เฉียวเยว่แย้มยิ้มมองทุกคน หลังจากนั้นก็ก้มหน้าเอียงอายเยี่ยงดรุณีน้อยผู้อบอุ่นอ่อนโยน แต่ดรุณีน้อยที่ไหนจะไม่มีความเกรงใจกันขนาดนี้
หรงฉางเกอเห็นสวี่ม่านหนิงถูกตอกหน้าก็สาแก่ใจยิ่งนัก เอ่ยรับทันควัน "ข้าว่าคำพูดของซูเฉียวเยว่ใช่ว่าไร้เหตุผล เป็สตรีจะเอ่ยวาจาก็ควรไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อน อ้อจริงสิ ม่านหนิง อายุของเ้าพอๆ กับชายารัชทายาทกระมัง? ถึงเวลาควรดูตัวแล้วใช่หรือไม่?"
คำพูดนี้ร้ายกาจยิ่ง หากไม่เพราะมีองค์หญิงหรงเหยียนอยู่ด้วย เกรงว่าทุกคนคงหลุดหัวเราะลั่นออกมาแล้ว
เฉียวเยว่เห็นโม่หลันซึ่งนั่งอยู่ข้างกายตนเองบีบผ้าเช็ดหน้าตัวเกร็ง ก้มศีรษะต่ำ ดูเหมือนจะพยายามข่มกลั้นไม่ให้หัวเราะออกมา ใครบ้างไม่รู้ สวี่ม่านหนิงมักใหญ่ใฝ่สูงอยากจะเป็ชายารองรัชทายาทเพียงใด แต่กลับถูกฝ่าาหักหน้าอย่างแรง
แม้ภายหน้ารัชทายาทจะแต่งตั้งสนมเพิ่ม สวี่ม่านหนิงก็ไม่อาจเข้าไปเกี่ยวข้องอีกต่อไป
สวี่ม่านหนิงเองก็เข้าใจความเป็จริงข้อนี้ นางแทบจะร้องไห้ออกมาเสียเดี๋ยวนั้น ในใจนึกแค้นเคืองสกุลซู ด้วยรู้ว่านี่คือแผนร้ายที่คนสกุลซูก่อขึ้น ทั้งขุ่นเคืองมารดาของตนอง เื่ยังไม่สำเร็จ จะไปคุยโวโอ้อวดทำไม เื่ที่กำลังจะไปด้วยดีจึงถูกพวกเขาพลิกตลบจนมิอาจกลายเป็จริงได้อีก
นึกมาถึงตรงนี้ก็ยิ่งรู้สึกสงสารตนเอง แต่ถึงกระนั้นนางยังคงอดกลั้นไม่หลั่งน้ำตา ตรงข้ามกลับเงยหน้ายิ้มรับ "คุณหนูเจ็ดกล่าวได้ถูกต้อง"
"แท้จริงแล้วม่านหนิงไม่ต้องรีบร้อนเกินไป ถึงอย่างไรผู้มีความสามารถแท้จริงก็ไม่ต้องกังวลอยู่แล้ว สตรีที่ดีล้วนมีแต่คนอยากมาสู่ขอ ข้ารู้มาโดยตลอดว่าเ้าเป็คนมีความสามารถ แม้จะไม่มีพร์เก่งกาจเหมือนใครบางคน แต่ความเพียรพยายามอย่างหนักก็ใช่ว่าจะไม่สำคัญ"
ทุกคนย่อมฟังรู้ว่าหรงเหยียนปกป้องสวี่ม่านหนิง เมื่อคิดเชื่อมโยงกับการแข่งขันกับซีเหลียงเมื่อต้นฤดูวสันต์ ก็ยิ่งแน่ใจว่าองค์หญิงกับชายารัชทายาทเป็น้องสามีที่ไม่ลงรอยกับพี่สะใภ้
แม้ว่าสวี่ม่านหนิงไม่สามารถเป็คนของจวนรัชทายาทได้อีก แต่ใช่ว่าผู้อื่นจะเป็ไม่ได้ ชายารัชทายาทที่ไม่ได้รับความโปรดปรานจากฮองเฮาเและองค์หญิงใหญ่คนหนึ่ง ดูจากตรงนี้แล้วสกุลซูก็มิได้เลิศเลออันใด ชั่วขณะนั้นก็เริ่มมีคนเกิดความคิดที่จะเข้ามามีบทบาททันใด
มีองค์หญิงอยู่ หรงฉางเกอถึงจะเป็ท่านหญิงก็ไม่นับว่าเป็อันใด แต่นางเป็เ้าภาพของงาน เห็นแต่ละคนต่างมีความคิดต่างๆ นานา จึงเข้ามาประนีประนอมสถานการณ์
