นอกจากบิดาแล้ว จ้านอู๋มิ่งคือบุรุษคนแรกที่จับมือเชียนเชียนอย่างแแ่ นี่คือความรู้สึกที่แตกต่างกันชนิดหนึ่ง เหมือนมีกระแสร้อนลวกสายหนึ่งแผ่ซ่านเข้าไปในจิตใจ เสียวซ่านและคันยุบยิบ แต่กลับทำให้รู้สึกจิตใจสงบ นี่คือมือคู่หนึ่งที่แตกต่างกับมือของบิดาโดยสิ้นเชิง และก็เป็ความรู้สึกสองอย่างที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเช่นกัน
นางจ้องมองจ้านอู๋มิ่งอย่างรู้สึกขวยเขินและกังวล ยามนี้ศาลาริมน้ำมีเพียงพวกเขาสองคน เงียบสงบและก็อันตรายเช่นกัน หากบุรุษตรงหน้าผู้นี้้าทำสิ่งใดกับนาง แม้แต่บิดาที่มีฐานบ่มเพาะจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ ก็มิมีปัญญาจะมาช่วยนางได้ทัน ดีที่ในสายตาของจ้านอู๋มิ่งแสดงออกเพียงความสุขุมแน่วแน่ นางรู้ว่าตนเองคิดมากไปแล้ว จิตใจของบุรุษตรงหน้าผู้นี้เป็จิตใจที่บริสุทธิ์ หลายปีมานี้ นางพบบุรุษมากมาย เข้าใจความคิดของบุรุษกระจ่างเกินไปแล้ว ดีที่ศักดิ์ฐานะของนางสูงส่ง คนเ่าั้แม้จะมีความคิดเช่นไร ก็มิกล้ากระทำสิ่งใด
นิ้วของจ้านอู๋มิ่งถ่ายทอดกระแสอบอุ่นแปลกประหลาดชนิดหนึ่ง ดุจดั่งงูเลื้อยแทรกซึมเข้าไปในเส้นชีพจรต่างๆ ของตนก็ไม่ปาน นางััได้ถึงทิศทางการไหลวนของกระแสนั้นอย่างชัดเจน หลังจากนั้นนางก็ใแล้ว นางััรับรู้ถึงพลังยิ่งใหญ่และบริสุทธิ์ของฟ้าดินกำลังหล่อเลี้ยงร่างกายของตน ใน่หลายปีที่ผ่านมา นางไม่เพียงแค่ศึกษาการหลอมโอสถเท่านั้น นางศึกษาการรักษาผู้ที่เจ็บป่วยอย่างลึกซึ้ง จึงเข้าใจเส้นชีพจรทุกเส้นและตำแหน่งฝังเข็มทุกจุดของร่างกายชัดเจนยิ่งนัก ทั้งยังศึกษาเรียนรู้ตำรับตำราลับของแต่ละสำนักนิกายจนกระจ่าง แต่มิเคยได้ยินเกี่ยวกับพลังปราณเช่นนี้ในร่างจ้านอู๋มิ่งมาก่อน…นี่คือพลังปราณอันสูงส่งล้ำเลิศและประเสริฐเหนือกว่าพลังใดๆ ในแผ่นดินนี้ไปแล้ว!
