เงินเกือบหมื่นตำลึงไม่ใช่จำนวนเล็กน้อย แน่นอนว่าหลินฟู่อินย่อมกังวลเื่ปัญหาการส่งมอบเงิน
แต่เมื่อนายหน้าเมิ่งได้ยินที่นางถาม ก็ยิ่งยินดีมากขึ้นไปอีก เช่นนี้หมายความว่าหลินฟู่อินสามารถจ่ายเงินเกือบหมื่นตำลึงจำนวนนี้ออกมาเพื่อรับ่ต่อที่ที่เขาขายออกจากมือไม่ได้ใน่หลายเดือนที่ผ่านมา
เขารีบพูดกับหลินฟู่อินว่า “เื่นี้แม่นางหลินไม่ต้องกังวลไป เจียงฮูหยินยังมีพ่อบ้านที่ไว้ใจที่สุดอยู่คนหนึ่ง พ่อบ้านผู้นั้นยามนี้อยู่ที่จวนในหมู่บ้านต้าซู่เพื่อช่วยเจียงฮูหยินดูแลที่นา! ข้าจะส่งสารให้พ่อบ้านผู้นั้นเข้าเมืองมาในวันพรุ่งนี้เพื่อส่งมอบที่ดินให้แม่นางหลินขอรับ”
เห็นนายหน้าเมิ่งเตรียมการทุกอย่างในใจจนเสร็จแล้ว หลินฟู่อินก็พยักหน้ายิ้มๆ และกล่าวอย่างสุภาพว่า “เช่นนั้นต้องขอบคุณท่านเมิ่งที่ช่วยจัดการให้นะเ้าคะ” จากนั้นนางหยิบเอาตั๋วแลกเงินหนึ่งร้อยตำลึงเงินออกมาจากถุงผ้าแล้วส่งให้อีกฝ่าย “มอบให้ท่านเมิ่ง ข้าต้องรบกวนท่านแล้วเ้าค่ะ”
นายหน้าเมิ่งดวงตาเป็ประกายยามรับตั๋วแลกเงินจากหลินฟู่อิน ทราบว่าตัวเลขบนตั๋วแลกเงินเป็จำนวนหนึ่งร้อยตำลึงเงิน
เช่นนี้เรียกได้ว่าทำการค้าหนึ่งครั้งอยู่ได้ทั้งปีจริงๆ
ครั้งนี้ค้าขายครั้งใหญ่ ไม่เพียงหนึ่งปีหรอก แต่สามารถกินอยู่ได้อีกหลายปีทีเดียว ฝั่งเจียงฮูหยินย่อมต้องมอบให้เขาอีกร้อยตำลึงเงินเป็รางวัลเช่นกัน
“แม่นางหลินโปรดวางใจ เื่นี้ข้าต้องช่วยท่านแน่นอน!” นายหน้าเมิ่งหัวเราะร่า ก่อนจะกล่าวต่อว่า “ว่าแต่ชาวไร่ชาวนาที่เจียงฮูหยินสัญญาจะมอบต่อให้นี้อยู่ติดที่ดินมาหลายปีแล้ว ไม่ทราบแม่นางหลิน้าว่าจ้างต่อหรือไม่?”
ไม่ต้องรอให้หลินฟู่อินถามเขาก็เสริมทันที “เื่นี้หากแม่นางหลินไม่สนใจ เจียงฮูหยินก็จัดการให้พ่อบ้านเตรียมที่ทางให้คนเ่าั้เกษียนกลับบ้านเกิดแล้วขอรับ”
“ข้าย่อมต้องยินดีเ้าค่ะ” หลินฟู่อินกล่าว หากไม่้าก็คงจะโง่แล้ว แต่พอได้ยินเื่จัดแจงที่ทางให้เกษียนกลับบ้านเดิมจึงเอ่ยถาม “ชาวไร่เหล่านี้มาจากที่ใดกันหรือเ้าคะ?”