แม้จะชิงชังสวี่ม่านหนิง แต่ไม่ถึงกับทำให้หรงเหยียนอารมณ์ขุ่นมัวในจวนของตนเอง ถึงอย่างไรสถานะของพวกนางก็ต่างกัน
หรงฉางเกอเชื้อเชิญให้ทุกคนไปวาดภาพจิบชากันในห้องหนังสือ โม่หลันเข้ามากระซิบข้างหูเฉียวเยว่ "ข้าว่าใบหน้าของหรงฉางเกอยืดไปถึงูเาฉางไป๋แล้ว"
เฉียวเยว่ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า "องค์หญิงคงจะมาโดยบังเอิญ"
ถึงกระนั้น คำว่า "บังเอิญ" ก็มีความจงใจอยู่หลายส่วน ทว่าก็อธิบายลำบาก
"ข้าได้ยินมารดาพูดว่า ที่หรงฉางเกอชักชวนสหายในสำนักศึกษามาเที่ยวจวนของนาง แท้จริงแล้วก็เพื่อมาให้น้องชายดูตัว"
เฉียวเยว่อึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะเปรยว่า "น้องชายนางเด็กกว่าพวกเราตั้งหลายปี คำกล่าวนี้ไม่รู้ว่าลือกันมาจากไหน เหลวไหลทั้งเพ"
เฉียวเยว่กลับไม่เชื่อ
โม่หลันกลอกตา "ดูเ้าสิ แต่งสตรีอายุมากกว่าเหมือนมีโชคสามชั้น [1] ไม่เห็นจะเป็อะไรเลย"
กล่าวเช่นนี้ เฉียวเยว่ก็จนปัญญาจะหาถ้อยคำมาตอบโต้ พวกนางเพิ่งจะสิบสอง มาให้เด็กน้อยวัยไม่กี่ขวบดูตัว นี่มันเื่เหลวไหลประเภทไหนกัน พูดออกมาแล้วก็น่าขันยิ่งนัก
แต่เฉียวเยว่กลับไม่พูดอะไรมาก ตราบใดที่ไม่มีใครสะกิดถูกนาง นางก็จะไม่เป็ฝ่ายไปหาเื่ผู้อื่นก่อน คุณสมบัติข้อนี้นางยังพอมีอยู่
เฉียวเยว่คิดอยู่เงียบๆ รู้สึกเสียใจภายหลังที่ไม่ฟังคำพูดของฉีอัน จะว่าไปน้องชายของนางก็ปากนกกาจริงๆ ทว่าเขาก็ทายต้นเื่ถูก เพียงแค่ทายท้ายเื่ไม่ถูกเท่านั้น
"เรียนท่านหญิงน้อย ท่านอ๋องอวี้มาเ้าค่ะ"
หรงฉางเกอประหลาดใจ "ท่านพี่อวี้อ๋อง? เขามาทำไม?"
นางพลั้งปากพูดความจริงในใจออกมาแต่ไม่ช้าก็ยิ้มเอ่ยว่า "เมื่อท่านพี่อวี้อ๋องมาแล้ว ก็รีบเชิญเข้ามาเถอะ"
เฉียวเยว่เห็นนางเปลี่ยนสีหน้ารวดเร็วยิ่ง
หรงเหยียนเองก็ประหลาดใจ แต่ไม่แสดงออกชัดเจนเท่าหรงฉางเกอ นางมองไปที่เฉียวเยว่ แต่เ้าตัวกลับทำเหมือนว่าไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง
อวี้อ๋องสวมเสื้อสีเขียวเข้ม ทับด้วยเสื้อคลุมกันลมสีม่วงอ่อน เดินเอ้อระเหยเข้าประตูมา ทุกคนเห็นเขาแต่งกายเช่นนั้นก็หันมามองการแต่งตัวของเฉียวเยว่
เหมือนราวกับโขลกออกมาจากพิมพ์เดียวกัน
เฉียวเยว่ "..."
หรงจ้านยกยิ้มน้อยๆ "เหยียนเอ๋อร์กับฉางเกอคงไม่ตำหนิที่ญาติผู้พี่มาโดยมิได้รับเชิญกระมัง?"
