“ไม่เข้าใจเลยจริงๆ นะ ว่าทำไมพวกจ้าวหรูอวิ๋นนี่ งานทัพดีๆ ไม่ทำ กลับใคร่ก่อเื่ยุ่งเหยิงขึ้นมาเป็ว่าเล่นเสียอีก ก่อหวอดให้คนมาฉีกหน้าอย่างนั้นใช่ไหม?” เ่ิูส่ายหน้า “พวกเขานี่ไม่มีสมองใช่ไหม? อำนาจหน้าที่ของทูตถือดาบตรวจการณ์ ทหารทุกนายล้วนทราบดี แต่กลับโอหังมายั่วโมโหข้า..”
เ่ิูรู้สึกโศกสลดต่อคนพวกนี้เหลือเกิน
เมื่อก่อนตอนยังอยู่สำนักกวางขาวเขาก็คิดว่าพวกชนชั้นสูงใจคดคบคิดห้ำหั่นกันอยู่เสมอ กลุ่มอิทธิพลขนาดใหญ่ในเมืองลู่ิราวกับจะเน่าเฟะกันไปหมด ไม่เหลือความปราดเปรื่องและความสามัคคีอย่างเก่าก่อนอีกแล้ว สิ่งที่เรียกว่ารวมใจกันต่อสู้ศัตรูร่วมกันคือเผ่าปีศาจนั้น เมื่อเอาผู้คนมารวมกันในความเป็จริง เื่นี้มันไม่ต่างอะไรกับเื่ตลก
เ่ิูเคยคิดมาตลอดว่าเื่พรรค์นี้ไม่มีวันเกิดขึ้นในกองทัพ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในป้อมปราการทางทหารชายแดนคือด่านโยวเยี่ยนแห่งนี้
แต่ตอนนี้ สถานการณ์กำลังทำให้เขาผิดหวัง
ในด่านโยวเยี่ยน ยังคงมีพวกชั่วช้ารวมหัวกันเป็พรรคเป็พวก พวกชนที่เรียกตัวเองว่าชั้นสูง คนที่เรียกตัวเองว่าเหล่าผู้แข็งกล้าแห่งกลุ่มอายุน้อยอันเกรียงไกร สิ่งที่พวกเขากระทำไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่ชนชั้นสูงในสำนักกวางขาวทำ คลุ้งความเหม็นเน่าฟอนเฟะ ผิดกับความสามัคคี ซื่อสัตย์และแกร่งกล้าที่เ่ิูคิดไว้ลิบลับ
แล้วคนพวกนี้ก็เป็สิ่งที่เ่ิูพบเจอตอนมาถึงด่านโยวเยี่ยนได้ไม่ถึงสิบวัน
หากอยู่ที่นี่ไปนานๆ จะกลายเป็ว่าต้องพบกับเื่น่าใอีกหรือเปล่าหนอ?
คิดถึงตรงนี้ เ่ิูก็กลืนน้ำลาย
หากเหล่าทหารในด่านโยวเยี่ยนเป็เช่นจ้าวหรูอวิ๋นหรือหลินหลางกันหมด แล้วด่านสำคัญที่สุดของอาณาจักรจะยืนหยัดไปได้อีกนานแค่ไหนกัน?
น่ากลัวว่าไม่ช้าก็เร็ว จะไม่ถูกเผ่าปีศาจตีแตกในสักวันเอาหรือ?
