม่หัวชนฝาจะไม่ยอมถอยเด็ดขาด บางทีหนักถึงขั้นหัวชนจนแตกเือาบ แต่ยังไม่ยอมจำนน สาบานว่าจะชนให้ฝาทะลุเลยก็มี
สตรีสูงศักดิ์ในเมืองเซียงเฉิงเกรงว่าจะมีเพียงเยี่ยนเจาเจาคนเดียวที่กล้าปีนต้นไม้ท่ามกลางอากาศเช่นนี้ นางไม่ใยดีว่าขาสองข้างนอกร่มผ้าของนางจะโดนต้นไม้ขูดจนแดงเถือก หรือกระโปรงหรูฉวินผ้าปักซูโจว[1] อันประณีตจะโดนกิ่งไม้แตกสาขารกเกี่ยวด้ายหลุดรุ่ย จนสิงโตน้อยที่เดิมน่ารักไร้เดียงสาก็เปลี่ยนรูปลักษณ์ไป
ชุดนางเปียกน้ำจนชุ่มโชกทั้งตัว มวยผมเอียงกระเท่เร่ไปด้านข้าง ดอกไม้คู่ที่ร้อยจากลูกปัดบนหัวหลุดดอกหนึ่ง ไรผมตรงขมับเหนียวเหนอะหนะติดข้างใบหน้า น้ำที่ไม่รู้ว่าเป็น้ำตาหรือเม็ดฝนก็เลอะอาบทั่วหน้า
เบ้าตาเยี่ยนเจาเจาแดงก่ำเหมือนกระต่ายน้อยโกรธจัด ดวงตาวาววับแทบแผดเผา
ท่ามกลางเสียงฝนโปรยปราย ในที่สุดเยี่ยนเจาเจาก็ปีนถึงยอดต้นไม้ นางปาดน้ำฝนออกจากใบหน้าอย่างเหนื่อยล้า ก่อนเอื้อมอีกมือข้างไปที่กำแพง
และเห็นหนานิเหอหลังจากนั้น
เทียบกับสภาพที่โดนน้ำฝนจนยับเยินน่าสังเวชของนางยามนี้ หนานิเหอก็ไม่ดีไปกว่ากันมากนัก
เขาเองก็ไม่ได้กางร่ม เพียงยืนตากฝนภายใต้สายน้ำเงียบๆ ขณะลืมตามองแม่นางใจกล้าผ่านม่านฝนด้วยดวงตาเบิกกว้าง ข้างหลังไกลๆ มีหลานเล่อที่หน้าตาใตามมา
หนานิเหอไม่อยากแม้แต่จะกะพริบตา แม้น้ำฝนจะตกกระทบบนเบ้าตาของเขาจนด้านชา
เยี่ยนเจาเจารู้สึกว่าคำพูดร้อยแปดในหัวพลันปลิวว่อนหายวับไปในพริบตา นางอ้าปากพะงาบๆ ผ่านไปครึ่งค่อนวันค่อยเอ่ยว่า “หลานเล่อ ไยไม่กางร่มให้คุณชายของเ้า?”
นางไม่ได้เงียบกริบดังที่เขาจินตนาการ และไม่ถามเสียงดังก้องเช่นที่เขาคิด นางเพียงแค่ปีนไปบนยอดต้นไม้เงียบๆ พร้อมน้ำฝนอาบใบหน้า แล้วเอ่ยปากให้เด็กรับใช้ของเขากางร่มให้เขา
นางกำลังเป็ห่วงเขา
ลมหายใจของหนานิเหอหยุดชะงัก
เขาไม่เคยรับรู้มาก่อนว่าบนโลกยังมีความรู้สึกที่เ็ปเช่นนี้อยู่ ความเ็ปทรมานเย็นะเืที่แผ่ซ่านจากหัวใจไปยังอวัยวะภายใน อัดแน่นจนเขาพูดไม่ออกสักคำ
แนวป้องกันทั้งหมดเริ่มปริแตก หนานิเหอรู้ดีว่าหากเยี่ยนเจาเจาพูดอีกเพียงประโยคเดียว เกราะทางใจที่เขาเพียรสร้างมานับเดือนคงแหลกเป็ผุยผง
ดังนั้นเขาจึงหลับตาลงด้วยความเ็ปอีกครั้ง แล้วหมุนตัวจากไปโดยไม่เอื้อนเอ่ยคำใด
น้ำตาของเยี่ยนเจาเจาร่วงลงมาทันที นางมองเห็นร่างของหนานิเหอไม่ชัด กระทั่งเรี่ยวแรงทั้งหมดยังเหมือนจะเลือนหายไป
แต่นางยังเค้นแรงตะเบ็งเสียงใส่แผ่นหลังของหนานิเหอ “หนานิเหอ! หากท่านเดินไปอีกก้าว ต่อไปข้าจะเด็ดบัวไม่เหลือใยกับท่าน กลายเป็คนแปลกหน้าต่อกัน!”
