เมื่อก่อนบ้านเจียงยากจนมาก เด็กๆ ย่อมไม่มีโอกาสได้ััพลุ พลุสวยงามก็จริง แต่หากจัดการไม่ดีจะอันตรายมาก
หลินหวั่นชิวกำชับข้อควรระวังหลายรอบก่อนที่จะปล่อยเด็กๆ ไปจุดพลุ
“เ้าดื่มเยอะแล้ว” เจียงหงหย่วนพูดข้างหูนาง “กลับห้องเถิด”
“ไม่” หลินหวั่นชิวส่ายหน้าราวกับกลองสั่น นางไม่กลับห้องหรอก “ข้าจะรอข้ามปี!”
พูดจบก็ใช้มือดันหน้าเจียงหงหย่วน ทั้งที่สติกำลังเลอะเลือนแต่ยังจำได้ว่าต้องหลีกหน้าเขา
“เจียงหงหย่วน นี่เป็การรอข้ามปีครั้งแรกในชีวิตข้า มันมีความหมายต่อข้ายิ่งนัก!”
หลินหวั่นชิวกล่าวอย่างจริงจัง เจียงหงหย่วนโอบเอวนาง ป้องกันไม่ให้นางเซล้ม
นางพูดจบก็ยิ้ม ยิ้มอย่างมีความสุขและพึงพอใจ
ท่าทีเช่นนี้ทำให้เจียงหงหย่วนปวดใจมาก
ภรรยาตัวน้อยไม่เคยแสดงมุมอ่อนแอให้เขาเห็น ไม่ว่าจะตอนที่ถูกคนบ้านหลินขาย ถูกคนบ้านหลินพาหัวหน้าหมู่บ้านมาจับนางถ่วงน้ำ นางก็ยืนหยัดต่อสู้ด้วยความเข้มแข็ง ไม่เคยยอมแพ้ ไม่เคยท้อถอย
แต่นางยิ่งเข้มแข็งเท่าไร เจียงหงหย่วนก็ยิ่งปวดใจเท่านั้น
ดวงใจอัดอั้นจนปวด
ตอนนี้นางพูดอย่างตื่นเต้นด้วยรอยยิ้มก็จริง ทว่าความอ้างว้างที่ซ่อนในดวงตากลับถูกเขาเห็นอยู่ดี
นางมีสิ่งที่ร้องขอเท่าไรแต่ไม่อาจได้มา…
เหมือนลูกสัตว์ที่โดนทอดทิ้ง ต้องเข้มแข็งและใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง เพิ่งจะมีชีวิตชีวาก็ตอนรู้ว่าถูกเขาเก็บกลับมาเลี้ยง
เขารักนางที่มีชีวิตชีวาเช่นนี้เหลือเกิน
ขณะเดียวก็สงสารนางยังคงมีความเสียใจ
เจียงหงหย่วนอยากดึงนางมากอดแน่นๆ อยากปลอบโยนนาง แต่ในลานบ้านมีคนอยู่เยอะเกินไป
“ฟิ้ว ฟิ้ว…” หงหนิงจุดพลุ ประกายไฟสีทองพุ่งขึ้นฟ้าแล้วแตกออกกลางอากาศ พลุตกลงมาราวกับสายฝนสีทอง
มีเสียงะเิกลางอากาศดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า พลุสีทองปกคลุมทั่วฟ้า
“สวยยิ่งนัก!” หงหนิงร้องเสียงดัง
“พี่สะใภ้ ท่านมาจุดด้วยสิขอรับ!” หงหนิงโบกมือเรียกหลินหวั่นชิว หลินหวั่นชิวสะบัดเจียงหงหย่วนออกจะวิ่งไป เจียงหงหย่วนรีบตามไปประคอง
นางจะจุดพลุแต่มือไม่มั่นคง เอาแต่ส่ายไปมา เจียงหงหย่วนช่วยจับมือนางจุดพลุ จากนั้นรีบโอบนางถอยหลัง
“ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว…” สายชนวนถูกจุด พลุเจ็ดสีพุ่งขึ้นพา
เด็กๆ ร้องด้วยความตื่นเต้น พวกเจียงไฉมองท้องฟ้าอย่างมีความสุขเช่นกัน
แต่ตอนนี้ ในสายตาเจียงหงหย่วนมีแค่หลินหวั่นชิว เขาเห็นพลุแตกออกในดวงตาดุจหินอัคคีสีดำของนางราวกับดวงดาราดาษดาบนท้องนภา
เห็นนางยิ้มกว้างสดใสดุจบุปผาบานรับฤดูใบไม้ผลิเดือนสาม
ตราตรึงใจเขายิ่งนัก
อยากจมอยู่ในดวงตาดูดิญญาคู่นั้นตลอดไป
“ท่านแม่ นั่นคือพลุหรือ?” ภายในหมู่บ้าน หลายคนวิ่งออกมาที่ลานบ้านเพื่อมองท้องฟ้า
“ใช่ นั่นคือพลุ!”