นายหน้าเมิ่งอธิบายว่า “พวกเขามาจากทางใต้ขอรับ เพราะว่าผู้คนที่มาจากทางใต้ทำไร่ทำนาเก่งยิ่งนัก สามีของเจียงฮูหยินจึงให้เลี้ยงดูเอาไว้ แต่ยามนี้พวกเขาล้วนแต่แก่ตัวกันหมดแล้ว ไม่อยากติดตามเจียงฮูหยินกลับบ้านเดิมจึงได้รั้งอยู่ที่นี่กัน”
ได้ยินว่ามาจากทางใต้หลินฟู่อินก็ยิ่งยินดี รีบพูด “ยิ่งดีเลยเ้าค่ะ ฝากแจ้งให้เจียงฮูหยินมั่นใจได้เลยว่าข้าจะส่งคนไปช่วยดูแลผู้าุโเหล่านี้เป็อย่างดีแน่นอน”
นางขาดคนที่เก่งเื่ทำการเกษตรอยู่ ตอนนี้ก็ได้คนมาแล้ว เช่นนี้ราวกับ์ช่วยจริงๆ!
นายหน้าเมิ่งพูดกับหลินฟู่อินต่ออีกเล็กน้อย ก่อนจะจัดการค่าน้ำชาแล้วออกไปทำงานต่อ
เมื่อนายหน้าเมิ่งจากไป หลินฟางก็คว้าแขนเสื้อของหลินฟู่อิน เบิกตากว้างถามอย่างไม่อยากเชื่อ “ฟู่อิน เมื่อครู่... ข้าได้ยินถูกต้องหรือไม่? เ้าซื้อไร่ห้าร้อยหมู่กับที่เปล่าอีกสองร้อยหมู่ใช่หรือไม่?”
หลินฟู่อินพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ใช่เ้าค่ะ ข้าก็บอกพี่ตั้งนานแล้วนี่ว่าอยากจะซื้อไร่?”
"แต่ว่า..." หลินฟางยังคงคิดว่าเป็ความฝัน “แต่นี่เป็เงินตั้งเกือบหมื่นตำลึงเชียว! เ้า… มีเงินมากพอหรือ?”
หนึ่งหมื่นตำลึงเงิน หลินฟางจินตนาการไม่ออกเลยว่าเงินจำนวนนี้มากมายเพียงใด นางรู้ว่าเป็จำนวนมหาศาล มากเสียจนนางไม่กล้าจะคิด
สำหรับนาง แค่สิบตำลึงเงินก็ถือว่ามากแล้ว ไม่ต้องพูดถึงหนึ่งร้อยตำลึงเงิน พอแตะถึงหนึ่งพันตำลึงเงินก็รู้สึกว่ามีแต่บ้านคนรวยเท่านั้นที่มีโอกาสัั
ส่วนเงินหมื่นตำลึงเงิน รู้สึกว่าคงมีเพียงคนอย่างเมิ่งจวิ้นที่เปิดภัตตาคารเยว่เค่อทั่วแคว้นต้าเว่ยนั่นแหละจึงจะได้ัั
“ข้าหาได้” หลินฟู่อินยิ้ม คิดสักหน่อยก็อธิบาย “พี่ฟาง หากเป็เมื่อก่อนเงินเกือบหมื่นตำลึงนี้ข้าคงหาไม่ได้แน่นอน แต่ตอนนั้นข้าได้ตกลงทำการค้าใหญ่กับเถ้าแก่หลิว วันนี้ได้เงินมาแล้ว”
"หา?” หลินฟางคิดถึงรอยยิ้มบนใบหน้าหลิวฉิน่นี้ แม้จะไม่รู้ว่าหาเงินได้เท่าไร แต่คิดว่าคงเยอะมากทีเดียว ฟู่อินก็คงได้เงินมากเช่นกันใช่หรือไม่?