“ตั้งสมาธิทำจิตให้สงบ อย่าได้คิดฟุ้งซ่าน นอกจากนี้โปรดช่วยเก็บความลับของข้าไว้ด้วย อย่าบอกผู้ใดแม้แต่กับบิดาของเ้า” เสียงของจ้านอู๋มิ่งเบายิ่งนัก คล้ายดั่งถ่ายทอดสู่ร่างกายของนางพร้อมพลังจากปลายนิ้ว เสียงนั้นดังขึ้นในจิติญญาของเชียนเชียนโดยตรง ชัดเจนยิ่งนัก แต่กลับไม่เล็ดลอดออกไปภายนอก
องค์หญิงเชียนเชียนถอนหายใจยาวคราหนึ่ง ในใจเกิดความรู้สึกที่บอกมิถูกชนิดหนึ่ง บุรุษผู้นี้ได้พบหน้ากันเพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่กลับเชื่อมั่นในตัวนางเหมือนกับเคยรู้จักกันมาก่อนในชาติภพที่แล้ว อารมณ์ที่คลุมเครือชนิดหนึ่งบังเกิดขึ้นจากจิติญญาของนาง ทันใดนั้น นางกลับรู้สึกถึงกลิ่นอายลมหายใจแสนอ่อนโยนที่ใกล้ชิดและคุ้นเคยจากตัวจ้านอู๋มิ่ง คล้ายดั่งปรากฏอยู่ในความฝันของตนนับครั้งมิถ้วน แต่กลับถูกปิดผนึกอย่างไร้ความปรานีและถูกปลดปล่อยออกมาหมดสิ้นในเวลานี้ ความรู้สึกและััชนิดนั้นช่างคุ้นเคยและช่างน่าใเกินไปแล้ว หางตาองค์หญิงเชียนเชียนค่อยๆ หลั่งน้ำตาใสกระจ่างลงมาสองสาย
……
ณ จวนเ้าเมืองวันสิ้นโลก สายตาของจู้ชิงขวงมองยอดเขาเยว่ซิ่วเฟิงที่อยู่ห่างไกลออกไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงอาหารค่ำขององค์หญิงเชียนเชียน เขาล้วนทราบดี เวลานี้คล้อยดึกแล้ว บนท้องฟ้าพร่างพราวด้วยเหล่าดวงดารา ทำให้เยว่ซิ่วเฟิงที่อยู่ท่ามกลางความมืดมิดมองดูแล้วคล้ายจะลึกล้ำยิ่งขึ้น ชายหนุ่มนามจ้านอู๋มิ่งผู้นั้นกลับยังมิได้ออกมา เมื่อครู่สาวใช้ของเชียนเชียนส่งข่าวมา เชียนเชียนกลับอยู่กับอีกฝ่ายสองต่อสองในห้องด้วยกัน จู้ชิงขวงทอดถอนใจเบาๆ คราหนึ่ง
สาเหตุที่จู้ชิงขวงเห็นชอบให้องค์หญิงเชียนเชียนอาศัยอยู่คนเดียวบนยอดเขาเยว่ซิ่วเฟิง และสร้างยอดเขาเยว่ซิ่วเฟิงให้กลายเป็ทะเลดอกไม้อันรื่นรมย์ ดุจดินแดนดอกท้ออันเงียบสงบ ดั่งเมือง์ในจินตนาการ ความจริงแล้วเพราะเขากลัวที่จะเห็นหน้าบุตรสาว เมื่อมองเห็นจู้เชียนเชียน ความรู้สึกผิดในใจก็ทำให้จิตมารของเขาบังเกิดขึ้นอย่างท่วมท้น ตลอดหลายปีมานี้ที่เขามิกล้าผ่านทัณฑ์สายฟ้า บรรลุเป็เทพเ้าา เพราะมีบุตรสาวเป็คมหนามในใจของเขาเสมอมา
ในฐานะจอมทรราชแห่งแว่นแคว้นหนึ่ง กลับไม่สามารถทำให้บุตรสาวใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ค้นหาทุกวิถีทางแล้วแต่กลับไม่สามารถทำให้บุตรสาวเสพสุขกับชีวิตเหมือนเช่นคนปกติทั่วไป สิ่งนี้สำหรับคนเป็บิดาผู้หนึ่งแล้ว เป็ความรู้สึกที่ทุกข์ทรมานมากมายเพียงใด นางคือบุตรสาวเพียงคนเดียวของจู้ชิงขวง เขาเคยรับปากมารดาของเชียนเชียนไว้ว่าจะดูแลนางไปตลอดชีวิต แต่ว่า...ถึงแม้เขาจะพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่ก็ยังคงไม่สามารถช่วยบุตรสาวได้
หญิงสาวอายุย่างยี่สิบปี หากเป็คนของตระกูลอื่นๆ บางทีอาจออกเรือนไปเป็สะใภ้ผู้อื่นเนิ่นนานแล้ว แต่บุตรสาวของตนมีร่างกายที่แตกต่าง จู้ชิงขวงไม่อาจวางใจที่จะมอบบุตรสาวให้ไม่ว่าผู้ใด นอกจากนี้ ใต้หล้านี้จะมีผู้ใดที่คู่ควรกับบุตรสาวของตนเล่า? ดังนั้น เขาไม่เคยคิดที่จะหาใครสักคนเป็คู่ครองที่จู้เชียนเชียนสามารถพึ่งพาอาศัยได้มาก่อน
ความรักไม่สามารถรักษากาลเวลาไว้ได้ แต่เวลาสามารถทำให้ทุกสิ่งเจือจางลงได้!
