“แหล่งกำเนิดมาจากฝั่งเผ่าพันธุ์เทพ!”
“ความโกลาหลอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้หรือว่าจักรพรรดิเผ่าพันธุ์เทพนับร้อยในเขตแดนศักดิ์สิทธิ์จะโจมตีพร้อมกัน?”
“พวกเขาเผชิญสิ่งใดหรือเพียงแค่เบื่อหน่ายจึงตัดสินใจให้จักรพรรดิเผ่าพันธุ์เทพนับร้อยโจมตีเต็มกำลัง?”
“ใครจะรู้? พวกนี้ปกติก็ว่างอยู่แล้วยุ่งกับเื่อะไรก็ไม่รู้”
“ไปดูกันเถอะ”
“…”
ทันทีนั้นจักรพรรดิเผ่ามนุษย์เหล่านี้ฉีกมิติด้วยร่างกายและหายไปในพริบตา
…
ดินแดนเผ่าพันธุ์เทพ
สมาชิกเผ่าพันธุ์เทพนับไม่ถ้วนััถึงความผันผวนที่แผ่ออกมาจากเขตแดนศักดิ์สิทธิ์
และสาเหตุของพลังเทพอันน่าสะพรึงกลัวนี้เห็นได้ชัดว่าเป็การโจมตีพร้อมกันของจักรพรรดิเผ่าพันธุ์เทพนับร้อยคน
สมาชิกเผ่าพันธุ์เทพย่อมตื่นเต้นยิ่งนักการที่จักรพรรดิเผ่าพันธุ์เทพมากมายโจมตีพร้อมกันเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์
พร้อมกันนั้นพวกเขาไว้อาลัยให้คู่ต่อสู้ของจักรพรรดิเผ่าพันธุ์เทพในใจ
ท้ายที่สุดในมุมมองของพวกเขาไม่มีผู้ใดใน์หรือบนพื้นดินที่ต้านทานพลังรวมของจักรพรรดิเผ่าพันธุ์เทพร้อยคนได้
ในขณะนี้
ภายในเขตแดนศักดิ์สิทธิ์
อันที่จริงไม่เพียงสมาชิกเผ่าพันธุ์เทพที่คิดเช่นนี้แม้แต่จักรพรรดิเผ่าพันธุ์เทพเหล่านี้เองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน
ดังนั้นเมื่อจักรพรรดิเผ่าพันธุ์เทพนับร้อยโจมตีเต็มกำลังพวกเขาต่างรู้สึกว่านี่คือชัยชนะที่แน่นอน
ทว่าภาพอันน่าสะพรึงกลัวได้ปรากฏ
ร่างเลือนรางที่ก้าวผ่านแม่น้ำแห่งกาลเวลาเพียงกวาดสายตา
ทันใดนั้นการโจมตีรวมของจักรพรรดิเผ่าพันธุ์เทพนับร้อยก็สลายเงียบงันไม่อาจก่อให้เกิดแม้ระลอกคลื่นเล็กน้อยไม่แม้แต่ทำให้ชายผ้าของอีกฝ่ายกระเพื่อม
ภาพนี้ทำให้จักรพรรดิเผ่าพันธุ์เทพที่อยู่ตรงนั้นเงียบงัน
และฉือเหรินที่ซ่อนอยู่ในจักรวาลในฝ่ามือเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้เพิ่งฟื้นจากเหตุการณ์ก่อนหน้าแล้วได้เห็นภาพน่าสะพรึงกลัวนี้ก็ตะลึงงันอีกครั้ง
ซูเซวียนไม่สนใจสิ่งเหล่านี้เขาก้าวออกจากแม่น้ำแห่งกาลเวลาเผยพลังของราชันะเล็กน้อยร่างกายของเขาห่อหุ้มด้วยแสงอันไร้ขอบเขต
เมื่อเผชิญหน้ากับจักรพรรดิเผ่าพันธุ์เทพร้อยคนที่เงียบงันเขาเพียงกล่าวประโยคเดียว “ทุกท่านเชิญนั่ง”
แม้เขาจะกล่าวว่า “เชิญ” ด้วยการกวาดสายตาครั้งเดียวจักรพรรดิเผ่าพันธุ์เทพที่อยู่ตรงนั้นไร้พลังต่อต้านถูกบังคับให้นั่งลง ณ ที่ของตนทีละคน
บางสถานที่ที่จักรพรรดิเผ่าพันธุ์เทพอยู่มีส่วนแหลมคมและการถูกบังคับให้นั่งในขณะนั้นทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายชั่วขณะที่ไม่อาจบอกเล่าต่อผู้อื่นได้ (วัตถุในเขตแดนศักดิ์สิทธิ์มีลักษณะพิเศษแม้จักรพรรดิก็ไม่อาจทำลายได้)
เมื่อทำทั้งหมดนี้ซูเซวียนก้าวขึ้นนั่งบนบัลลังก์ศักดิ์สิทธิ์ในเขตแดนศักดิ์สิทธินิ้วเรียวยาวของเขาเคาะแขนของบัลลังก์และไม่มีผู้ใดกล้าสบตาเขา
นี่คือภาพที่น่าตื่นตะลึงอย่างไม่ต้องสงสัยบุคคลหนึ่งปราบจักรพรรดินับร้อยคนซึ้งไม่เคยมีมาก่อนและคงไม่มีในอนาคต
ทันใดนั้นซูเซวียนกล่าว “ข้ามานี่เพียงเพื่อถามคำถามสองสามข้อเมื่อเสร็จแล้วข้าจะจากไป”
นี่คือท่าทีของการถามคำถามหรือ!