นี่เป็ความเข้าใจผิดของหลินฟาง นางคิดว่าหลินฟู่อินหมายถึงเื่ที่ขายถั่วปากอ้าสดกับถั่วงอกกับบ้านเถ้าแก่หลิว และฝ่ายนั้นให้เงินตำลึงมาล่วงหน้า
เื่นี้เป็เพราะนางคร้านจะคำนวณตัวเลขด้วย ที่จริงนางกับหลิวฉินจะช่วยกันคำนวณบัญชีทุกวันก็ได้ หากคำนวณให้ดีก็ยังพอจะรู้ความจริงได้ แต่จริงๆ แล้วถึงแม้หลินฟู่อินจะใช้แค่เงินจากการขายถั่วปากอ้าสดและถั่วงอกเพียงอย่างเดียว อีกไม่นานก็สามารถซื้อที่ดินเ่าั้ได้อยู่ดี
“อืม กลับกันเถอะเ้าค่ะ ได้ซื้อที่ก็ดีแล้ว ไปหาร้านของกินอร่อยๆ ซื้ออาหารดีๆ กลับบ้านกัน” หลินฟู่อินดึงมือหลินฟางให้ลุกขึ้น จากนั้นก็ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “เื่ที่เกิดขึ้นวันนี้อย่าบอกพี่เฟินนะเ้าคะ ทางนั้นยิ่งคิดมากอยู่ ประเดี๋ยวจะเป็กังวลเอาได้”
หลินฟางพยักหน้าอย่างระมัดระวัง นางรู้จักพี่สาวตัวเองดี อย่างที่หลินฟู่อินกล่าว หากรู้เข้าอีกฝ่ายต้องกังวลแน่นอน
ทั้งสองซื้อเนื้อตุ๋นหนึ่งจิน ตีนหมูตุ๋นสองชิ้นกับเนื้อไก่สับ เต้าหู้ตุ๋นหลายชิ้น และถั่วลิสง ใช้เงินไปทั้งสิ้นหนึ่งร้อยแปดสิบเจ็ดอีแปะ
"วันนี้เป็วันดีจริงๆ" หลินฟางยกอาหารที่ถูกห่อด้วยกระดาษไขขึ้นมาใกล้จมูกแล้วดม น้ำลายแทบจะไหลออกมา
หลินฟู่อินหัวเราะอีกฝ่าย “สองวันก่อนก็เพิ่งจัดเต็มในหลิวสุ่ยสีของบ้านใหญ่ไปไม่ใช่หรือ? พี่ช่างตะกละจริงๆ”
“เอาเถอะ คนพวกนั้นในหมู่บ้านน่ะ หนึ่งปีจะได้กินของดีสักกี่ครั้ง จะให้ข้าไปยื้อแย่งกับพวกเขาก็ทำไม่ได้หรอก” หลินฟางว่า นึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นแล้วก็บ่นต่อ “ไม่ต้องพูดถึงวันนั้น ข้ากับพี่เฟินถูกท่านย่าสั่งให้วิ่งไปวิ่งมาเป็คนใช้ให้ท่านป้า จะเอาเวลาที่ไหนมากินเล่า?”
หลินฟู่อินนึกถึงวันนั้นเช่นกัน อาจเพราะอู๋ซื่อจ้าวซื่อสองคนคิดอยากไถเงินนาง นางจึงไม่ถูกใช้งานหนักหน่วง
ราวกับวันนี้สองพี่น้องไม่ได้เจอเื่ร้าย ทั้งคู่เดินคุยหัวเราะกันตลอดทางกลับบ้านใหม่
ในตอนนี้หลินเฟินที่จัดการทำความสะอาดบ้านจนเอี่ยมอ่องทั้งในและนอกแล้ว ก็เตรียมอาหารอีกมื้อเอาไว้ให้ทั้งสองคน
"วันนี้กลับช้าจริงๆ" หลินเฟินจัดอาหารขึ้นโต๊ะ พอเห็นกระดาษไขในมือน้องสาวสองคนก็สูดจมูกฟุดฟิดก่อนจะยิ้ม “ซื้ออาหารตุ๋นกลับมาอีกแล้วหรือ? ว่าแต่เกิดเื่อะไรขึ้น?”
“ตายจริง มิใช่เพราะมีเื่ดีๆ หรอกหรือเ้าคะ?” หลินฟู่อินวางอาหารตุ๋นลงบนโต๊ะพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นก็มองหลินเฟินด้วยดวงตาสดใสแล้วพูด “พี่ ฟู่อินซื้อที่นาแล้วนะ!”
