ติงเซี่ยนอึ้งกิมกี่เงยหน้ามองไปที่มู่อวิ๋นจิ่นและฉู่ลี่ตามลำดับ ด้วยสายตาที่อยากถามความแน่ใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “กระผมเห็นว่าอาจไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านอาจารย์ไฮว๋หยวนเคยบอกว่านางอาจไขค่ายกลของท่าจอาจารย์คงซื่อได้ มาตอนนี้นางไขมาได้ครึ่งหนึ่ง ที่เหลืออีกครึ่งอาจไขได้เช่นกัน” ฉู่ลี่ตอบเสียงเรียบ
ติงเซี่ยนได้ยินกลับนิ่งชะงักทันใด ระหว่างเตรียมอ้าปากพูด มู่อวิ๋นจิ่นกับจื่อเซียงได้เดินเข้ามาที่ข้างกายของทั้งสองคน
มู่อวิ๋นจิ่นจ้องไปที่ฉู่ลี่และติงเซี่ยน เห็นองค์ชายและองครักษ์คู่ใจคู่นี้กำลังคุยบางอย่าง จึงได้แต่ยิ้มมุมปาก แล้วหันหลังกลับเข้าห้องนอนไป
เมื่อเข้ามาในห้อง มู่อวิ๋นจิ่นเดินไปที่ช่องลับในตู้เสื้อผ้า เปิดหาชุดดคลุมกันลมวางอยู่ที่เดิม จึงค่อยๆ ผ่อนคลายนั่งลงที่เก้าอี้ด้านข้าง
ใน่นี้เื่ราวมากมายเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน มู่อวิ๋นจิ่นทำได้เพียงถอดถอนใจให้กับเื่พวกนี้
……
ในเช้าวันถัดมา มู่อวิ๋นจิ่นได้สติขึ้นจากเสียงปลุกจื่อเซียง พอนางลุกขึ้นเดินมานั่งหน้าโต๊ะผลัดแป้ง จื่อเซียงก็ช่วยแต่งตัวและเกล้าผมอย่างเรียบร้อย ในมือจื่อเซียงมีหวีอยู่ในมือช่วยมู่อวิ๋นจิ่นสางผม ด้วยความระมัดระวังเบามือ องค์หญิงห้า คุณหนูสี่ และคุณหนูฉินคงไปด้วยกันหมด
เมื่อได้ยินชื่อของคนพวกนี้จนครบทุกคน มู่อวิ๋นจิ่นมีความรู้สึกไม่อยากไปเอาเสียเลย แต่เมื่อคืนที่แม่นมเสิ่นบอกนางว่าเป็ตัวแทนในจวนองค์ชายหก นางก็จำใจต้องไปอย่างเลี่ยงเสียมิได้
มู่อวิ๋นจิ่นแต่งตัวด้วยชุดเรียบง่าย จากนั้นพาจื่อเซียงออกจากองค์ชายหกไปพร้อมกัน
เมื่อนั่งรถม้าเดินทางออกไปนอกเมือง จื่อเซียงเริ่มรู้สึกเป็กังวลขึ้นมา หนังตากระตุกอยู่หลายครั้ง ภายในใจเกิดลางสังหรณ์ไม่ค่อยจะดีผุดขึ้นมา
หลังจากนั้น รถม้าได้หยุดลงที่ทะเลสาบระยับ
มู่อวิ๋นจิ่นก้าวลงมาด้านล่าง มองเห็นเรือไม้ที่ทำอย่างวิจิตรลำหนึ่งเทียบท่าอยู่ ด้านข้างมีรถม้าจอดอยู่มิน้อย ตรงบริเวณแถวนั้นตะวันสาดแสงแรงกล้า จนบรรดาคุณหนูผู้สูงศักดิ์ต่างไม่ย่างกรายลงมาแม้แต่ก้าวเดียว
จนกระทั่งเวลาผ่านสักประมาณสิบห้านาที รถม้าจวนหรงค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาไม่รีบไม่ร้อน
รถม้าจอดหยุดลง มู่หลิงจูมีบ่าวใช้มาประคองเดินลงข้างล่าง จากนั้นมู่หลิงจูหันหลังยกมือประคองพระชายาหรงลงจากรถม้าอีกทีหนึ่ง
