“เซวียนเซวียน ความคิดของจื่อเฉินถูกต้องแล้ว พวกเ้ารีบมีลูกเถิด ข้าจะช่วยพวกเ้าเลี้ยงเอง” พานซื่อชอบเด็กเล็กยิ่งนัก นางคิดว่าหากจิ่นเซวียนตั้งครรภ์ นางจะเป็แม่นมให้ลูกของจิ่นเซวียน ดูแลลูกของนางอย่างดี
“พี่สะใภ้สาม เื่ลูกข้ามิรีบ ข้าเพิ่งอายุสิบสี่ปีเอง ยังมิคิดจะมีลูกเ้าค่ะ” จิ่นเซวียนมิเคยคิดเื่ลูกจริงๆ มิว่ายุคปัจจุบันหรือยุคโบราณ นางก็ยังมิบรรลุนิติภาวะ
“จื่อเฉินเอ๋ย ดูท่าเ้าจะต้องพยายามให้มากขึ้นเสียแล้ว” พานซื่อคิดว่าจิ่นเซวียนจะเหมือนพวกนาง ที่อยากมีลูกทันทีที่แต่งเข้ามา
“พี่สะใภ้พูดถูก เซวียนเซวียนมิอยากมีลูกให้ข้า แปลว่าข้ายังพยายามมิมากพอ” ซ่งจื่อเฉินเม้มริมฝีปาก ยกยิ้มเชิงตลกขบขัน พวกเขาสามีภรรยาสนทนากับพานซื่ออีกครู่หนึ่งและตัดสินใจจะขึ้นูเาชางเยี่ยนกันวันอื่นแทน หลายวันถัดมา พวกเขาเก็บตัว กลั่นยาลูกกลอนอยู่ในมิติ ใช้ข้ออ้างว่า้าออกไปท่องโลก จึงหายไปจากเรือนใหญ่ของบ้านซ่ง
......
จิ่นเซวียนและซ่งจื่อเฉินอยู่ในมิตินานถึงสิบวัน ่เวลาสิบวันนี้ วรยุทธ์ของพวกเขาพัฒนาขึ้นมาก เมื่อพวกเขาออกมาข้างนอกมิติ วันเวลามิได้ผ่านไปเพียงสิบกว่าวัน แต่ผ่านไปนานถึงหนึ่งเดือนกว่าๆ
เพื่อมิให้ทุกคนสงสัยจึงต้องแสร้งทำท่าทีสะพายห่อผ้ากลับมาจากข้างนอก วันนี้อากาศดี ฟ้าครึ้ม มิร้อนมิหนาว เหมาะแก่การทำกิจกรรมกลางแจ้ง
จิ่นเซวียนกับซ่งจื่อเฉินว่าจะกินอาหารกันสักหน่อย แล้วค่อยไปหาสมบัติทีู่เาชางเยี่ยน
“จื่อเฉินเอ๋ย พวกเ้าสามีภรรยาออกเดินทางกันตั้งยี่สิบกว่าวัน จนลืมกลับไปเยี่ยมบ้านฝ่ายเ้าสาวแล้ว มิกี่วันก่อน ข้าไปตลาด อาเล็กของเซวียนเซวียนถามข้าว่าพวกเ้าไปที่ใดกัน” ตอนรับประทานอาหารกลางวัน เฉินซื่อมองไปทางจิ่นเซวียนกับซ่งจื่อเฉินด้วยท่าทางหยอกล้อ มิพบกันเพียงหนึ่งเดือน จิ่นเซวียนกับซ่งจื่อเฉินดูดีกว่าเมื่อก่อนจนนางตกตะลึงไปเล็กน้อย
“พี่สะใภ้ใหญ่ เดี๋ยวพวกเราจะขึ้นเขากัน พวกท่านมิต้องห่วงพวกเรานะเ้าคะ”
“ข้าไปเรียกพวกพี่ใหญ่ที่ทุ่งให้ไปกับพวกเ้าดีหรือไม่” เฉินซื่อยิ้มถามความเห็นของซ่งจื่อเฉิน ซ่งจื่อเฉินบอกนางว่ามิต้องเรียกพวกพี่ชายมา
หลังจากที่พวกเขาสามีภรรยาทานอาหารเสร็จ จิ่นเซวียนก็ถามเฉินซื่อว่าภายในบ้านมีเครื่องมือล่าสัตว์หรือไม่ พวกเขาจะถือโอกาสล่ากระต่ายสักสองสามตัวมาคลายความอยากด้วย
เนื้อสัตว์ป่ากับสัตว์ธรรมดามิเหมือนกัน มันมิเพียงมีราคาสูง แถมยังมีรสชาติดีอีกด้วย นางอยากกินเนื้อกระต่ายย่าง
“ในบ้านมีธนูสองคัน ท่านพ่อกับข้ามักจะนำมาใช้ ส่วนพวกพี่ใหญ่มิค่อยขึ้นเขา” ซ่งจื่อเฉินพูดพลางให้จิ่นเซวียนปิดประตูด้านหลัง เขาจะไปหยิบเครื่องมือ
......