"จริงหรือ?" หลังจากได้ยินข่าวดีดังกล่าว หลินเฟินก็ดีอกดีใจ ถามหลินฟู่อิน “ฟู่อิน เร็วเพียงนี้ได้อย่างไร? เ้าซื้อที่ไหน? ขนาดใหญ่เท่าใด? ดีหรือ…”
“พี่สาว ถามเยอะขนาดนี้จะให้ฟู่อินตอบข้อไหนก่อนล่ะ?” หลินฟางจัดแจงแกะห่อกระดาษไขครบแล้ว นางเดินมากดร่างหลินเฟินให้นั่งลงบนเก้าอี้ “มาทางนี้ กินไปคุยไปดีกว่า”
พอเห็นหลินเฟินนั่งลงแล้ว หลินฟู่อินก็ยิ้มแล้วพูดช้าๆ “ที่ดินดีเลยเ้าค่ะ ที่ตรงนั้นห้าร้อยกว่าหมู่ แล้วก็มีที่ดินเปล่าธรรมดาอีกสองร้อยกว่าหมู่”
“อยู่ที่หมู่บ้านต้าซู่ ตรงนั้นเป็เขตชนบทใหญ่เ้าค่ะ!”
หลินเฟินเบิกตากว้าง ั์ตาหดลง "..."
หลินฟางพูดไม่หยุด หลินเฟินสูดลมหายใจเข้าลึก นางคงดูถูกหลินฟู่อินเกินไป
นับแต่ตอนนั้นใช้เวลานานแค่ไหนเชียว หลินฟู่อินก็สามารถหาเงินด้วยสองมือของตัวเองเพื่อซื้อที่ดีๆ ดินอุดมสมบูรณ์หลายร้อยหมู่ได้แล้ว!
นางมองหลินฟางแล้วคิดกับตัวเองว่า นางกับน้องสาวก็ควรจะเรียนรู้ที่จะทำให้ได้อย่างหลินฟู่อิน เก็บเงิน ซื้อที่ ซื้อร้าน…
พอทั้งสามกินเสร็จ หลินฟู่อินก็นึกเื่ที่ลืมบอกเถ้าแก่หลิวเื่กะหล่ำปลีได้ พอดีกับที่หลิวฉินมาหา
หลิวฉินยังไม่ได้กินข้าวเพราะเป็ห่วงหลินฟู่อิน พอส่งบิดาของตนกลับบ้านเสร็จก็มุ่งหน้ามายังบ้านของเด็กสาวทันที
“ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว พวกเ้าเพิ่งกินเสร็จหรือ?” หลิวฉินเดินปราดเข้ามาทางประตูที่หลินฟางเปิดให้ พอเห็นนางก็เอ่ยถามทันที
หลินฟางยิ้ม “คุณชายใหญ่หลิวนี่จมูกดีหรือดวงตาเฉียบคมนะเ้าคะ รู้เสียด้วยว่าพวกเราเพิ่งจะกินเสร็จ”
หลิวฉินหัวเราะ ชี้เศษเนื้อที่ยังติดอยู่บนมุมปากของหลินฟาง “เ้ายังไม่ทันเช็ดปากเลย”
หลินฟางหน้าแดงซ่านกระทืบเท้าจากไปพร้อมเสียงบ่นงึมงำ
“โอ๊ะ ใช่แล้ว อีกหน่อยคุณชายใหญ่หลิวอะไรนั่นไม่ต้องเรียกแล้ว ทั้งเ้าทั้งฟู่อินเรียกข้าว่าพี่หลิวก็พอ”
หลินฟางหน้าแดงก่ำกว่าเดิม มองแผ่นหลังของหลิวฉินที่เดินเข้าบ้านอย่างรวดเร็ว นางโคลงหัวแล้วกะพริบตาครุ่นคิด
“ฟู่อิน น้องหลินเฟิน” พอเข้ามาถึงห้องอาหาร หลิวฉินก็นั่งลงบนเก้าอี้ที่หลินฟางเคยนั่ง “ข้าหิวจะตายแล้ว ขอกินก่อนแล้วค่อยคุย”