ผู้คนโดยรอบที่เห็นพระชายาหรงมาแล้ว ต่างพากันเดินลงมาจากรถม้าโดยพร้อมเพรียง เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นเห็นมู่หลิงจูประคองพระชายาหรงลงมา ก็ยกมือขึ้นบังปากหัวเราะอย่างสังเวช
มู่หลิงจูเห็นสายตาของหลายๆ คนมองมา จนนางต้องก้มหน้าก้มตาลง มิกล้าสบตาผู้ใด
ในสมัยก่อนนางเป็บุตรสาวที่ได้รับการยกยอในจวนอัครเสนาบดี ทั้งยังได้รับฉายาเป็สตรีที่มีความสามารถอันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรซีหยวน บรรดาคุณหนูที่เห็นนางต่างกรูกันเข้ามาประสบสอพลอเอาอกเอาใจ ช่างต่างกับเวลานี้โดยสิ้นเชิงที่มีแต่สายตาดูแคลน
ระหว่างนั้นเอง มีรถม้าอีกคันกำลังตรงเข้ามา คนในนั้นไม่ใช่ใครอื่นไกลคือ ฉินมู่เยว่และฉู่ ชิงเฉียง
สองคนนั้นจับไม้จับมือกันเดินลงมาอย่างสนิทสนม ซึ่งมองแวบเดียวรู้ได้ทันทีว่าคุ้นเคยกันอย่างยิ่ง
ฉู่ชิงเฉียงเดินผ่านมู่อวิ๋นจิ่นไปโดยไม่เหลียวตามอง เดินตรงไปทำความเคารพหน้าพระชายาหรง “ท่านป้า”
“อ่อ ชิงเฉียงมาแล้ว” พระชายาหรงมองไปรอบด้าน “ในเมื่อคนมากันครบแล้วก็ขึ้นเรือชมทะเลสาบกันได้”
“พ่ะย่ะค่ะ พระชายาหรง” บรรดาคุณต่างย่อตัวทำความเคารพพระชายาหรง จากนั้นค่อยๆ ทยอยเดินขึ้นเรือไม้ลำนั้นไป
……
บนลำเรือคุณหนูทั้งหลายนั่งลงเป็ที่เรียบร้อย บ่าวใช้ด้านข้างต่างยกของว่างและน้ำชาก่อนถอยกลับไปที่เดิม
พระชายาหรงเดินไปนั่งบนเก้าอี้ประธาน หรี่ตามองทุกคนด้านล่าง ยิ้มมุมปากเพียงเล็กน้อย “ไม่ได้มาที่นี่มาเนิ่นนานแล้ว ทะเลสาบระยับยังคงงดงามเช่นเดิม”
“ท่านป้า ในเมื่อรู้สึกที่นี่งดงาม วันหลังก็ออกมาเที่ยวบ่อยๆ จะได้ช่วยในเื่สุขภาพเ้าค่ะ” ฉินมู่เยว่จิบน้ำชามองไปทางพระชายาหรง
พระชายาหรงพยักหน้าเห็นด้วย อมยิ้มส่งให้ฉินมู่เยว่ “การประชันบทกลอนในปีนี้ มีคนใหม่มาร่วมมิน้อย แม้แต่สตรีอันดับหนึ่งยังมาร่วมเลย ทุกคนต้องระวังให้มากล่ะ”
พระชายาหรงกล่าวจบแล้วกวาดสายตาส่งไปทางมู่หลิงจู
มู่หลิงจูก้มหน้าเม้มปาก ด้วยยังคาดเดานิสัยใจคอพระชายาหรงได้ไม่ชัดเจน จึงทำได้เพียงปิดปากให้เงียบที่สุด
หลายวันมานี้ในจวนหรง นางถูกทรมานสารพัดวิธี
“พี่สะใภ้อวิ๋นจิ่นมาร่วมเป็ครั้งแรกใช่ไหมเอ่ย?” ฉินมู่เยว่หันมองมู่อวิ๋นจิ่นที่นั่งอยู่ตรงข้ามพอดิบพอดี
“อืม” มู่อวิ๋นจิ่นตอบเสียงเรียบ