เ่ิูเงยหน้ามองท้องนภา
หิมะขาวโปรยปรายอีกครา
“เวลาพักสิบวันแรกถึงใกล้หมดลงแล้ว สามวันหน้าข้าต้องรับหน้าเป็ทางการ ตระเวนตรวจตรานอกในด่านโยวเยี่ยนแล้ว”
เ่ิูพลันคิดได้ว่า ที่ตัวเขาถูกส่งมาเป็ทูตถือดาบตรวจการณ์นี้ช่างเป็เื่ดีเหลือเกิน อย่างน้อยหากเขาใคร่จะทำอะไรสักอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพการณ์ในเมืองแล้วล่ะก็ อำนาจหน้าที่และตำแหน่งของทูตถือดาบตรวจการณ์คงให้ความสะดวกกับเขามากโข สามารถออกหน้าทำเื่ต่างๆ ได้
“เช่นนั้นก็ลองดูสักทีไหม เป็ชนชั้นสูงคนหนึ่งนี่ ห้ามไหลตามน้ำเด็ดขาด พ่อแม่ข้าสู้ศึกปกป้องลู่ิจนสิ้นชีพในสนามรบ ข้าไม่อาจให้ตราวีรบุรุษของพวกท่านแปดเปื้อน”
“ต่อให้ไม่อาจทุ่มสุดตัวเพื่อเปลี่ยนสถานการณ์เลวร้ายได้ แต่อย่างน้อยก็ต้องเป็เสาหลักให้ได้ จะไม่เอาความขี้ขลาดเน่าเฟะของคนอื่นมาเป็ข้ออ้างหนีหน้าที่ แม้จะลำบากยากเย็นเท่าไร ข้าก็ต้องเผชิญกับมัน ต้องศรัทธามั่นคง พวกเศษสวะกากเดนเหมือนจ้าวหรูอวิ๋นนั้นจำนวนน้อย เวินหว่านเ้าทั้งแกร่งทั้งน่ารังเกียจเหมือนหินแข็งนั่นเป็จอมยุทธ์นักรบที่แท้จริง นี่สิคือความหวังที่เหลืออยู่ของเผ่าพันธุ์”
เ่ิูก้าวไปกลางสายลมพัดหิมะ ปณิธานเขาแรงกล้าขึ้นมา
เมื่อคิดถึงจุดสำคัญนี้เรียบร้อยแล้ว ใบหน้าปลอดโปร่งด้วยอารมณ์สดใสขึ้นเยอะ
พลังปราณในกายเหมือนรู้ถึงจิตใจของเ่ิู มันถึงได้โคจรคล่องตัวมากขึ้น
เ่ิูเผยยิ้ม
“ความเข้าใจกำลังภายในที่สุดก็ขึ้นมาอีกขั้นเสียที หากก่อนหน้านี้ข้าบังคับตัวเองโคจรกำลังภายในน้ำพุสิบห้าตาในตัว ตอนนี้ข้าคงหมดจดไปแล้ว” เขาเดินพลางลองกระตุ้นกำลังภายในพลาง รู้สึกถึงปริมาณการไหลที่มากขึ้นและหดจดคล่องตัวขึ้นของปราณ การควบคุมพลังง่ายขึ้นอีกขั้น
“หทัยวรยุทธ์...ใช่แล้ว จอมยุทธ์ไม่เพียงต้องฝึกฝนร่างกาย ฝึกฝนพลังปราณ แต่ยังต้องฝึกใจ หทัยสมบูรณ์ วรยุทธ์จึงจะสมบูรณ์”
เ่ิูรู้สึกราวตัวเองััได้ถึงแนวทางแห่งวิทยายุทธ์บานใหม่
ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่ง อันดับแรกคือเขาต้องเป็มนุษย์คนหนึ่ง
มนุษย์ มีจิตใจ
จิตใจไม่สมบูรณ์ ฝึกวิทยายุทธ์ใดก็ไม่สัมฤทธิ์ผล
“ข้าสู้กับพวกจ้าวหรูอวิ๋นเมื่อครู่ก็เป็ประสบการณ์แลกหมัดที่สำคัญ พวกแม่ทัพนายกองนั่น คนหนุ่มคงแก่เรียน น้ำพุิญญาสิบสองตาขึ้นไปทั้งนั้น ข้าเบิกหนึ่งขีดสุดของเทพเ้าไร้ขีดสุดได้ถึงเอาชนะเขาได้...นี่เป็การต่อสู้ครั้งแรกของข้านับแต่เข้าถึงเคล็ดวิชาเทพเ้าไร้ขีดสุดและใช้ท่านี้ แกร่งดังคิดไว้จริงๆ หากไม่ได้ใช้ทางเทพวิชานี้ เห็นทีคนที่ถูกแขวนไว้บนเสาลงทัณฑ์ประจานคือข้าเสียมากกว่า”
การโรมรันเมื่อครู่ เ่ิูก็ชนะได้เพราะดวงอย่างแท้จริง
ทว่าศึกคราวนี้เป็การเผชิญหน้ากับยอดฝีมือวรยุทธ์คราแรกนับแต่เขาพลังเพิ่มทวี
สำหรับเ่ิูแล้ว ดูผิวเผินเหมือนเพียงเพื่อบดขยี้คู่ต่อสู้ แต่ความจริงแล้วสิ่งที่เก็บเกี่ยวและระลึกได้กลับไม่น้อยเลย
มากพอให้เขาค่อยๆ จดจำในสามสี่วันนี้ได้
...