จิ่นเซวียนกับซ่งจื่อเฉินมาถึงลานหน้าบ้าน ซ่ง เฉวียนก็เดินเข้ามาขอไปด้วย
“เ้ายิงธนูเป็หรือไม่?” จิ่นเซวียนถามซ่งเฉวียน
“เป็ขอรับ พวกเราพี่น้องเรียนรู้วรยุทธ์กับท่านปู่มาั้แ่เล็ก แม้จะมิใช่ยอดฝีมือของยุทธภพ แต่ก็พอปกป้องตนเองได้ขอรับ” ซ่งเฉวียนยิ้ม “ท่านอาห้า พวกเรามิได้จะไปขุดสมุนไพรกันหรือ?พวกท่านรอข้าเสียหน่อย ข้าจะไปเอาจอบขอรับ”
จากนั้นมินานซ่งเฉวียนก็นำตะกร้าสะพายหลังและจอบออกมา นำมันแบกขึ้นหลังและขึ้นเขาไปกับพวกจิ่นเซวียน
เมื่อพวกเขาเดินผ่านหมู่บ้าน พวกชาวบ้านก็มองมาทางพวกเขาด้วยความสงสัย
“จื่อเฉินเอ๋ย!เ้าจะไปล่าสัตว์กันหรือ?” สตรีออกเรือนที่ยืนอยู่บนคันดินใ เมื่อเห็นซ่งจื่อเฉินสะพายซองธนู ก่อนหน้านี้ซ่งจื่อเฉินได้รับาเ็ตอนที่ไปล่าสัตว์ เขายังกล้าจะไปอีก มิใช่รนหาที่ตายหรอกหรือ?
“ภรรยาจื่อเฉิน เ้ารีบโน้มน้าวมิให้สามีของเ้าไปทีู่เาชางเยี่ยนเร็วเข้า เขตูเาชางเยี่ยนนั้นสูงชัน เข้าถึงยาก หากพวกเ้าพบเจอสัตว์ป่าขึ้นมา จะอันตรายยิ่งนัก”
สตรีออกเรือนนางนั้นมองจิ่นเซวียนอย่างวิตก และรีบบอกให้จิ่นเซวียนห้ามซ่งจื่อเฉิน
“หากพวกเรามิได้เข้าไปลึก น่าจะมิมีปัญหาเ้าค่ะ” จิ่นเซวียนยิ้มอย่างมิใส่ใจ “ข้าคิดว่าพวกเราควรเสี่ยง มิแน่อาจจะขุดได้สมบัติบนูเาชางเยี่ยนก็ได้เ้าค่ะ!”
“แล้วแต่พวกเ้าเถิด ข้าโน้มน้าวพวกเ้ามิได้ หากพวกเ้าเกิดเื่ขึ้น อย่ามาโทษข้าเล่า” สตรีนางนั้นบ่นพึมพำ และละสายตากลับไปดูผลผลิตในสวนของตนเองต่อ
“อาสะใภ้ห้า พวกเราจะไปทีู่เาชางเยี่ยนกันจริงหรือขอรับ?” เมื่อมาถึงตีนูเาชางเยี่ยน ซ่งเฉวียนก็เกิดอาการกลัวเล็กน้อย เขาหันมาพูดกับพวกจิ่นเซวียนว่าูเาชางเยี่ยนคือสถานที่ต้องห้าม พวกเขาต่างก็ไปตัดฟืนกันบนเนินเขาอื่น มิกล้าขึ้นไปบนูเาชางเยี่ยน
“อาเฉวียน ความจริงแล้วูเาชางเยี่ยนมิได้มีอันตรายอย่างที่เ้าคิด หากเ้ามิกล้าไป เ้าก็รอพวกเราอยู่ตรงตีนเขาเถิด” จิ่นเซวียนรับตะกร้าสะพายหลังมาสะพายเอง
“ท่านอาสะใภ้ห้า ท่านอาห้า ข้าไปเป็เพื่อนพวกท่านดีกว่าขอรับ” ซ่งเฉวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจขึ้นเขาไปกับพวกจิ่นเซวียน