จักรพรรดิเผ่าพันธุ์เทพหลายคนที่อยู่ตรงนั้นบ่นในใจแต่เมื่ออยู่ใต้ชายคาคนอื่นก็ต้องก้มหัวถึงแม้จะเป็จักรพรรดิสูงสุดในขณะนี้ก็ต้องยอมจำนน
พูดง่ายๆพวกเขายอมแพ้
ท้ายที่สุดผู้ที่ไม่โง่ย่อมเห็นว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตะอย่างแน่นอน
และไม่ใช่เพิ่งก้าวเข้าหากแต่เขาได้เดินทางไกลในเส้นทางขอบเขตะแล้ว
ในขณะนี้
จักรพรรดิของเผ่าเทพ์อดไม่ได้ที่จะกล่าว “ท่านผู้นี้คงเป็เผ่ามนุษย์จากยุคหลัง”
“อืม”
ซูเซวียนพยักหน้าเบาๆไม่ปฏิเสธ
ท้ายที่สุดเขาไม่ได้ปกปิดมากนักเมื่อลงมาและไม่มีคนโง่อยู่ที่นี่พวกเขาคงมีข้อสงสัยอยู่แล้ว
แท้จริงแล้วเมื่อคำพูดนี้ดังขึ้นจักรพรรดิเผ่าพันธุ์เทพที่อยู่ตรงนั้นไม่แสดงปฏิกิริยามากนักเห็นได้ชัดว่ายืนยันข้อสงสัยของตน
ทว่าการได้รับการยืนยันจริงยังคงก่อให้เกิดระลอกในใจของพวกเขาไม่น้อย
เผ่ามนุษย์ในยุคหลังจะมีผู้ที่อยู่ในขอบเขตเช่นนี้ได้จริงหรือ!
เผ่าพันธุ์เทพย่อมดูแคลนเผ่ามนุษย์มาโดยตลอดไม่เพียงในแง่ของขอบเขตแต่ยังด้วยความรู้สึกถึงความเหนือกว่าตามกำเนิด
ราวกับคนจากเมืองใหญ่พบเห็นชาวพื้นเมืองจากสถานที่เล็กๆ
แต่บัดนี้ ‘ชาวพื้นเมือง’ ในสายตาของพวกเขาจะให้กำเนิดผู้ที่มีพลังไร้เทียมทานเช่นนี้ในอนาคต
ต้องรู้ว่าผู้แข็งแกร่งเช่นนี้แม้ในเผ่าพันธุ์เทพก็อยู่ในระดับสูงสุดอย่างแท้จริง
ที่เผ่ามนุษย์มีผู้เช่นนี้ด้วยนั้นน่าตื่นตะลึงอย่างยิ่ง!