นางไม่เคยเรียกขานนามของหนานิเหอตรงๆ และนี่ก็ไม่ใช่่เวลาที่หนานิเหอเคยคิดไว้ว่านางจะเอ่ยนามของเขา
เกาทัณฑ์ปล่อยไปแล้ว ไม่หันหัวกลับอีก
หนานิเหออดไม่ได้ที่จะชะงักฝีเท้า
ความสุขในใจเยี่ยนเจาเจาเพิ่งพรั่งพรูขึ้นมา แต่พริบตาต่อมาเขาก็ขยับเท้าก้าวเดินต่อ ทำให้หัวใจของนางราวกับโดนบดขยี้จนแหลกเป็ผุยผง
ั์ตาของเยี่ยนเจาเจาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ นางไม่รู้ว่าเหตุใดหนานิเหอจึงปฏิบัติกับตนเช่นนี้ คำพูดที่ออกมาเลยปะปนไปด้วยเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นจนใจหนานิเหอแทบจะแหลกสลาย
“หนานิเหอ! ท่านรังเกียจข้าถึงเพียงนี้? ดี ดีมาก”
เยี่ยนเจาเจาพลิกตัวลงมาจากสันกำแพงในพรวดเดียว ก่อนจะไล่ตามหลังของหนานิเหอ แล้วดึงตัวเขาอย่างแรงให้หันกลับมาเผชิญหน้ากับตน
“ต่อไปหากเยี่ยนเจาเจาผู้นี้ยังมาพบหรือพูดกับท่านอีกสักคำ ข้ายอมเป็สุนัข”
การเคลื่อนไหวของนางรุนแรงราวกับเสียสติไปแล้ว ตอนนางออกจากเรือนวันนี้ได้พกจี้หยกมัจฉาคู่ที่หนานิเหอเคยมอบให้นางมาด้วย ยามนี้นางปลดจี้หยกนั้นออกจากลำคอของตนด้วยมือสั่นเทา ก่อนจะปาลงบนพื้น
“คืนเ้า คืนเ้าทั้งหมด!”