เขาล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาเริ่มเช็ดมือ หรงฉางเกอสงบอารมณ์ลงแล้วก็หันไปมองเฉียวเยว่ปราดหนึ่ง หลังจากนั้นก็รั้งสายตากลับมาแล้วตอบกลับไป "ไม่อยู่แล้ว ไม่อยู่แล้ว"
นางหยุดใคร่ครวญเล็กน้อย แล้วพูดเสริมอีกว่า "ท่านพ่อไม่อยู่เ้าค่ะ"
หรงจ้านยิ้ม เริ่มเช็ดเก้าอี้ แล้วพูดอย่างตรงไปตรงมา "ข้าเพียงมาหาฉางเกอกับเหยียนเอ๋อร์ บิดาเ้าจะอยู่หรือไม่ สำคัญด้วยหรือ?"
หรงฉางเกอ "..."
เฉียวเยว่ถอนหายใจเงียบๆ หลายปีขนาดนี้ ลูกพี่ลูกน้องอย่างพวกเขามิได้รู้จักกันมากขึ้นเลยหรือไร หรงจ้านญาติผู้พี่ของพวกนางผู้นี้แตกต่างจากที่พวกนางคิดโดยสิ้นเชิง เขาเคยเหมือนคนปรกติเสียที่ไหน
แต่เฉียวเยว่ก็ไม่ได้เอ่ยออกมา
นางยิ้มน้อยๆ พยายามวาดภาพติดผนังอย่างเต็มที่ แต่วันนี้พวกเขาแต่งตัวเหมือนกันทุกประการ ไม่รู้ว่าจะเกิดข่าวลืออันใดขึ้นมาอีกบ้าง
"เ้าแตงน้อยคิดอะไรอยู่หรือ เห็นข้าผู้เป็อ๋องแต่คำทักทายสักคำก็ไม่มี นับวันยิ่งไม่เห็นข้าเป็คนนอกแล้วใช่หรือไม่"
เฉียวเยว่ "..."
พูดตามตรง เขากล่าวเช่นนี้ ยิ่งชวนให้กระอักกระอ่วนใจจริงๆ นางขบริมฝีปาก เอ่ยเสียงเบา "ท่านพี่จ้านสบายดีหรือไม่"
เ้าแมวเหมียวเอ๊ย ข้าวาดภาพของข้าดีๆ ไยต้องเปิดเผยตัวตนของข้าด้วย ฮึก ฮึก ฮึก!
เฉียวเยว่รู้สึกว่าตนเองทำตัวลำบากยิ่งนัก
หรงจ้านยิ้มน้อยๆ "อันที่จริงข้าก็ไม่สบายเท่าไร"
เขามองคุณหนูสองสามคนซึ่งอยู่ในที่แห่งนั้น แล้วค่อยๆ เอ่ยว่า "เป็คนตัวเปล่าเล่าเปลือยไร้ภรรยาข้างกาย จะดีได้อย่างไรเล่า"
สายตาไปหยุดที่สวี่ม่านหนิง
สวี่ม่านหนิงใจเต้นโครมคราม แม้ว่าจะอยากแต่งเข้าราชวงศ์เพียงใด แต่หรงจ้านก็ไม่ใช่ตัวเลือกนั้น หากต้องเป็หรงจ้านจริงๆ นางยินดีไม่แต่งเข้าราชวงศ์จะดีกว่า เพียงถูกเขามอง นางก็ตื่นตระหนกจนทำตัวไม่ถูกแล้ว
เคราะห์ดี สายตาของหรงจ้านมิได้อยู่ที่ตัวนางนานเกินไปนัก เขาหันกลับมาถามเฉียวเยว่ "เหตุใดเ้าถึงแต่งกายเลียนแบบข้า?"