“บ้านเจียงกำลังจุด!”
“ไอ๊หยา…บ้านเจียงเงยหน้าอ้าปากแล้วจริงๆ กล้าซื้อพลุมาจุดเช่นนี้ ดูสวยก็จริง แต่นี่ต้องใช้เงินเพียงใดเล่า!”
“เ้าจะเข้าใจกระไร ยิ่งจุดพลุก็ยิ่งรุ่งโรจน์ บ้านเจียงเงยหน้าอ้าปากแล้ว!”
“เมื่อก่อนมองไม่ออก หากรู้แต่แรก ข้าคงยกลูกสาวให้แต่งกับเขาแล้ว”
“รู้กระไรก็ไม่สู้รู้เช่นนี้!”
“ไม่รู้ว่าภรรยาสองคนที่หนีไปก่อนหน้านี้หากรู้ว่าบ้านเจียงได้ดีแล้วจะกลับมาหรือไม่?”
“ถึงจะกลับมา เจียงเหล่าต้าก็ไม่รับไว้หรอก พวกเ้าไม่เห็นหรือว่าเขาเลี้ยงดูจนหลินหวั่นชิวมีน้ำมีนวลเพียงใด? ไม่มีสาวใหญ่กับแม่นางคนใดในหมู่บ้านเราหน้าตาดีกว่านาง”
พลุลอยขึ้นจากบ้านเจียงไม่หยุด ทั้งหมู่บ้านออกมาดู ดูไปด้วย ทอดถอนใจไปด้วย เพียงไม่กี่เดือน บ้านเจียงก็พลิกจากหน้ามือเป็หลังมือ
แม้แต่ครอบครัวเ้าของที่ดินยังสู้ความมั่นใจนี้ไม่ได้
หลินหวั่นชิวช่างวาสนาดี
บ้านหลิน
ทั้งครอบครัวถูกเสียงพลุเรียกออกมาดูเช่นกัน สีหน้าสวี่ซื่อไม่สู้ดีนัก นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหลินหวั่นชิวเข้าบ้านเจียงแล้วจะไม่เพียงไม่ถูกทรมานหรือเหนื่อยตาย แต่กลายเป็ว่าได้เงยหน้าอ้าปากแทน
ได้เป็ไท่ไท่
ทั้งยังตัดความสัมพันธ์กับบ้านแม่
ที่สำคัญคือเ้าทำกระไรไม่ได้ เพราะผู้ใดใช้ให้ตอนนั้นทำสัญญาขายตัวกันเล่า
ไม่ใช่แค่สวี่ซื่อที่ไม่ชอบใจ หลินซย่าจื้อ หลินฮั่วและโจวเอ้อร์เหนิงต่างไม่ชอบใจเช่นกัน
“บ้านเจียงได้ดี วันหน้าหวั่นชิวจะได้อยู่ดีกินดีเช่นกัน” จางซื่อยืนพูดข้างหลินฟาไฉด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
สวี่ซื่อทนมองจางซื่อเกี่ยวแขนหลินฟาไฉไม่ได้ ในใจเดือดดาล “ดีกับผีน่ะสิ ก็แค่ทาสคนหนึ่ง เ้านายที่ถูกต้องยังไม่แต่งเข้าบ้าน นางแค่เอาหน้าแทน ถุย! คิดจะเป็ไท่ไท่ ต้องดูด้วยว่าตัวเองมีวาสนาหรือไม่!”
“เหล่าเหยีย ไท่ไท่พูดถูกแล้วเ้าค่ะ ไว้เปิดปีใหม่แล้วพวกเราต้องหาวิธีไถ่ตัวหวั่นชิวกลับมา ต่อให้ข้าต้องใช้สินเดิมติดตัวทั้งหมดก็ต้องไถ่นางกลับมาให้ได้ มิเช่นนั้น หากมีคนเอาเื่ที่ลูกสาวบ้านหลินเป็ข้าทาสไปพูดคงดูไม่ดี ไม่ใช่แค่กระทบต่อจินเป่า แต่ยังกระทบฮั่วเอ๋อร์กับชุ่ยเอ๋อร์ด้วย”
ใช้สินเดิมติดตัวทั้งหมด จะได้อย่างไร!