ทางด้านฉู่ชิงเฉียงสะบัดหน้าอย่างไม่สนใจ “เปิ่นกงจู่[1]นึกว่าการประชันบทกลอนในวันนี้ อาจไม่ได้เห็นหน้าพระชายาหกเสียอีก เพราะหากไม่ได้ศึกษาร่ำเรียนมา ย่อมไม่กล้ามายืนอยู่ที่นี่”
“องค์หญิงห้ากล่าวเช่นนี้อาจไม่ถูกเสียทีเดียว สนมเช่อเฟยมู่อย่างน้อยก็ยังเป็สตรีที่มีความสามารถอันดับหนึ่ง อีกอย่างพระชายาหกและสนมเช่อเฟยยังเป็พี่น้องต่างมารดา ย่อมมิใช่สตรีที่ไร้การศึกษาหรอก” เยี่ยนหลิงฉางเอ่ยขึ้น พลางชำเลืองไปทางมู่อวิ๋นจิ่น
“คุณหนูเยี่ยนพูดมามีเหตุผลอยู่ แต่เปิ่นกงจู่เป็คนฝีปากไว พูดจาตรงไปมาตรงมา” ฉู่ชิงเฉียงแสยะยิ้ม “ใช่แล้ว สนมเช่อเฟย ได้ยินมาว่าหลายวันมานี้เวียนหัวหมดสติบ่อยอย่างนั้นหรือ? คนข้างนอกต่างลือกันว่าพระชายาหรงทรมานเ้า ถือโอกาสวันนี้ที่ทุกคนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา อธิบายให้ทุกคนได้ยินโดยพร้อมเพรียงกันเถอะ จะได้ไม่มีใครเข้าใจท่านป้าผิดไป”
เมื่อครู่มู่หลิงจูยังฟังฉู่ชิงเฉียงเสียดสีมู่อวิ๋นจิ่นอยู่ดีๆ จิตใจกำลังฟูฟ่องด้วยความสะใจ แต่ว่าจู่ๆ กลับพุ่งโจมตีนางไปเสียได้
การทรมาน มิใช่สิ่งที่ฉินมู่เยว่ชอบนำมาใช้ทรมานนางจนสลบไปหรอกหรือ?
ฉู่ชิงเฉียงผู้นี้ช่างโจมตีได้รุนแรง ในสถานการณ์เช่นนี้ หากมู่หลิงจูเล่าความจริงที่ประสบพบเจอไป มีหวังกลับไปเืต้องกลบปากแน่นอน
“ข้าว่าท่านป้าเป็คนอ่อนโยน ด้วยเหตุนี้จะต้องทรมานน้องหลิงจูไปทำไมด้วยเล่า” ฉินมู่เยว่เอ่ยขึ้น
พระชายาหรงได้ฟัง หัวเราะคิกคักขึ้นมา “ในเมื่อเป็ความเข้าใจผิด ก็ควรพูดให้ชัดเจนแจ่มแจ้งไปเลย… เวลาล่วงเลยมานานแล้ว ทุกคนเริ่มคิดหัวข้อกันเถอะ วันนี้ขอเอาหัวข้อ ‘ทะเลสาบระยับ’ เปิดประชันแล้วกัน”
“ให้สตรีที่มีความสามารถอันดับหนึ่งเริ่มก่อนเลย” ฉินมู่เยว่เสนอขึ้น
“ได้สิ อย่างนั้นน้องสาวก็เริ่มได้เลย” พระชายาหรงกวาดตามาทางมู่หลิงจู
มู่หลิงจูพยักหน้ารับทราบ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยอย่างได้ใจ นางต้องเป็คนแรกที่เปิดหัวได้ดี ให้คนที่เหลือมิอาจต่อบทกลอนนางได้อีก
ในวันพรุ่งนี้ทั้งเมืองเตี๋ยฮวา ย่อมต้องกล่าวถึงชื่อเสียงของมู่หลิงจูดังเดิม
“สายหมอกเวียนวนเหนือนารี สะท้อนคลื่นเป็เกลียวเลื่อนพริ้วไหว” มู่หลิงจูพรรณนาบทกลอนด้วยความมั่นใจ ว่าไม่มีผู้ใดจะเก่งกาจเกินนาง
“สตรีอันดับหนึ่งช่างสมคำร่ำลือเสียจริง!” บุตรสาวขุนนางด้านข้างถึงกับเอ่ยปากชม
พระชายาหรงหัวเราะขึ้นมา “แน่นอนอยู่แล้ว มิเช่นนั้นท่านอ๋องหรงจะยืนกรานรับนางแต่งเข้าจวนทำไมเล่า!”