แต่ทว่าเื่วันนี้ค่อนข้างพิเศษอยู่บ้าง ชายหนุ่มนามจ้านอู๋มิ่งสามารถรุกล้ำเข้าไปในโลกของบุตรสาว ดึกดื่นค่ำคืน บุรุษคนเดียวสตรีโดดเดี่ยวอยู่ด้วยกันในห้องหอตามลำพัง สิ่งนี้ทำให้เขานึกถึงการแต่งงานของบุตรสาวขึ้นมา บางที...บุตรสาวอาจเติบโตขึ้นแล้วจริงๆ ถึงแม้นางจะใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาทั่วไปไม่ได้ แม้ว่าชีวิตของนางจะใกล้ถึงจุดสิ้นสุดแล้ว แต่ก็สมควรที่จะมี่เวลาหนึ่งที่ได้มีความรักแสนสุขและหวานชื่นเช่นเดียวกัน ชายหนุ่มที่ปรากฏตัวในค่ำคืนนี้อาจเป็บุคคลอันเป็ที่รักคนนั้นก็เป็ได้
คิดถึงตรงนี้ จู้ชิงขวงปรารถนาที่จะพบกับชายหนุ่มผู้นี้ยิ่งนัก ชายหนุ่มที่สามารถทำให้บุตรสาวรั้งตัวไว้ในห้องหนังสือและอยู่ด้วยกันตามลำพังเป็เวลานานเช่นนี้ จะเป็คนแบบไหนกันแน่ เขาเชื่อมั่นในสายตาของเชียนเชียน เขามองดูจู้เชียนเชียนเติบโตั้แ่เล็กจนเติบใหญ่ พร์ของบุตรสาวในใต้หล้าไร้ผู้ทัดเทียม ชายหนุ่มธรรมดาสามัญทั่วๆ ไปไม่อยู่ในสายตาของนาง ดังนั้นเขาจึงเกิดความสงสัยเกี่ยวกับจ้านอู๋มิ่งขึ้นมาแล้ว
แต่ว่าจู้ชิงขวงรู้สึกลังเลใจอยู่บ้าง เขาไม่กระจ่างว่ายามนี้บุตรสาวกำลังทำสิ่งใดอยู่ หากถือวิสาสะเข้าไปก็เกรงว่าจะไม่เหมาะสม คิดๆ ดูแล้ว จู้ชิงขวงก็มุ่งหน้าไปทางเยว่ซิ่วเฟิงด้วยความสงสัย
……
จ้านอู๋มิ่งค่อยๆ หดสองมือกลับ หยาดเหงื่อซึมออกมาบริเวณหน้าผาก สีหน้าซีดขาวเล็กน้อย จู้เชียนเชียนหยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากแขนเสื้อ ค่อยๆ เช็ดหยาดเหงื่อบริเวณหน้าผากจ้านอู๋มิ่งเบาๆ
จ้านอู๋มิ่งมิได้ปฏิเสธแต่อย่างใด ในใจกลับอดคิดถึงหลินซีรั่วขึ้นมามิได้ รู้สึกปวดร้าวใจอยู่บ้าง เขามักเห็นจู้เชียนเชียนเป็หลินซีรั่วตลอดเวลาโดยมิรู้ตัว
“สภาพเส้นชีพจรในร่างกายเ้าดีกว่าที่ข้าคาดคิดไว้ แต่ว่าข้ายังไม่สามารถเติมเต็มจิติญญาชีวิตของเ้า ข้าแปลกใจยิ่งนัก ด้วยศักดิ์ฐานะของเ้า เป็ไปไม่ได้ที่จะมีคนแปลกหน้ามาใกล้ชิดได้ อีกทั้งยังจัดวางค่ายกลกลืนกินิญญา ย้อนทวนฝืนฟ้าเช่นนี้ใส่เ้า แต่มันกลับปรากฏขึ้นบนร่างเ้า” จ้านอู๋มิ่งพูดขึ้นอย่างสงสัยยิ่งนัก
“อะไรนะ? เ้าบอกว่าสาเหตุที่ข้าเป็เช่นนี้ เพราะถูกผู้อื่นลอบทำร้ายหรือ?” จู้เชียนเชียนประหลาดใจ
“เท่าที่ดูจากการตรวจสอบของข้าแล้ว เป็เช่นนี้จริงๆ” จ้านอู๋มิ่งผงกศีรษะ กล่าวอย่างมั่นใจ