หนึ่งชั่วโมงต่อมา
เ่ิูกลับมาถึงหอคอยอาชาขาว
ทาสกระบี่อาชาขาวไป๋หย่วนสิงให้ทาสนางนั้นเลื่อนรถเข็นมาส่ง รอคอยอยู่หน้าประตูอย่างเงียบเชียบ
เพียงได้เห็นเ่ิูกลับมาอย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน ไป๋หย่วนสิงก็ถอนใจยาวเหยียดเบาๆ
เขาไม่รู้ว่าเกิดเื่อะไรขึ้นที่ฝ่ายพลาธิการ แต่ดูจากท่าทางของใต้เท้าแล้ว น่าจะเป็เื่ดีกระมัง?
“ใต้เท้า” ไป๋หย่วนสิงอยากจะยืนขึ้นมา
เ่ิูกดไหล่เขาไว้พลางว่า “กลับไปพักผ่อนเถอะ วันหลังต้องใช้เ้าหลายเื่ รีบรักษาอาการเร็วๆ จะดีที่สุด ข้าไม่อาจอยู่ดูแลเ้าที่หอคอยอาชาขาวนี่ทุกวันได้”
ไป๋หย่วนสิงหวาดหวั่นและตะลึงจนแทบเป็หิน
เขารีบให้นางทาสพากลับห้อง
เ่ิูเดินขึ้นชั้นสี่ เขานั่งอยู่บนเบาะข้างหน้าต่าง มองท้องฟ้ายามราตรีสีดำสนิทและลมหิมะที่บ้าคลั่งขึ้นทุกทีๆ เด็กหนุ่มเริ่มโคจรวิชาลมหายใจไร้ชื่อ ดูดเอาพลังปราณใต้หล้า เลี้ยงใจหลอมพลัง
เ่ิูผู้เข้าฌานเป็ที่เรียบร้อยแล้ว มิได้รู้เลยว่าท่ามกลางค่ำคืนอันเหน็บหนาว มีคนนับไม่ถ้วนกำลังร้อนรนเพียงใด
เื่ที่เกิดขึ้นในตำหนักศิลาฝ่ายพลาธิการ ได้แพร่สะพัดและกระจายออกไปนับแต่เขายังกลับไม่ถึงหอคอยอาชาขาว
...
...
สำนักเ้าด่าน
โคมไฟอักขระชัชวาลสีส้มเหลือง ส่องแสงรำไรในห้องๆ หนึ่งบนชั้นสามของหอบัญชาการทหาร
บุรุษวัยกลางคนใบหน้าผ่ายผอมกำลังอ่านแฟ้มอยู่บนโต๊ะของเขา
บนโต๊ะไม้แดงนั้นมีกองแฟ้มทับเป็กองเท่าูเาขนาดย่อม
ชายกลางคนทั้งอ่านทั้งพลิกส่วนต่อไป ปากกาสีอิฐแดงเขียนอธิบายหน้าแล้วหน้าเล่า เดี๋ยวก็ขมวดคิ้ว เดี๋ยวก็ยิ้ม กิริยางามน่าชม ความเร็วในการอ่านแฟ้มไวมาก ทุกครั้งที่มีแฟ้มซึ่งอ่านจบแล้วก็จะแยกประเภทไว้เรียบร้อย จัดเรียงตามลำดับความสำคัญอย่างว่องไว ทุกอย่างเป็ไปอย่างมีระเบียบ
เด็กเกล้าผมมวยคนหนึ่งยืนอยู่หน้าโต๊ะ เขาบดหมึกพลางปิดปากหาวหวอด ท่าทางคงเหนื่อยมาก
“ท่านชาย นี่จะครึ่งคืนแล้วนะขอรับ พักผ่อนไวๆ หน่อยจะดีกว่า” เด็กชายด้านข้างเอ่ยเตือน
ชายกลางคนเพียงยิ้มรับแล้วว่า “มิรีบ มิรีบ”
เด็กชายเม้มปาก “ท่านไม่รีบ แต่ซิ่งเอ๋อร์จะรับไม่ไหวแล้วนะ ท่านทำงานมาจนป่านนี้ ถ้าเ้าด่านรู้เข้าล่ะก็มีหวังเอ็ดตะโรซิ่งเอ๋อร์แน่” เอ่ยพลางตรงเข้าไปยึดแขนชายกลางคนไว้ คอยสั่นไม่ให้เขาพลิกเล่มต่อไปอ่านอีก
บุรุษกลางคนยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ เขาว่าพลางส่ายหน้า “ข้าทำเ้าเสียคนเสียจริงนะ ได้ๆๆ คืนนี้ข้าพักผ่อนก่อนก็ได้...”