หลินฟาไฉเป็คนแรกที่จะไม่ยอม
หลินซย่าจื้อยิ่งไม่มีทาง
หลินฟาไฉตำหนิสวี่ซื่อ “พูดไม่เป็ก็หุบปาก เอาแต่พูดเื่ไร้สาระ กินเข้าไปตั้งเยอะแต่ยังอุดปากเน่าเหม็นของเ้าไม่ได้อีกหรือ เช่นนั้นวันหลังเ้าก็ไม่ต้องกินแล้ว!”
หลินซย่าจื้อเกลี้ยกล่อมเช่นกัน “ท่านแม่ เจียงหงหย่วนยอมมอบแม้กระทั่งขนจิ้งจอกให้นาง ดูแล้วคงชอบนางเป็แน่ ท่านอย่าพูดเช่นนี้อีก”
สวี่ซื่อถูกสองพ่อลูกรุมตำหนิ เกือบโมโหอกแตกตาย ท้ายที่สุดก็เดินกลับเข้าห้องและปิดประตูดัง ‘ปัง’
จางซื่อคอยมองปฏิกิริยาของคนบ้านหลิน แววตามีประกายดูถูกกะพริบผ่าน
“ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็เป็คนบ้านแม่ของนาง ปีใหม่แล้วควรไปมาหาสู่เยี่ยมเยียน ต่อให้เจียงหงหย่วนไม่รับก็ยังเป็คนหมู่บ้านเดียวกัน เหล่าเหยีย ข้าคิดว่าปีนี้พวกเราควรจัดงานเลี้ยงรับแขกสักสองสามโต๊ะ เดือนแรกที่บ้านคึกคักมากเท่าไร ตลอดปีจึงจะรุ่งเรืองมากเท่านั้น ถึงเวลาแล้วเชิญคนสนิทมาร่วมงาน เชิญบ้านเจียงมาด้วย จะได้เป็หน้าเป็ตาให้เหล่าเหยียด้วยเช่นกัน ซย่าจื้อไม่ต้องเป็ห่วงเื่เงิน ข้าจะออกค่าใช้จ่ายให้เอง สิบตำลึงพอหรือไม่?”
หลินซย่าจื้อได้ยินดังนั้นก็ดีใจ “พอแล้วๆ!” งานเลี้ยงในชนบทต้องใช้เงินเยอะขนาดนั้นที่ใดเล่า สิบตำลึงนี้นางต้องเก็บเข้ากระเป๋าตัวเองสองตำลึง
หลินฟาไฉพึงพอใจเช่นกัน เพราะมีแต่ครอบครัวมั่งคั่งที่จัดงานเลี้ยงในฤดูใบไม้ผลิได้ ครอบครัวเขาไม่ได้จัดมาหลายปีแล้ว
เขาจำได้ว่าเคยจัด่สองสามปีแรกที่รับหลินหวั่นชิวมาเลี้ยง
“ได้ ทำตามที่เ้าว่า ถึงเวลาแล้วเชิญบ้านเจียงมาด้วย” หลินฟาไฉตบเข่าพูด
จางซื่อยิ้ม “ทำถูกแล้วเ้าค่ะ ครอบครัวควรไปมาหาสู่กัน บ้านเจียงอยู่ดีกินดี ขอแค่เราผูกมิตรกับพวกเขา วันหน้าจะได้มีคนช่วยเหลือจุนเจือครอบครัวมากขึ้น”
จางซื่อพูดจบก็มองท้องฟ้า พลุที่แตกออกกลางอากาศงดงามยิ่งนัก ราวกับทำนายชะตาชีวิตของหลินหวั่นชิวและความมั่งคั่งของบ้านเจียง
สักวันต้องเลือนหายไปเหมือนพลุ
รอให้นางได้หยกแขวนจากหลินหวั่นชิวมาเสียก่อน หลินหวั่นชิวก็ไม่มีความจำเป็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป นายท่านไม่มีทางอนุญาตให้สิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายเช่นนางมีชีวิตอยู่บนโลก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้