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เล่าให้เชียนเชียนฟังหน่อยได้หรือไม่?” จิตใจของจู้เชียนเชียนเต็มไปด้วยความสับสนปั่นป่วน ในฐานะที่เป็บุตรีของเ้าเมืองวันสิ้นโลก ศักดิ์ฐานะและเกียรติยศสูงส่ง คนนอกล้วนแทบจะไม่มีโอกาสได้ััตน แต่การแสดงออกของจ้านอู๋มิ่งไม่เหมือนการพูดเท็จ ั้แ่ตนจำความได้ แทบจะไม่เคยติดต่อกับบุคคลภายนอกเลย หากมีคนลงมือทำเช่นนั้นจริง นั่นต้องเป็ตอนที่ตนยังเยาว์วัย แต่ก็ไม่เคยได้ยินบิดาพูดถึงเื่นี้เลย
“ข้าใช้เคล็ดวิชาลับตรวจสอบจำนวนตัวเลขชีวิตของเ้า พบว่าจำนวนตัวเลขชีวิตของเ้าแปลกประหลาดยิ่งนัก เป็ไปได้อย่างยิ่งว่าคือสิบเอ็ด ยามนั้นกะทันหัน ข้าก็มิกล้ามั่นใจ” จ้านอู๋มิ่งขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อย
“จำนวนตัวเลขชีวิตของข้าคือสิบเอ็ดหรือ? สมควรจะไม่แปลกนี่ เ้ามิใช่บอกว่าผู้ฝึกฌานบำเพ็ญเพียร ธาตุแห่งชีวิตและโชคชะตาสามารถย้อนทวนฝืนฟ้าเพิ่มขึ้นได้มิใช่หรือ? จำนวนตัวเลขชีวิตของข้าเพิ่มขึ้นมาเพียงแค่หนึ่งเท่านั้น” จู้เชียนเชียนไม่เข้าใจ
จ้านอู๋มิ่งฝืนหัวเราะ ส่ายหน้าพูดว่า “จำนวนตัวเลขชีวิตไร้ข้อบกพร่องคือสิบ สามารถแบ่งเป็เก้าธาตุแห่งชีวิต หนึ่งโชคชะตา หรือสามารถเป็หนึ่งธาตุแห่งชีวิต เก้าโชคชะตา หลังกำเนิดการฝึกฌานบำเพ็ญเพียรจะต้องหล่อเลี้ยงเสริมเติมส่วนที่อ่อนแอก่อนแล้วค่อยไปสนใจส่วนที่เข้มแข็ง หากส่วนที่เข้มแข็งอยู่แล้วแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ส่วนที่อ่อนแอก็จะยิ่งอ่อนแอลง เมื่อเป็เช่นนี้ก็จะกลายเป็ชะตาชีวิตที่ผิดปกติ เฉกเช่นคนหากศีรษะใหญ่โตเกินไป การเดินเหินย่อมไม่มั่นคง หากเท้าใหญ่โตเกินไป การเดินเหินย่อมยากลำบาก จะต้องขาดความสมดุลอย่างแน่นอน จำนวนตัวเลขชีวิตเ้าคือธาตุแห่งชีวิตเต็ม โชคชะตาคือหนึ่ง จำนวนตัวเลขรวมแล้วคือสิบเอ็ด หากข้าคาดเดาไม่ผิด เดิมจำนวนตัวเลขชีวิตของเ้าคือธาตุแห่งชีวิตเก้า โชคชะตาหนึ่ง เป็คนชะตาชีวิตเก้าที่หายาก ใต้หล้ามีน้อยยิ่งนัก ยามนี้ถูกคนเปลี่ยนชะตาชีวิต เสริมชะตาชีวิตจนเต็ม กลายเป็การย้อนทวนฝืนฟ้า วิถีทางของ์ เฉกเช่นเดียวกับการง้างเกาทัณฑ์คันธนู! ที่อยู่สูงถูกยับยั้ง ที่อยู่ต่ำถูกยกระดับขึ้น ลดทอนผู้ที่มีส่วนเกิน มอบแด่ผู้ที่ไม่เพียงพอ วิถี์คือลดทอนส่วนที่มีเกินเพื่อเสริมส่วนที่พร่อง แต่วิถีของมนุษย์กลับมิใช่ ทำลายผู้ที่ขาดแคลนมอบแด่ผู้ที่สมบูรณ์ล้นเหลือ จำนวนตัวเลขชีวิตคือธาตุแห่งชีวิตเต็มจนล้นเหลือ โชคชะตาบกพร่องจนดับลง ส่งผลให้จิติญญาชีวิตพยายามปรับสมดุลด้วยตัวเอง