พูดจบก็หยิบตะเกียบคู่ที่วางอยู่บนชาม ก่อนจะหยิบจานแล้วจัดแจงคีบอาหารเข้าปากทันที
หลินเฟินเห็นเช่นนี้ก็ยิ้ม ยื่นมือไปช่วยดันจานส่งให้หลิวฉิน “เช่นนั้นคุณชายใหญ่หลิวกินจานผักรองท้องก่อนเ้าค่ะ ประเดี๋ยวข้าไปตักข้าวมาให้ท่าน”
หลิวฉินพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า “ได้! อีกหน่อยเรียกข้าว่าพี่หลิวฉินเถอะ เรียกข้าคุณชายใหญ่หลิวเช่นนี้กระอักกระอ่วนไปแล้ว”
หลินเฟินยิ้มรับก่อนจะหมุนตัวไปตักข้าว
หลินฟู่อินชะงักเมื่อเห็นชายหนุ่มกวาดอาหารที่เหลือแทบจะทั้งหมดลงท้อง
นางเพิ่งจะรู้ว่าหลิวฉินกินจุขนาดนี้
แต่หลินเฟินกับน้องสาวไม่แปลกใจนัก คนในชนบทที่ทำไร่ทำนามาหลายปียังสามารถกินได้มากกว่านี้อีก เพียงแต่ไม่ค่อยมีอาหารมาถึงโต๊ะเท่านั้นเอง
พอเห็นหลิวฉินกินเสร็จ หลินฟางก็รินน้ำอุ่นให้เขาอีกที
“ขอบคุณมากๆ น้องฟาง” หลิวฉินยิ้มขอบคุณ จากนั้นมองหลินฟู่อิน และพูดอย่างจริงจัง "ฟู่อิน ขากลับไม่เจอเื่อะไรใช่หรือไม่?”
เห็นเขาทำท่าจะพูดเหตุการณ์เมื่อเช้าต่อหน้าหลินเฟิน หลินฟู่อินก็รีบขยิบตา แล้วพูดอย่างภาคภูมิใจ “วันนี้ข้าเจอนายหน้าเมิ่ง ยังได้ซื้อไร่ห้าร้อยกว่าหมู่กับที่ดินเปล่าอีกสองร้อยกว่าหมู่แน่ะ”
“หา? ทั้งหมดนั่นเลย… ซื้อวันนี้หรือ?” หลิวฉินตกตะลึง ใจกว้างเสียเหลือเกิน เจอเื่เข้าไปวันนี้แต่นางยังมีอารมณ์ไปซื้อที่ดินได้อีก!
“ใช่ ข้าซื้อวันนี้แหละ” หลินฟู่อินพยักหน้า นึกถึงกะหล่ำปลีของนางขึ้นมาได้จึงกล่าวกับหลิวฉินว่า “วันนี้ข้ารีบร้อนออกมาเลยลืมบอกลุงหลิวไป ข้ามีที่ดินเพาะปลูกในหมู่บ้านหูลู่อยู่พอสมควร ตอนนี้กะหล่ำปลีพร้อมเก็บเกี่ยวแล้ว พี่ไปบอกลุงหลิว ให้ทางนั้นส่งคนนำรถม้าไปที่หมู่บ้านหูลู่เพื่อเก็บกะหล่ำปลีได้”
เื่นี้เป็เื่จริงจัง หลิวฉินพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม ทั้งยังเข้าใจว่าหลินฟู่อินไว้วางใจบ้านตนถึงได้บอกให้พวกเขาส่งคนไปเก็บผักเองได้โดยตรง
“เื่นี้ข้าจะนำไปบอกท่านพ่อเอง แต่เหตุใดข้าถึงได้ยินตาเฒ่าบ้านข้าบอกว่าเ้าตกลงจะร่วมมือกับข้าเปิดภัตตาคารหลิวจี้อีกสาขาในชิงเหลียนเสียได้เล่า?” หลิวฉินมองหน้าหลินฟู่อินอย่างจนใจ
หลินฟู่อินประหลาดใจ “ใช่ ไม่สิ หรือท่านไม่้าหรือ?”