ซูเซวียนไม่สนใจความคิดภายในของจักรพรรดิเผ่าพันธุ์เทพที่อยู่ตรงหน้าเขาเข้าเื่โดยตรงโดยไม่มีการเกริ่นนำ
เขาซักถามจักรพรรดิเผ่าพันธุ์เทพเหล่านี้เกี่ยวกับเื่นอกโลกของพวกเขา
เื่เหล่านี้ไม่ถือเป็ความลับและเมื่อชีวิตของพวกเขาอยู่ในมือของเขาไม่สามารถควบคุมชะตากรรมของตนได้จักรพรรดิเผ่าพันธุ์เทพเหล่านี้จึงบอกเล่าทุกอย่างอย่างละเอียด
โดยคร่าวหลังจากทะลวงความโกลาหลไร้ขอบเขตไม่เพียงตัวเองแต่โลกที่ตนอยู่อาศัยจะถูกเผยสู่์และโลกในความโกลาหลโบราณ
และใน์และโลกของความโกลาหลนั้นมีโลกนับไม่ถ้วนมากกว่าทรายในคงคา
เผ่าพันธุ์เทพของพวกเขาเป็หนึ่งในนั้น…
หลังจากจักรพรรดิเผ่าพันธุ์เทพเหล่านี้กล่าวอยู่นานซูเซวียนก็เข้าใจสถานการณ์นอกโลกของพวกเขาอย่างชัดเจน
“อย่างที่คาดการณ์ไว้ ถึงข้าราชันะจะเรียกได้ว่าเป็ยอดฝีมือที่นั่นแต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะไร้เทียมทานอย่างสมบูรณ์…”
ซูเซวียนพึมพำกับตัวเอง
ไม่ต้องพูดมากเพียงจับรางวัลต่อไปและพัฒนาอย่างมั่นคง
ต่อมาซูเซวียนยังฉวยโอกาสสอบถามถึงจุดประสงค์ของเผ่าพันธุ์เทพที่มาสู่โลกนี้
จักรพรรดิเผ่าพันธุ์เทพเหล่านี้ไม่ปิดบังกล่าวว่าพวกเขาเจอกับพายุแห่งความโกลาหลและบังเอิญเข้ามาในโลกนี้
จึงพักอยู่ในโลกนี้เพื่อฟื้นฟูาแและซ่อมแซมเรือรบของพวกเขา
ล่วงเลยนับล้านปีและเกือบเสร็จสิ้นวางแผนจะจากไปในไม่ช้า
ทว่าพวกเขายังขยายเผ่าพันธุ์และเจริญรุ่งเรืองที่นี่เพิ่มสมาชิกเผ่ามากมายจึงเป็ไปไม่ได้ที่จะพาทั้งหมดไป
ดังนั้นหลังจากชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียสมาชิกเผ่าที่ต่ำกว่าขอบเขตกึ่งจักรพรรดิจะถูกทิ้งไว้และผนึกไว้ส่วนผู้ที่อยู่ในขอบเขตกึ่งจักรพรรดิขึ้นไปจะกลับไปและจะกลับมาด้วยเรือรบที่ใหญ่และแข็งแกร่งกว่าภายหลังเพื่อมารับพวกเขา…
เมื่อได้ยินทั้งหมดนี้ซูเซวียนจึงเข้าใจว่าทำไมในยุคหลังจึงเหลือเพียงสมาชิกเผ่าพันธุ์เทพอย่างฉือเหริน
ทว่าจากมุมมองของยุคหลังสมาชิกเผ่าพันธุ์เทพที่อยู่ในขอบเขตกึ่งจักรพรรดิขึ้นไปไม่เคยกลับมาหลังจากจากไปไม่ว่าจะเพราะไม่้ากลับหรือเผชิญอันตรายใน์และโลกของความโกลาหลที่ทำให้ไม่อาจกลับมาได้
ระหว่างสองข้อสันนิษฐานนี้ซูเซวียนเอนเอียงไปทางหลังเพราะจากการสังเกตของเขาสมาชิกเผ่าพันธุ์เทพเหล่านี้ไม่ได้ไร้หัวใจต่อเผ่าพันธุ์ของตน
เมื่อได้คำตอบทั้งหมดซูเซวียนไม่ซักถามต่อเขาเพียงดีดนิ้วเบาทำให้จักรพรรดิเผ่าพันธุ์เทพเหล่านี้หลับลึก
จากนั้นด้วยความคิดเขาลบความทรงจำทั้งหมดเกี่ยวกับตัวเขาออกจากพวกเขา
เมื่อทำทั้งหมดนี้ซูเซวียนตั้งใจจะจากไป
ทว่าขณะนั้นเขาดูเหมือนััอะไรบางอย่างและมองไปยังความว่างเปล่าข้างบนเก้า์
เขาเห็นรอยฉีกขาดขนาดใหญ่ที่นั่นจากนั้นจักรพรรดิเผ่ามนุษย์หลายคนปรากฏตัว
จักรพรรดิเผ่ามนุษย์เหล่านี้เห็นทันทีถึงจักรพรรดิเผ่าพันธุ์เทพนับร้อยที่หลับอยู่ในเขตแดนศักดิ์สิทธิ์รวมถึงซูเซวียนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ศักดิ์สิทธิ์
และพวกเขาััถึงสายเืเผ่ามนุษย์ในตัวซูเซวียนทันที