คำกล่าวของพระชายาหรง ทำให้มู่หลิงจูยิ้มหน้าบานจนเกินหน้าเกินตา
“ใครจะเป็คนต่อไปเอ่ย?” พระชายาหรงถามขึ้น
“ให้พี่สะใภ้อวิ๋นจิ่นแล้วกัน ปีนี้นางมาร่วมเป็ครั้งแรก พวกเราต้องให้โอกาสคนใหม่แสดงฝีมือบ้าง” ฉินมู่เยว่ยิ้มสะใจส่งให้มู่อวิ๋นจิ่น
ระหว่างที่ได้ฟังบทกลอนสองวรรคแรกของมู่หลิงจู ด้านมู่อวิ๋นจิ่นที่กำลังใคร่ครวญบทกลอนต่ออย่างสุดความสามารถอยู่นั้น ได้ยินชื่อของนางดังขึ้นก็ถึงกับยิ้มอย่างโล่งใจ อะไรจะช่างเหมาะเจาะกับลำดับที่สองที่นางหวังไว้
พูดก็พูดเถอะ บทกลอนที่มู่หลิงจูร่ายมานั้น สมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ
ทว่าฉินมู่เยว่ตั้งใจแกล้งให้มู่อวิ๋นจิ่นต่อกลอนบทนี้ต่อ นับเป็การท้าทายอย่างมาก เนื่องจากทุกคนในที่นี้ต่างทราบกันดีว่านางอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ตอนนี้ให้นางมาต่อบทกลอน ย่อมเป็เื่ที่ยากเย็นแสนเข็ญ
“ได้สิ เอาตามที่มู่เยว่เสนอมาแล้วกัน” พระชายาหรงมองไปที่มู่อวิ๋นจิ่น “ใช่แล้ว กฏที่นี่ของพวกเราคือ หากใครมิอาจต่อบทกลอนได้ ต้องถูกลงโทษให้ดื่มสุราที่รสชาติรุนแรงสามแก้ว”
มู่อวิ๋นจิ่นนั่งพิงพนักเก้าอี้ ั้แ่ที่เดินขึ้นเรือไม้ลำนี้มา ดูเหมือนสิ่งที่ได้ยินได้ฟังทั้งหมดนั้น คนส่วนใหญ่อยากจะผลักไสไล่ส่งนางกับมู่หลิงจู
การเริ่มต้นประชันบทกลอนโดยให้มู่หลิงจูเป็คนแรก เพื่อ้าให้มู่อวิ๋นจิ่นต้องอับอายขายขี้หน้า
“พี่สาว ท่านต้องคิดให้ดีๆ ล่ะ” มู่หลิงจูที่ภูมิใจในบทกลอนนี้อย่างมาก พอทราบว่าฉินมู่เยว่ให้มู่อวิ๋นจิ่นเป็คนที่สอง ในใจต่างดีใจจนเกือบควบคุมไม่อยู่
ดูสิ! วันนี้มู่อวิ๋นจิ่นจะเอาตัวรอดอย่างไร!
มู่อวิ๋นจิ่นกลอกตามองมู่อวิ๋นจิ่นแวบหนึ่ง อยากะโให้น้องสมองขี้เลื่อยดูให้ออกเสียที คนส่วนใหญ่ในที่นี้ต่างเห็นเป็สายตาเดียวกัน อยากผลักไสไล่ส่งพี่น้องตระกูลมู่ออกไป ไอ้น้องคนนี้ช่างไม่รู้เื่อะไรเลย
ยังไงสันดานขี้อิจฉา ขี้เอาชนะของมู่หลิงจูแก้อย่างไรก็ไม่มีทางหาย
“พระชายาหก รีบต่อบทกลอนเร็วเข้าสิ อย่าให้บรรยากาศที่งดงามเช่นนี้เสียไปโดยที่ไม่ได้ชื่นชมบทกลอนเลย” เยี่ยนหลิงฉางเร่งรัด
มู่อวิ๋นจิ่นยิ้มจางๆ แววตาไร้ซึ่งความกังวล แค่ต่อบทกลอนเท่านั้น
อย่าคิดฝันจะได้กดหัว หยามหน้าให้นางขายขี้หน้าเลย สมัยที่นางเรียนอยู่ต้องท่องบทกลอนบทกวีของราชวงศ์ถังและซ่ง บัดนี้ถึงเวลานำมาใช้ตบหน้าพวกนางแล้ว