“ภรรยา นำตะกร้าสะพายหลังมาให้ข้า” ซ่งจื่อเฉินเอื้อมมือไปหยิบตะกร้าจากหลังของจิ่นเซวียนแล้วเอามาสะพายเอง
เมื่อพบสมุนไพรที่คุ้นเคย พวกเขาก็ขุดขึ้นมาใส่ในตะกร้า
“สามี ทางนั้นมีอี้หมู่เฉ่า[1]” จิ่นเซวียนกับซ่งจื่อเฉินค่อยๆ พาซ่งเฉวียนเข้าไปในูเาลึก จิ่นเซวียนพบอี้หมู่เฉ่าหลายต้นข้างๆ พุ่มไม้เตี้ย นางนั่งยองๆ และถอนมันออกมาอย่างตื่นเต้น
“อาเฉวียน สมุนไพรชนิดนี้มีชื่อว่าอี้หมู่เฉ่า มีสรรพคุณสลายเืคลั่งและช่วยให้เืหมุนเวียน สามารถใช้รักษาโรคภายในของสตรีได้” จิ่นเซวียนถอนอี้หมู่เฉ่าออกมาหนึ่งต้น และบอกประโยชน์ของสมุนไพรชนิดนี้ให้ซ่งเฉวียนฟัง
“ท่านอาสะใภ้ห้า สมุนไพรชนิดนี้ข้าเคยเห็น ในเมื่อมันใช้ได้ ข้าจะขุดมันกลับบ้านขอรับ” ซ่งเฉวียนบอกจิ่นเซวียนว่าเขาเคยเห็นอี้หมู่เฉ่า
เมื่อเข้ามาในเขตูเาลึก จิ่นเซวียนพบว่ามีองุ่นอยู่บนนี้ นางรู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก
“องุ่นดำ มิคิดเลยว่าในูเาชางเยี่ยนจะมีองุ่นดำด้วย” จิ่นเซวียนะโเสียงดังลั่น เพราะระงับความตื่นเต้นเอาไว้มิอยู่ หลังจากที่นางเห็นองุ่นดำห้อยอยู่บนเถาวัลย์ก็ดีใจยิ่งนัก นางเดินเข้าไปเด็ดลงมากิน องุ่นดำมิเปรี้ยวแถมยังหวานอีกด้วย
“ภรรยา เ้าอย่ากินซี้ซั้ว หากท้องร่วงขึ้นมาจะทำอย่างไร?” ซ่งจื่อเฉินเห็นจิ่นเซวียนเด็ดองุ่นดำลงมากิน เขากลัวว่านางจะท้องร่วง เขาเคยกินองุ่น แต่องุ่นที่เขาเคยกินคือองุ่นเขียวชุ่ยจิง[2] มันส่งมาจากเมืองเป่ยซินของแคว้นซีหลิง การขนส่งองุ่นนั้นยากลำบากและมันเก็บไว้นานมิได้ เมื่อส่งองุ่นจากเมืองเป่ยซินมาถึงอำเภอซิ่งหยาง ทำให้ราคาซื้อต่อจินแพงกว่าที่อื่นประมาณสองสามตำลึง
“ของในูเานั้นเกิดตามธรรมชาติ ท้องมิร่วงหรอก” จิ่นเซวียนเด็ดองุ่นดำลงมาหนึ่งพวง นางส่งให้ซ่งจื่อเฉินกับซ่งเฉวียน และถามพวกเขาว่า้ากินมันหรือไม่
“ข้าขอลองกินหน่อยขอรับ” ซ่งเฉวียนเห็นเม็ดองุ่นสีดำชุ่มฉ่ำ น่าดึงดูดยิ่งนัก เขาจึงหยิบองุ่นดำจากมือจิ่นเซวียน เด็ดออกมาสองสามลูก เช็ดๆ แล้วเอาเข้าปาก
“หวานยิ่งนัก!”