นางเคยคิดว่าหลิวฉินอยากจะทำอะไรยิ่งใหญ่ให้บิดาของตนได้เห็น ตอนนี้บิดาเขาก็ให้โอกาสแล้ว แต่เหตุใดดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยินดีนักเล่า?
หลิวฉินดูจะเขินอายมากเช่นกัน
ที่จริงหลิวฉินดีใจมากที่ในที่สุดบิดาก็เชื่อในตัวเขาแล้ว ยอมปล่อยให้เขาได้ดำเนินกิจการเอง แต่หากได้เปิดอีกสาขาในชิงหยางจะดีกว่า
รอบๆ ชิงหยางนี้ยังมีเมืองเล็กอีกหลายเมืองที่อยู่ใกล้กันมาก ไปเปิดที่เมืองพวกนั้นก็ได้ แต่หากไปถึงชิงเหลียน เช่นนี้ไกลเกินไป
หลิวฉินไม่พูดอะไรออกมาครู่หนึ่ง
“หรือพี่หลิวมีอะไรปิดบัง” หลินฟู่อินนิ่วหน้าน้อยๆ แล้วเอ่ยถาม
หลิวฉินเหลือบมองนางแล้วถอนหายใจ
“ที่ข้าดูอยู่ตอนนี้ไม่ใช่ว่าอย่างไรก็้าแรงงานทำถั่วปากอ้าสดกับถั่วงอกหรอกหรือ?” หลิวฉินเกาหัวก่อนจะตบหน้าตัก “นี่ ใช่แล้ว ข้าทำกิจการ ข้ายังต้องใช้แรงงานคน เช่นนี้จะยังใช้พี่น้องข้าได้อยู่หรือไม่? คนพวกนี้ขยันรอบคอบ อย่างเื่ถั่วงอกถั่วปากอ้าที่เมืองใกล้ๆ ขอซื้อมา ยังมีไข่ดอกสนไข่เยี่ยวม้าของเ้า พี่น้องพวกนี้ล้วนแต่สามารถจัดส่งแลกค่าแรงได้”
พี่น้องที่หลิวฉินพูดถึง จริงๆ แล้วเป็กลุ่มคนว่างงานกลุ่มใหญ่
ด้วยเหตุหลากหลายประการ คนเหล่านี้ไร้บ้าน ไร้เหตุผลจะมีชีวิตอยู่ ต่อให้ทำงานหนักก็ไม่มีอะไรเหนี่ยวรั้ง ดังนั้นหากไม่มีหลิวฉินคอยดูแล คนเหล่านี้ก็จะเป็เหมือนกลุ่มของหวงเหล่าซานที่รับเงินมาทำงานสกปรกแทนผู้อื่น
หลินฟู่อินฟังแล้วก็เข้าใจความหมายของเขา นางเม้มปากกลั้นยิ้ม
ที่แท้หลิวฉินก็เป็ห่วงว่าหากตนไปแล้ว คนพวกนี้จะถูกทิ้งเอาไว้ลำพัง
วันนี้นางเจอคนเ่าั้แล้ว ดูเหมือนพวกเขาจะมีหลิวฉินคอยรั้งไว้ ให้ช่วยคนที่ไม่ทำเื่เลวร้ายเช่นนี้นางไม่ติดอะไรอยู่แล้ว
ทุกวันนี้นางร่วมมือกับหลิวฉินจึงได้รู้ว่าถึงแม้ภายนอกจะทำท่านักเลงหัวโต ทว่าจริงๆ เขาเป็คนที่จิตใจอบอุ่นมาก นางจึงได้เต็มใจจะช่วยเขาจัดการปัญหากังวลใจเหล่านี้
“เหล่าคนที่ท่านพามาวันนี้คือพี่น้องที่ว่าหรือ?” หลินฟู่อินยิ้มถาม
หลิวฉินพยักหน้า “จะไม่ใช่ได้อย่างไร? ปกติหากข้าไม่มีอะไรจะทำ พวกนั้นก็จะไปที่อื่นหาอะไรทำ ฟู่อิน จะบอกให้นะ อย่าเห็นว่าดูเป็เช่นนั้น แท้จริงแล้วพวกเขาล้วนไม่มีอะไรเหมือนหวงเหล่าซาน ไม่เคยรังแกคนดีๆ!”