กลืนกินธาตุแห่งชีวิตเพื่อรักษาสมดุลของวิถีโดยกำเนิด เพราะวิถีแห่ง์ยอมให้จำนวนตัวเลขชีวิตสูงสุดคือสิบ หากเ้าฝึกฌานบ่มเพาะพลังบรรลุขอบเขตเทพเ้าา ก็สามารถขับเคลื่อนกฎเกณฑ์ฟ้าดินเพื่อเสริมเติมเต็มโชคชะตา แต่เ้าเป็คนธรรมดาผู้หนึ่ง กลับมีธาตุแห่งชีวิตเต็มจนสมบูรณ์ โชคชะตาไม่มีแม้แต่น้อย ต่อให้ผู้อื่นช่วยเติมเต็มโชคชะตาให้เ้า ก็ยากหลีกเลี่ยงจำนวนตัวเลขชีวิตที่ขาดไป ดังนั้นขณะจิติญญาชีวิตกลืนกินธาตุแห่งชีวิตและโชคชะตาตลอดเวลา จนกระทั่งเวลาแห่งวิถีโชคชะตาหมดสิ้นลง นั่นคือเวลาที่ชีวิตเ้าแตกดับ”
“ธาตุแห่งชีวิตเต็มสมบูรณ์?” สีหน้าจู้เชียนเชียนพลันตกตะลึง หากยึดถือตามจำนวนตัวเลขชีวิตที่จ้านอู๋มิ่งพูดมา หลังจากการหลุดพ้นจึงสามารถบรรลุจำนวนตัวเลขชีวิตคู่สิบ ธาตุแห่งชีวิตและโชคชะตาล้วนทะลวงด่านจากเก้าเป็สิบ เสาะแสวงหาอีกหนึ่งที่ขาดหายไป แต่ตนเองไม่สามารถบรรลุขอบเขตระดับนั้นอย่างแน่นอน แล้วจะเสาะแสวงหาหนึ่งที่ขาดหายไปได้อย่างไรเล่า?
จ้านอู๋มิ่งพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม กล่าวว่า “ธาตุแห่งชีวิตของเ้าคือสิบไม่แปลกปลอม แต่กลับเพิ่มธาตุแห่งชีวิตลวงมาหนึ่ง มีคนที่ใช้ทักษะการย้อนทวนฝืนฟ้าจัดวางวิธีการปิดบังฟ้าบนร่างเ้า หลอกลวงวิถี์ สร้างภาพลวงตาว่าธาตุแห่งชีวิตเ้าเต็มสมบูรณ์ อาศัยวิธีนี้นำมาซึ่งการลงทัณฑ์จากวิถี์…ข้าไม่เข้าใจว่าไฉนคนผู้นี้จึงต้องทำเช่นนี้”
ในใจของจ้านอู๋มิ่งยังมีข้อสงสัยอีกข้อหนึ่ง แต่เขาไม่ได้พูดออกมา เนื่องจากเขาเองก็รู้สึกว่าเหลือเชื่อนัก หลุมดำในจิติญญาชีวิตของจู้เชียนเชียนไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แม้จะเป็การลงทัณฑ์จากวิถี์ ก็ไม่น่าจะแปลกประหลาดถึงเพียงนี้ เขารู้สึกว่านั่นคือค่ายกลกลืนกินิญญาที่เกิดขึ้นจากการวางค่ายกลนั่นเอง
สภาพการณ์ของจู้เชียนเชียนมิใช่การลงทัณฑ์จากวิถี์ แต่เป็สิ่งที่คนสร้างขึ้น ตัวการภัยพิบัติก็คือค่ายกลกลืนกินิญญาในจิติญญาชีวิตของนาง วิธีการของคนผู้นั้นช่างร้ายกาจเกินไปแล้ว ทำให้ธาตุแห่งชีวิตของจู้เชียนเชียนบรรลุความสมบูรณ์แบบเทียม หลอกลวงวิถี์ วิถี์ย่อมจะต้องเสริมธาตุแห่งชีวิตในร่างของจู้เชียนเชียนอยู่ตลอดเวลา เป็ไปตามกฎเกณฑ์ทุกประการ