“สามี ข้าว่าจะย้ายต้นองุ่นบนูเากลับไปปลูกที่บ้าน” จิ่นเซวียนวางแผนจะปลูกองุ่นดำ และนำองุ่นดำไปหมักเป็เหล้าองุ่นด้วย
“ทั่วทั้งแผ่นดินผิงชวนแห่งนี้ มีเพียงเมืองเป่ยซินที่ปลูกองุ่น และองุ่นนั้นยังถูกตระกูลฉู่ และตระกูลเซี่ยผูกขาดไปนานแล้ว หากพวกเราอยากปลูก คงมิมีต้นอ่อนสำหรับเพาะองุ่นมากนัก” ซ่งจื่อเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย อำนาจสี่ตระกูลใหญ่เกี่ยวพันกันสลับซับซ้อน วุ่นวายยิ่งนัก เขาเองก็อยากปลูก แต่น่าเสียดายที่มิมีต้นอ่อนขององุ่น
“ความหมายของท่านคือหากคนพื้นที่อื่นอยากปลูกองุ่น ต้องได้รับการอนุญาตจากสองตระกูลใหญ่หรือ?” จิ่นเซวียนโกรธจัด พวกนางเพียงแค่จะปลูกองุ่นมิได้ทำผิดกฎหมายเสียหน่อย คนตระกูลฉู่กับเซี่ยมีสิทธิ์อะไรมาก้าวก่ายพวกนาง องุ่นมิได้เป็ทรัพย์สินของราชสำนักเสียหน่อย
“พวกเรามิต้องขออนุญาตจากพวกเขาก็ได้ แต่เงื่อนไขแรกคือพวกเราต้องมีหน่อของต้นองุ่นเสียก่อน”
“ท่านอาห้า ต้นองุ่นในป่านี้มิได้มีเพียงหนึ่งหรือสองต้น หากพวกเราจะย้ายมันกลับไปปลูกเองน่าจะได้นะขอรับ” ซ่งเฉวียนแนะนำ
“ต้องเป็่หน้าหนาวถึงจะย้ายไปปลูกเองได้ พวกเราเก็บองุ่นที่สุกแล้วกลับบ้านไปกินกันก่อนเถิด ส่วนต้นอ่อนของ องุ่น พวกเรายังมิต้องย้ายในเวลานี้” จิ่นเซวียนวางแผนจะย้ายต้นอ่อนขององุ่นไปปลูกไว้ในมิติก่อน รอดูว่าผลจะเป็อย่างไร
“องุ่นพวกนี้มีมากเกินไป ตระกร้าหนึ่งใบใส่ได้มิหมด ข้าควรกลับบ้านไปเอามาเพิ่มอีกใบดีหรือไม่ขอรับ” ซ่งเฉวียนคิดจะกลับไปหยิบตระกร้าสะพายหลังมาเพิ่มอีกใบ เพื่อนำมาเด็ดองุ่นดำบนูเากลับบ้านให้หมด
“อาเฉวียน ให้ข้าไปเอาตระกร้าเองเถิด เ้ากับอาสะใภ้ห้ารอข้าที่นี่ก่อน”
ซ่งจื่อเฉินคิดจะใช้วิชาตัวเบากลับบ้าน รีบไปรีบกลับ
“สามี ท่านระวังตัวด้วยนะ พวกเราจะรอท่านที่นี่” จิ่นเซวียนพูดจบ ซ่งจื่อเฉินก็ใช้วิชาตัวเบาจากไป
“อิ่มยิ่งนัก” หลังซ่งจื่อเฉินจากไป จิ่นเซวียนกับซ่งเฉวียนก็เด็ดองุ่นพลางกินไปพลาง พวกเขากินองุ่นจนหมดไปหลายพวง
ต้นหนึ่งสามารถเด็ดองุ่นได้มาหนึ่งตะกร้า ออกผลดีเกินไปแล้ว กิ่งก้านสีเขียวชอุ่มและมีผลบางส่วนที่ยังมิสุกเสียด้วยซ้ำ!
“ท่านอาสะใภ้ห้า องุ่นดำมีมากมาย พวกเรากินกันเองเช่นนี้ ข้าคิดว่าสิ้นเปลืองเกินไป มิสู้นำไปแลกเป็เงินเล่าขอรับ ก่อนหน้านี้ท่านปู่นำองุ่นกลับมาจากต่างถิ่นหลายสิบจิน ท่านย่ายังทำใจกินมิได้เลยขอรับ!”
เชิงอรรถ
[1] อี้หมู่เฉ่า หมายถึง เป็พืชท้องถิ่นในทวีปเอเชีย ั้แ่เกาหลี ญี่ปุ่น จีน จนถึงกัมพูชา ลำต้นมีขนสั้นๆ ปกคลุม ใช้เป็ยาขับปัสสาวะ ขับสารพิษ ลดอาการบวม ทั้งต้นสามารถใช้เป็ยากระตุ้นการไหลเวียนเืและขับปัสสาวะ
[2] องุ่นเขียวชุ่ยจิง หมายถึง องุ่นเขียวคริสตัล ที่เรียกเช่นนี้เพราะองุ่นอวบเต่งตึง ยามส่องแสงจะปรากฏแสงสีเหลืองทองชัดเจนเหมือนคริสตัล
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้