ไม่เพียงจี้หยกมัจฉาคู่เท่านั้น เยี่ยนเจาเจายังหยิบมาแม้กระทั่งของชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างพวกเครื่องรางที่หนานิเหอเคยส่งมาให้ตอนนางป่วย ทว่ายามนี้นางมือสั่นจนถือมันไม่ไหว จึงโยนมันลงต่อหน้าเขาเสียเลย
เยี่ยนเจาเจาร่ำไห้จนสะอึก แต่นางกลับไม่เอ่ยอะไรอีก เพียงรูดแขนเสื้อของหนานิเหอขึ้น แล้วดึงสร้อยลูกปัดหยกคู่ที่นางเคยให้ออกมาจากข้อมือของเขา
หนานิเหอมองแม่นางน้อยตรงหน้าด้วยดวงตาเบิกกว้าง น้ำตาของนางไหลออกมาจากดวงตาเมล็ดซิ่งไม่หยุดจนปะปนกับหยาดฝน
ั์ตาของนางทั้งน้อยใจ โมโห และผิดหวัง จนไม่เหลือเค้าความอ่อนโยนที่เคยมีให้เขามาก่อน...เขาสมควรโดนแล้ว
แต่มือของเขายังคงเอื้อมออกไปอย่างควบคุมไม่อยู่ เพียงเพราะอยากเช็ดน้ำตาให้นาง
เยี่ยนเจาเจาถอยหลังก้าวหนึ่งเพื่อหลบมือของเขา “ไม่ต้องลำบากท่านหรอก”
ทุกคำทุกประโยคสะท้านก้องในใจของเขา
ไม่มีน้ำเสียงอบอุ่นที่เคยเรียกขานเขาว่า “พี่ชายรอง” อีกต่อไปแล้ว หนานิเหออดคิดถึงนางตอนนั้นไม่ได้
นางที่ะโพรวดลงมาจากชิงช้าด้วยความมั่นใจว่าเขาจะรับนาง
นางที่ยิ้มหัวเราะใสซื่อไร้เดียงสาในคืนเดือนหงาย
ยังมีนางที่กอดจานฝนหมึกที่แตกเป็เสี่ยงๆ กับกระดาษคัดลายมือของเขา พร้อมทั้งร้องไห้ไม่หยุด...
แต่นางคนนั้นหมุนตัวจากไปแล้ว นางกำสร้อยลูกปัดหยกในมือแน่นราวกับกำลังเค้นกำลังออกมาอย่างสุดแรงเพื่อเดินออกไปทีละก้าวๆ
บนใบหน้าของหนานิเหอไม่อาจแยกได้ว่าเป็เม็ดฝนหรืออย่างอื่น ความเ็ปจากการฝืนพรากจากยังทำเขาไปต่อไม่ถูก แสงสว่างของเขาถูกเขาตัดออกจากชีวิตด้วยน้ำมือตนเองแล้ว
แม้เยี่ยนเจาเจายามนี้จะมีสภาพคลอนแคลน แต่นางกลับหยิบร่มมากางอย่างใจเย็นโดยไม่หันกลับไปอีก
นางสั่นเทาไปทั้งตัว ทว่ามันไม่ใช่ความหนาว เมื่อนางเดินพ้นจุดที่คิดว่าหนานิเหอมองไม่เห็น นางก็โยนสร้อยลูกปัดหยกลงกับพื้น แล้วทรุดตัวลงนั่งกอดเข่าปล่อยโฮดังลั่น
เยี่ยนเจาเจารู้สึกว่าใจของตนเ็ปแสนสาหัส ตอนโดนเหลียงอินตัดศีรษะจนเหลือแต่ลำคอ นางยังเจ็บไม่เท่าตอนนี้เลยด้วยซ้ำ
แต่ที่นางไม่รู้คือหนานิเหอเดินตามออกมา เขาตามนางอยู่ข้างหลังห่างๆ อย่างถ่อมตนและเงียบเชียบ
เสียงร้องไห้ของนางเบาลงเรื่อยๆ และเมื่อหนานิเหอเห็นร่างนางที่ขดตัวกลมอยู่ใต้ระเบียงทางเดินเหมือนจะแน่นิ่งไป ใจเขาก็แทบหยุดเต้น ความแน่วแน่ที่ระส่ำระสายมาเนิ่นนานบัดนี้แตกพ่ายยับเยิน เขาวิ่งข้ามสายฝนเข้าไปทั้งอย่างนั้นเอง
เชิงอรรถ
[1] ผ้าปักซูโจว หมายถึง หนึ่งในสี่ศิลปะการเย็บปักที่มีชื่อเสียงของจีน ซึ่งเป็ศิลปะพื้นบ้านดั้งเดิมของเมืองซูโจว มณฆลเจียงซู และเป็หนึ่งในมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ เพราะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ลวดลายวิจิตรงดงาม มีความคิดสร้างสรรค์ ฝีมือปักละเอียดลออ ฝีเข็มดูมีชีวิตชีวา สีสันสดใส แฝงกลิ่นอายของความเป็ท้องถิ่นไว้เต็มเปี่ยม