มีค่ายกลกลืนิญญาอยู่ ไม่ว่าจิติญญาธาตุของฟ้าดินเข้าสู่ภายในร่างจู้เชียนเชียนมากมายเท่าไหร่ก็ล้วนถูกกลืนกินจนหมดสิ้น หากความเร็วในการเสริมธาตุแห่งชีวิตตามทันความเร็วในการกลืนกินของค่ายกลกลืนิญญา ค่ายกลกลืนิญญาก็จะไม่กลืนกินโชคชะตาของจู้เชียนเชียน แต่ในแผ่นดินนี้ไม่สามารถดูดซับพลังแก่นแท้จิติญญาได้เลย พลังแก่นแท้จิติญญาไม่สามารถได้รับการเติมเต็มอย่างเพียงพอ
เมื่อเป็เช่นนี้ ค่ายกลกลืนกินิญญาจึงกลืนกินทั้งธาตุแห่งชีวิตและโชคชะตาพร้อมๆ กัน ส่งผลให้จู้เชียนเชียนที่ไม่สามารถฝึกฌานบ่มเพาะพลัง ร่างกายอ่อนแอลงเรื่อยๆ โชคชะตาที่เหลืออีกหนึ่งก็มิใช่โชคชะตาจากตัวเชียนเชียนเอง แต่เป็โชคชะตาของบรรพบุรุษผู้เฒ่าของตระกูลจู้แห่งเมืองวันสิ้นโลกนั่นเอง กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากอาศัยเฉพาะตัวของจู้เชียนเชียนเอง เกรงว่าจะเสียชีวิตไปเนิ่นนานแล้ว เนื่องจากโชคชะตาของนางเองสูญสิ้นไปหมดแล้ว
นึกถึงตรงนี้ จ้านอู๋มิ่งหลั่งเหงื่อเย็นเยียบไปทั้งตัว จุดประสงค์ของคนผู้นี้ไม่ใช่เพียงแค่จู้เชียนเชียนที่มีร่างชะตาชีวิตเก้าเท่านั้น ยัง้าอาศัยจู้เชียนเชียนกลืนกินโชคชะตาของเมืองวันสิ้นโลกอีกด้วย ขอเพียงจู้เชียนเชียนไม่เสียชีวิต โชคชะตาของเมืองวันสิ้นโลกก็จะพ่วงเข้าด้วยกันกับองค์หญิงนางนี้ ภายใต้การกลืนกินของค่ายกลกลืนกินิญญาตลอดเวลา โชคชะตาของเมืองวันสิ้นโลกก็จะถูกกลืนกินไปด้วย
จ้านอู๋มิ่งพอจะััรู้สึกได้รางๆ ว่าธาตุแห่งชีวิตและโชคชะตาที่ถูกค่ายกลกลืนกินิญญากลืนกินไม่ได้สูญหายแต่อย่างไร แต่ถูกส่งต่อให้ผู้อื่นในเส้นทางใดเส้นทางหนึ่ง คนผู้นั้นคือผู้ที่จัดวางค่ายกลกลืนกินิญญานี้นั่นเอง!
ท่ามกลางความมืดมิด ดูเหมือนเขาจะจับร่องรอยอะไรบางอย่างได้แล้ว แต่ก็นึกไม่ออก เขาทราบว่าเพราะฐานการบ่มเพาะของตนต่ำเกินไป มิฉะนั้นด้วยพลังเคล็ดวิชาคัมภีร์เทพอนัตตาที่ทรงพลัง บางทีเขาอาจสืบเสาะจนค้นพบชายผู้น่ากลัวที่อยู่เื้ัผ่านความเชื่อมโยงของโชคชะตาก็ได้!
แต่ว่าจ้านอู๋มิ่งรู้ว่าแม้ตนจะแกะรอยหาจนพบ คาดว่าก็คงมิใช่คู่ต่อสู้ของคนผู้นั้น เกรงว่าคนผู้นั้นเมื่อยี่สิบปีก่อน ตอนที่จู้เชียนเชียนถือกำเนิดก็เป็สุดยอดปรมาจารย์นักพยากรณ์ชีวิตแล้ว ฐานบ่มเพาะของคนผู้นั้นเทียบกับเ้าเมืองวันสิ้นโลกมีแต่สูงกว่าไม่มีด้อยกว่า มิฉะนั้นก็ไม่สามารถลงมืออย่างโหดร้ายกับจู้เชียนเชียนในเมืองวันสิ้นโลกแล้ว ตลอดหลายปีนี้กลืนกินโชคชะตาของเมืองวันสิ้นโลกตลอดเวลาทว่ากลับไม่ถูกพบเห็น จ้านอู๋มิ่งยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นตระหนก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้