พูดไม่ทันขาดคำ
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูดังมา
นายทหารเกราะเงินผลักประตูเข้ามา สองมือถือแฟ้มสีทองหม่นเล่มหนึ่งก่อนส่งมันให้ตรงหน้าบุรุษกลางคน
เด็กชายเมื่อเห็นสีของแฟ้มเล่มนั้นแล้ว สีหน้ากับแววตาพลันเปลี่ยนกะทันหัน
รอยยิ้มบนใบหน้าชายกลางคนเก็บกลับจนหมด เพียงยกมือขึ้นคราเดียว พลังไร้รูปร่างก็ดึงดูดเอาแฟ้มสีทองหม่นมาไว้ในมือ
จอมยุทธ์เกราะเงินขอตัวออกไปแล้วปิดทวารประตูใหญ่จากด้านนอก
บุรุษกลางคนเปิดแฟ้มออก เขากวาดตาอ่าน แววตานั้นตะลึง ฉับพลันก็ส่ายหน้าแ่เบา ใบหน้ามีสีสันแห่งความซับซ้อนอยู่แวบหนึ่ง
เด็กชายอดไม่ได้จนต้องยืนบนนิ้วเท้า เขาถามอย่างฉงน “ท่านชาย แฟ้มสีทองหม่นไม่ได้เห็นมาหลายเดือนแล้วนะ ในนั้นเขียนอะไรหรือ? ใช่ข่าวความเคลื่อนไหวใหม่ของเผ่าปีศาจหรือเปล่า?”
ชายกลางคนเหล่ตามองแล้วตอบ “ยังจำบุรุษอายุน้อยจากสำนักกวางขาวที่มารายงานตัววันก่อนได้ไหม?”
เด็กชายพยักหน้า “ท่านพูดถึงเด็กที่ชื่อเ่ิูหรือ? พอจำได้อยู่นะ ฮี่ๆ ท่าทางโง่เง่ามาก พูดไม่ค่อยเป็คำ ข้าเดาเอาว่าคงใช้ชีวิตอยู่ในด่านนี่ไม่ค่อยราบรื่นเท่าไรล่ะ...ไม่สิ หรือว่าในแฟ้มสีทองหม่นจะเป็ข่าวของเขาน่ะ? ก่อนหน้านี้ข้าเคยอ่านแฟ้มของเขามาก่อน เป็แค่เด็กอาณาน้ำพุิญญาสามตาเองนี่นา...”