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือพวกเขาไม่เคยรังแกคนดี แต่เคยรังแกคนที่ไม่ใช่คนดี
หลินฟู่อินชอบใจตรงนี้
“พี่หลิวจะเป็ห่วงไปทำไมกัน? ตอนไปชิงเหลียนเหตุใดไม่พาพวกเขาไปด้วยให้หมดเลยล่ะเ้าคะ?” หลินฟู่อินคิดว่าเื่นี้ไม่เป็ปัญหาสักนิด
“พาไปทั้งหมด?” หลิวฉินโบกมือไปมา “ไม่ ไม่ บางคนมีแม่ที่ชราหรือพ่อที่ป่วยชรา ตาบอด พิการ มีทุกสิ่งจริงๆ พาไปทั้งหมดแล้วจะจัดการอย่างไรเล่า?”
เห็นหลิวฉินรู้จักคนเหล่านี้เป็อย่างดี หลินฟู่อินก็ยิ่งประทับใจในความซื่อสัตย์ที่อีกฝ่ายมี
นางช่วยเขาคิดหาวิธีได้ ขอเพียงเขายอมจ่ายเงินก็พอ
“พี่หลิวฉิน กิจการที่เราทำอยู่่หลังมานี้ทำเงินได้ตั้งมากมาย ท่านยินดีจะยอมจ่ายเงินออกไปเพื่อช่วยพวกเขาหรือไม่เล่า?” หลินฟู่อินถามอย่างไม่มั่นใจนัก
แต่ก่อนอื่นต้องกล่าวดักเอาไว้ด้วยเื่ที่่นี้ทำเงินได้ แล้วดูท่าทีของอีกฝ่ายเสียก่อน
“ข้าทำเงินได้ก็จริง แต่่หลังกิจการถั่วปากอ้ายอดต่ำลง ผู้อื่นมากมายพากันทำขาย ราคาถั่วปากอ้าสดตอนนี้ต่ำลงไปจินละยี่สิบอีแปะแล้ว” หลิวฉินกล่าว มองหลินฟู่อินที่ถามคำถาม “ฟู่อิน ข้าพูดตามตรง เ้าก็เข้าใจเื่การอย่าช่วยคนจนด้วยเงิน ถึงแม้จะหาเงินได้มากกว่านี้ แต่ข้าจะช่วยพวกเขาไปตลอดชีวิตได้ไหวหรือ?”
เป็ความคิดที่อยู่กับความเป็จริงมาก แต่หลินฟู่อินกำลังพยายามช่วยเขาแก้ปัญหาอยู่
“ฟังข้านะเ้าคะ สอนคนตกปลาดีกว่ามอบปลาให้ สิ่งที่ข้าจะสื่อก็คือ ตอนแรกท่านช่วยแก้ไขปัญหาความกังวลก่อน จากนั้นให้งานที่ทำให้สบายใจเพื่อหาเงิน เท่านี้ก็แก้ปัญหาได้แล้ว” หลินฟู่อินคิดดูแล้ว นางมองหลิวฉินอย่างหนักแน่น
หลิวฉินถูกสายตามั่นใจของนางล่อลวงก็เอนกายเข้าไปหา “ฟู่อิน บอกมาเถอะว่าข้าควรทำอย่างไร?”
หลินฟู่อินคิดอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวอย่างจริงจังว่า “อย่างแรก ท่านต้องไปถามว่าใครยินดีติดตามไปชิงเหลียนบ้าง จากนั้นต้องดูสถานการณ์ทางบ้านของพวกเขาให้ชัดเจน เช่น ใครที่อยากพาทั้งบ้านไปด้วย ใครที่ไม่อยากพาไป”
“ตกลง ข้าจะจัดการตามนี้” หลิวฉินพยักหน้า “แล้วอย่างไรต่อ?”