ระหว่างที่มู่อวิ๋นจิ่นกำลังจะอ้าปากร่ายกลอน ฉู่ชิงเฉียงกลับเย้ยหยัน “พระชายาหก ในเมื่อยังคิดไม่ออก ก็ค่อยๆ คิดต่อไปเรื่อยๆ แล้วกัน พอดีเปิ่นกงจู่นึกออกมาได้พอดี ขอร่ายก่อนแล้วกัน”
“จะร่ายบทกลอนใดต่อกันเนี่ย?” ทุกคนในที่นั้นต่างหันมองฉู่ชิงเฉียงไปในทางเดียวกัน
“อันที่จริง เปิ่นกงจู่ไม่รู้ว่าจะเป็บทกลอนที่ดีหรือเปล่า หวังว่าร่ายออกมาแล้ว พระชายาหกกับมู่เช่อเฟยอย่าได้ขัดเคืองใจไปแล้วกัน”
พอได้ยินคนมาพาดพิงอีกครั้งหนึ่ง มู่อวิ๋นจิ่นเบะปากอย่างไม่แยแส เพราะอย่างไรเสียฉู่ชิงเฉียงผู้นี้อ้าปาก หุบปากก็ไม่มีเื่ดีเกิดขึ้นสักเื่
“หลายวันก่อน เปิ่นกงจู่ได้ฟังนางกำนัลในวังซุบซิบนินทาแล้วก็อดกลั้นหัวเราะไว้มิได้ พวกนางเล่ากันอย่างสนุกปากว่า การที่มู่เช่อเฟยแต่งกับท่านอ๋องหรง มาจากที่พระชายาหกขอร้ององค์ชายหกให้ไปยัดเยียดมู่เช่อเฟยให้กับท่านอ๋องหรง ยังเล่าต่อไปอีกว่าองค์ชายสิบมีใจปฏิพัทธ์กับมู่เช่อเฟยอยู่ แต่กลับถูกท่านอ๋องหรงตัดหน้าชิงไปก่อน”
“ที่น่าขันมากยิ่งไปกว่านั้นคือ พวกนางเล่ากันว่าการที่พระชายาหกทำเช่นนี้ เป็เพราะั้แ่มู่เช่อเฟยยังอายุน้อยบอกพระชายาหกว่าชอบบุรุษที่อายุมากกว่าตน ดังนั้นจึงจัดให้สมความปรารถนาของมู่เช่อเฟย สุดท้ายเป็ความรักต่างวัยที่เหมือนพ่อกับลูกสาวว่าไหม?”
“ฮ่าๆๆๆ เื่แบบนี้ก็มีด้วย ช่างน่าขันสิ้นดี!”
หลังฉู่ชิงเฉียงหยุดหัวเราะแล้ว บรรดาคนที่เหลือต่างกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ รวมไปถึงบ่าวใช้ที่ยืนอยู่รับใช้อยู่ด้านหลังก็กลั้นมิไหวเช่นกัน
มู่หลิงจูเดือดดาลหน้าดำหน้าแดง ร่างกายสั่นระรัวอย่างที่สุด ทำได้เพียงกัดฟันกรอด มองด้วยสายตาแดงก่ำ ด้วยนึกไม่ถึงว่าจะมีคนนินทาลื่อเล่าถึงนางหนักหนาเพียงนี้ เื่นี้ถือเป็การหยาวเกียรติของสตรีอย่างใหญ่หลวง
“มู่อวิ๋นจิ่น ที่แท้เื่ทั้งหมด เป็เ้าที่คอบชักใยอยู่เื้ันี่เอง” มู่หลิงจูลุกขึ้นชี้หน้าด่าทอมู่อวิ๋นจิ่น
ทุกคนที่ได้ยิน ต่างใจนแหวกเป็สองฝั่ง
มู่อวิ๋นจิ่นรู้แก่ใจดีเป็ที่สุด การที่มู่หลิงจูต้องแต่งกับท่านอ๋องหรงเป็แผนชั่วของฉินมู่เยว่ต่างหาก แต่เวลานี้ฉู่ชิงเฉียงกลับปั้นน้ำเป็ตัวจนคนที่ฟังเคลิบเคลิ้มเชื่อไปสนิทใจ
“น้องหลิงจู ไม่รู้เลยว่าเ้าชอบสามีรุ่นราวครางพ่อด้วยเหรอ?” พระชายาหรงเลิกคิ้ว ถามยิ้มๆ อย่างสะใจ
[1] เปิ่นกงจู่ สรรพนามที่องค์หญิงใช้เรียกแทนตนเอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้