บุรุษแก่กว่าส่ายหน้า “คราวนี้ข้ามองพลาด ซิ่งเอ๋อร์เ้าเองก็มองพลาด”
ว่าพลางส่งแฟ้มทองหม่นให้เด็กชาย
แฟ้มสีทองหม่นนี้ยังคงเป็ข่าวลับสุดยอดภายในด่านโยวเยี่ยน แม้ว่าจะเป็ผู้นำชั้นแม่ทัพระดับกลางก็ยังไม่มีสิทธิ์ได้อ่าน นอกจากเ้าด่านลู่เฉาเกอแล้ว ก็มีทหารผู้ช่วยกองบัญชาการที่เชื่อใจได้ไม่กี่คนในหอบัญชาการทหารเท่านั้นที่อ่านได้ ชายกลางคนแซ่หลิว เป็ท่านชายหลิวที่เ่ิูได้การต้อนรับในวันนั้น ซิ่งเอ๋อร์เป็เด็กหนังสือเล็กๆ ข้างกายเขา คอยส่งแฟ้มที่มีความลับสุดยอดเหล่านี้ให้เขาพลิกอ่าน สามารถเห็นความเอ็นดูและไว้เนื้อเชื่อใจที่เขามีต่อตัวซิ่งเอ๋อร์ได้เลย
ซิ่งเอ๋อร์รับแฟ้มมาพลางหัวเราะเบาๆ เขากวาดตาแล้วแลบลิ้น “กลุ่มอายุน้อยแกร่งกล้าชิงเฟิงซาน แม้จะยังไม่มีประโยชน์มากนัก แต่โชคดีที่มีตัวเก็งๆ พลายคน โดยเฉพาะอีซานเช่อ เป็หนึ่งในร้อยอันดับของแม่ทัพอายุสี่สิบลงไปได้ แม้แต่เ้าด่านยังชื่นชมเขามาก จัดการให้เขาเข้ามาในสำนัก ไม่นึกว่าจะถูกเ่ิูต่อยหน้าเสียเจ็บแสบ ใต้เท้าทูตถือดาบตรวจการณ์ผู้นี้เป็คนจริงไม่ต้องโม้สินะ”
ท่านชายหลิวค่อยๆ ลุกขึ้นเชื่องช้า เขาบิดี้เีพลางตอบ “ข่าวของสำนักด่านไม่มีทางผิดพลาด ก่อนหน้านี้เดือนกว่า เ่ิูผู้นี้เป็จอมยุทธ์น้ำพุิญญาตามที่สาม สาบสูญไปหนึ่งเดือนถึงกลับมา ก็สามารถลงมือบดขยี้อีซานเช่ออาณาน้ำพุิญญายี่สิบสามตาได้...หากข้าทายไม่ผิด ต้องเกิดอุบัติการณ์อะไรขึ้นในเดือนหนึ่งนั้นแน่ๆ ถึงได้ทำให้พลังเ่ิูเพิ่มทวีขึ้นถึงเพียงนี้...”
“ในหนึ่งเดือนนี้พลังเพิ่มขึ้นมหาศาลหรือ?” ใบหน้าเล็กๆ เกลี้ยงเกลาของซิ่งเอ๋อร์หวาดผวา “เป็ไปไม่ได้? นี่มันจะผิดมนุษย์โลกตะลึงไปแล้วนะ”
“เื่อัศจรรย์บนโลกนี้มีอยู่มากมาย หากข้าจำไม่ผิด เผ่าปีศาจมีวิชาอยู่อย่างหนึ่งซึ่งสามารถเพิ่มพลังของคนๆ หนึ่งให้มากขึ้นเป็สิบเท่า” ท่านชายหลิวสีหน้าเคร่งขรึมอย่างไม่เคยเป็มาก่อน
ซิ่งเอ๋อร์ปิดปาก “ท่านกำลังระแคะระคายว่าเ่ิูจะมีเอี่ยวกับเผ่าปีศาจหรือ?”
ท่านชายหลิวพยักหน้ารับ “ไม่ป้องกันไว้ก่อนนั้นหาได้ไม่”
“แต่ว่า...” ซิ่งเอ๋อร์เอ่ยอย่างใ “แต่เขาเป็ผู้สืบทอดตราวีรบุรุษทำความดีความชอบในานะ จะทำได้...”
ท่านชายหลิวผ่อนลมหายใจ เขาตอบ “เพราะเหตุนั้นเื่นี้ถึงต้องจัดการอย่างระมัดระวังที่สุด หลายปีมานี้ เผ่าปีศาจเคลื่อนไหวต่อเนื่อง สถานการณ์ชายแดนกำลังอิรุงตุงนัง เผ่าปีศาจประหลาดนัก ต้องป้องกันไว้ก่อน...ข้าจะไปพบใต้เท้าเ้าด่าน เ้าตามข้ามา”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้