“ง่ายมาก ไปชิงเหลียนแล้วหาซื้อที่ดินขนาดใหญ่ จากนั้นสร้างบ้านหลายๆ หลัง บ้านเหล่านี้ทำเป็เรือนหลังเล็กติดกันทั้งหมด ใครที่อยากไปก็ให้เช่าอยู่ จะมาคนเดียวหรือมากับครอบครัวก็เหมือนกัน” ความคิดของหลินฟู่อินมีพื้นฐานมาจากอาคารพักอาศัยในยุคปัจจุบัน
ได้ยินเช่นนี้หลิวฉินก็ตื่นเต้นชัดเจน พยักหน้าซ้ำๆ “เื่นี้ง่ายมาก! ข้าจะขอให้ฉางหนิงช่วยจัดการให้ เช่นนี้ต่อให้สร้างเป็เรือนเล็กห้าสิบหลังก็ใช้เงินไม่มาก อย่างมากก็แค่สองพันตำลึงเงินเท่านั้น!”
ต่อให้อยากจะพาพี่น้องเ่าั้ไปชิงเหลียน ทั้งหมดก็มีไม่เกินสี่สิบคน ดังนั้นจึงไม่ใช่เื่ยุ่งยากอะไร
หลินฟู่อินเห็นเขาเต็มใจทำ นางก็ยินดี ถือว่าเขาได้ทำเื่ดีๆ ส่วนนางก็ได้ทำดีไปด้วย
“ขั้นตอนต่อไปนั้นง่าย แต่ก็ยากที่สุดเช่นกัน" หลินฟู่อินยิ้มเล็กน้อย แต่ดวงตาของนางเป็ประกายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ “ท่านกับข้าต้องได้เปิดภัตตาคารจริงๆ!”
“แน่นอน! ขอเพียงเ้าร่วมมือกับข้า ข้าย่อมทำได้แน่!” หลิวฉินกำหมัดแน่น
หลินฟู่อินยิ้มพลางพยักหน้า ชี้ไปที่หลินเฟินและหลินฟาง กล่าวว่า “ข้าอยากพาพี่เฟินพี่ฟางไปเปิดภัตตาคารด้วยกัน ข้าคิดจะให้พี่เฟินทำหน้าที่ผู้ดูแลร้าน ส่วนเื่พ่อครัวใหญ่ คงต้องไปหาผู้ดูแลของภัตตาคารหลิวจี้ ขอตัวพ่อครัวที่ดีที่สุดมา”
"ได้ ไม่มีปัญหา!" หลิวฉินปรบมืออย่างมีความสุข "อย่างไรก็มีเงินตั้งมาก!”
“ไม่เ้าค่ะ ท่านต้องจ่ายเป็หลัก ส่วนข้าน่ะจ่ายแค่ส่วนน้อย ข้าเพิ่งซื้อที่ดินมา เงินจะหมดอยู่แล้ว” หลินฟู่อินยิ้มร้าย
“โอ ไม่มีน่ะมีอยู่เท่าไร ว่ามา?” หลิวฉินทำท่าจริงจัง เอนกายเข้ามาถามหลินฟู่อิน “อย่างไรก็มีเงินติดตัวหลายพันตำลึงไม่ใช่หรือ? ข้าจะบอกให้นะ เปิดภัตตาคารนี้ไม่ง่าย หากลงเงินได้มาก ร้านก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเท่านั้น ต้องเริ่มต้นให้ถูกต้อง หาไม่พอต้องขยายร้านตอนหลังก็ตามผู้อื่นไม่ทันแล้ว”
“ถูกต้อง วางใจเถอะเ้าค่ะ ยังเหลืออีกหลายพันตำลึง” หลินฟู่อินกล่าวแล้วมองหลินเฟินหลินฟาง “แต่ว่าข้าอยากให้พี่เฟินพี่ฟางถือหุ้นครึ่งหนึ่งด้วย เห็นด้วยหรือไม่เ้าคะ?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้