เฉียวเยว่แทบจะหายใจไม่ออกสลบไปตรงนั้น ใครเลียนแบบใครกันแน่ หืม! นางแต่งตัวเช่นนี้ออกมาจากบ้านแต่เช้าแล้ว
ดวงหน้าน้อยของเฉียวเยว่พองออกมาทันที แต่ยังคงต้องแก้ต่าง "ท่านกล่าวเช่นนี้ไม่ถูกต้อง ความบังเอิญคือสิ่งที่เกิดขึ้นได้เป็ธรรมดา ส่วนข้าก็แต่งตัวเช่นนี้ออกมาจากบ้านแต่เช้าแล้ว"
บอกเป็นัยว่า ข้ายังไม่ว่าที่เ้าเลียนแบบข้าเลย เ้ากลับหาว่าข้าเลียนแบบเ้าแล้ว
สายตาของเฉียวเยว่ที่มองไปแฝงความหมายนี้อย่างแจ่มชัด
หรงจ้านยิ้ม "อ้อ"
แต่คำตอบ 'อ้อ' นี้ ค่อนข้างจะมีความหมายล้ำลึกอยู่บ้าง พูดตามตรง เฉียวเยว่ก็ไม่เข้าใจว่าเขาหมายความว่าอย่างไร แต่นางกลับนึกเสียใจภายหลังยิ่งกว่า อยู่ว่างๆ เล่นอยู่บ้านของตนเองก็ดีอยู่แล้ว จะออกมาข้างนอกทำไม พอออกมาปุ๊บปัญหาก็ตามมาปั๊บ
เฉียวเยว่รู้สึกสมเพชตนเองยิ่งนัก ไม่รู้จักเข็ดหลาบสักนิด
แม้หรงจ้านจะไม่รู้ว่านางคิดสิ่งใดในใจ แต่เพียงมองสีหน้าของนางก็คาดเดาได้ ความยินดีบังเกิดขึ้นในหัวใจโดยไม่มีสาเหตุ นี่เขารู้จักแม่หนูน้อยผู้นี้มากโขทีเดียว
เขามองสวี่ม่านหนิงอีกครา สวี่ม่านหนิงใจนขวัญหนีดีฝ่อ นางขยำผ้าเช็ดหน้าในมือ หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าสั่นอยู่บ้างเล็กน้อย ดูเหมือนว่าหรงเหยียนจะรู้สึกถึงความหวาดกลัวของสวี่ม่านหนิง แต่พูดกันตามตรง ไม่มีผู้ใดไม่กลัวหรงจ้าน
ได้ยินว่าคนผู้นี้ร้ายกาจมาก ซ้ำยังเป็คนไม่เคยมีขีดจำกัด หากเขาคลั่งขึ้นมาจริงๆ แต่ไรมามิเคยคำนึงถึงผู้ใด
นางเอ่ยเสียงเบา "ท่านพี่อวี้อ๋องมองอันใดหรือเ้าคะ?"
แท้จริงแล้วเมื่อพินิจดูให้ดีจะพบว่าคนเป็ญาติห่างเหิน แต่คนแปลกหน้ากลับสนิทชิดเชื้อ ซูเฉียวเยว่เป็คนนอกเรียกพี่จ้าน แต่หรงเหยียนกับหรงฉางเกอซึ่งเป็ลูกพี่ลูกน้องกับเขาแท้ๆ กลับเรียกเขาว่าท่านพี่อวี้อ๋อง
ทว่ายามนี้ไม่มีใครอยากหาเื่มาใส่ตัว
"ข้ากำลังคิดว่า คุณหนูสวี่ดูเหมือนจะอายุไม่น้อยแล้วกระมัง?" หรงจ้านเปรยขึ้นมาลอยๆ
เฉียวเยว่แทบจะหลุดขำออกมา อายุไม่น้อย? คำกล่าวเช่นนี้ ฟังแล้วเป็ถ้อยคำที่ร้ายกาจยิ่ง อย่าว่าแต่หญิงสาวเช่นสวี่ม่านหนิงเลย แม้แต่อายุเช่นมารดาของนาง หากมีใครเอ่ยถึงเช่นนี้ มารดาของนางก็ไม่พอใจเหมือนกัน อย่างไรเสียก็เป็สตรี ใครเล่าจะยอมถูกผู้อื่นว่าตนเองแก่
สวี่ม่านหนิงกลัวแทบตายแล้ว นางพยายามทำใจให้สงบ ขณะกำลังจะตอบกลับไป ก็ได้ยินหรงเหยียนเอ่ยว่า "ท่านพี่อวี้อ๋องกล่าวเช่นนี้ ทำให้คนรู้สึกไม่สบายใจจริงๆ มีใครที่ไหนพูดถึงสตรีเช่นนี้กันบ้าง?"
หรงจ้านเลิกคิ้ว "พูดเช่นนี้มิได้หรือ?"
"แต่ข้าผู้เป็อ๋องก็พูดความจริงมิใช่หรือ?" สีหน้าของเขาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
หรงเหยียนขบริมฝีปาก ทำเสียงกระเง้ากระงอด "ต่อให้เป็ความจริง ก็พูดไม่ได้ ม่านหนิงคงจะเสียใจมาก"
อันที่จริงนางมิได้ใส่ใจสวี่ม่านหนิงสักเท่าไร แต่ตอนนี้อีกฝ่ายยกย่องนับถือนาง นางย่อมยินดีช่วยกู้หน้าให้ ถึงอย่างไรสวี่ม่านหนิงก็เป็มีดในมือที่ตนเองสามารถใช้โจมตีผู้อื่นได้อยู่
หรงจ้านยิ้มมุมปาก เอ่ยเสียงเบา "นางจะเสียใจหรือไม่เกี่ยวอันใดกับข้า? ผู้เป็อ๋องต้องคำนึงถึงจิตใจของสตรีคนหนึ่งด้วยหรือ? ขนาดความรู้สึกของผู้าุโตระกูลนาง ข้ายังไม่สนใจ นับประสาอันใดกับนางเล่า"
หรงจ้านมองหรงเหยียนไล่มาั้แ่ศีรษะจนมาหยุดที่ขาของนาง แล้วเอ่ยอย่างไม่ไว้หน้า "อากาศเช่นนี้ นางยังยุแยงให้เ้าออกมาอีกหรือ? หากหกล้มกระแทกถูกจะทำอย่างไร ช่างเป็คนไม่มีหัวคิดจริงๆ"
หรงเหยียนพยายามสงบจิตใจ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "ท่านพี่อวี้อ๋องกังวลมากไปแล้ว เหยียนเอ๋อร์จะเกิดเื่ได้อย่างไรเล่า?"
แม้ในใจจะขุ่นเคือง แต่กลับอดกลั้นไว้ นางแทบจะข่มใจไม่ได้อยากพุ่งเข้าไปตบหน้าบอกให้เขาหุบปากเสียที
แต่หรงเหยียนรู้ อวี้อ๋องเป็คนบ้าระห่ำ ยามเขาเยาว์วัยก็กล้าสังหารเสด็จอาแท้ๆ แล้ว เห็นได้ว่าไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป จุดนี้นางย่อมรู้อยู่แก่ใจ นางพยายามตั้งสติ ทอยิ้มน้อยๆ "แต่จะว่าไป ข้าก็ออกจากวังมาพักหนึ่งแล้ว ไม่ทราบว่าท่านพี่อวี้อ๋องจะส่งข้ากลับวังได้หรือไม่?"
นางทำตาปริบๆ อย่างไร้เดียงสา ดูราวกับดรุณีน้อยไร้พิษภัยจริงๆ
"อย่าเลย ให้องครักษ์ส่งเ้ากลับก็ดีอยู่แล้ว ข้างนอกอากาศแย่ เดี๋ยวอาภรณ์ของข้าจะเปรอะเสียหมด" อวี้อ๋องกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
เฉียวเยว่แทบจะหลุดขำออกมาอีกรอบ แต่นางยังอดกลั้นไว้ได้ ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ นางรู้สึกว่าเป็เื่ตลกน่าขันจริงๆ
แต่นางก็กดดวงหน้าต่ำลง ซ่อนความรู้สึกเอาไว้ ทว่ากลับเผยลำคอขาวเนียนดุจจะคั้นเป็น้ำออกมาให้เห็น หรงจ้านมองปราดหนึ่งก็ขบริมฝีปากแล้วมองไปที่หรงเหยียน "ช่างเถอะ ข้าไปส่งเ้าก็ได้"
ก่อนจะลุกขึ้นมา แล้วหันมามองเฉียวเยว่ "เวลาไม่เช้าแล้ว ข้าจะไปส่งเ้าอีกคนแล้วกัน ไปเถอะ!"
...
[1] คนจีนเชื่อว่าการแต่งภรรยาที่อายุมากกว่ามีข้อดีหลายอย่างทั้งอ่อนโยน เอาใจใส่ มีความเห็นอกเห็นใจดุจมารดาและพี่สาว สามารถดูแลจัดการภายในครอบครัวอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง สามีจึงไม่ต้องวิตกกังวลกับเื่ราวในบ้าน และมีเวลาทุ่มเทให้กับหน้าที่การงานอย่างเต็มที่ ช่วยให้ประสบความสำเร็จในชีวิต
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้