เหอตังกุยเล่นหมากรุกกับเมิ่งเซวียนบนกระดานหมากรุกในห้องโถงซินหรงสามครั้ง รอบแรกความรู้สึกของทั้งคู่ค่อย ๆ เปลี่ยนจากไม่ตั้งใจสู่สนใจ เคร่งขรึม ลังเลและวิตกกังวล สุดท้ายการแข่งขันก็จบด้วยผลเสมอ
เสมอหรือ? เสมอได้อย่างไร? เหอตังกุยจ้องชายตรงหน้าด้วยความไม่พอใจ พลางคิดในใจว่าหรือจะมีเด็กอัจฉริยะในใต้หล้าที่สามารถต่อกรนางได้ อายุเพียงไม่กี่สิบขวบก็สามารถต่อสู้บนกระดานหมากรุกด้วยสติปัญญาได้เสียแล้ว อีกทั้งผลยังเสมออีก? การเล่นหมากรุกเป็หนึ่งในทักษะที่ดีที่สุดของนาง จะพ่ายแพ้เด็กได้อย่างไร เหอตังกุยคิดถึงการแข่งขันเมื่อครู่ ่แรกของการแข่งขันนางวางหมากชุ่ยเกินไปโดยคิดว่าเพียงรับมือสติปัญญาของเด็กอายุสิบเอ็ดขวบเท่านั้น ท้ายที่สุดก็ค่อย ๆ ถึงทางตัน หากนางตั้งใจวางหมากั้แ่แรกจะต้องชนะภายในสามสิบก้าวเป็แน่
เมิ่งเซวียนยังคงจ้องเหอตังกุยด้วยความโกรธ เขาแพ้จริงหรือ? แม้เขาจะเริ่มหมากตานี้ก่อนแต่เห็นได้ชัดว่าเด็กสาวผู้นี้เป็ฝ่ายชนะ ช่างน่าขันสิ้นดี เขามีชีวิตสิบเก้าปีในชาติก่อนและสิบเอ็ดปีในชาตินี้ ด้วยประสบการณ์เล่นหมากรุกกว่ายี่สิบปีทว่ากลับพ่ายแพ้ให้เด็กสาวที่เพิ่งหัดเล่น เขาจะยอมรับความพ่ายแพ้ได้อย่างไร? เมิ่งเซวียนจึงเอ่ยเสียงต่ำอีกครั้ง “เล่นอีกตา”
“เล่นก็เล่นสิ” เหอตังกุยหายใจเข้าลึกพลางรวบรวมสมาธิ คราวนี้นางจะต้องชนะเขาให้ได้
เกิดใหม่อีกครั้งและมีชีวิตสองชาติภพ จะทิ้งความภาคภูมิใจแล้วพ่ายแพ้ให้เด็กผู้หนึ่งได้เยี่ยงไร ทั้งสองคิดเช่นนี้ “โดยไม่ได้นัดหมาย” บางทีพวกเขาอาจกระตือรือร้นอยากชนะเกินไปจนละเลยปัญหาสองประการ ประการแรก เด็กธรรมดาไม่อาจมีทักษะเล่นหมากรุกยอดเยี่ยมเช่นนี้ เด็กที่สามารถเล่นหมากรุกเสมือนกลับชาติมาเกิดใหม่จะเป็คนอย่างไรกัน? ประการที่สอง พวกเขาแสดงบทบาทเด็กมาโดยตลอด ซ่อนความสามารถไว้ไม่เปิดเผย ทั้งยังไม่เคยแสดงฝีมือจริง ๆ หรือพวกเขาต้องแสดงความสามารถที่แท้จริงเพื่อชัยชนะเพียงหนึ่งครั้ง?
การแข่งขันหมากรุกรอบที่สองเริ่มต้นขึ้น
หลังต่อสู้ดิ้นรน ในที่สุดเหอตังกุยก็เอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างหวุดหวิด ขณะนี้ทั้งคู่ต่างมีความรู้สึกแปลก ๆ เกิดขึ้นพลางใช้สายตาประหลาดใจมองพิจารณากันและกัน ต่างคิดในใจว่า ‘คิดไม่ถึงว่าแผ่นดินนี้จะมีเด็กอัจฉริยะ ตามคำโบราณกล่าวไว้ “เหนือฟ้าย่อมมีฟ้า เหนือภูผาสูงย่อมมีที่สูงกว่า” ดังนั้นยอดฝีมือก็ย่อมมีผู้เหนือกว่าเช่นกัน คำโบราณไม่โกหกจริง ๆ ช่างดูิ่กันยิ่งนัก’
สิ่งที่เป็ปัญหาที่สุดสำหรับคนทั้งสองคือกระดานหมากรุกของพวกเขาค่อนข้างใหญ่ ทำให้เผิงสือ เผิงเจี้ยน หนิงยวนและเฟิงหยางตัวปลอมมองเห็นการแข่งขันเมื่อครู่ได้ชัดเจนจนดึงดูดความสนใจพวกเขาได้สำเร็จ เป็เหตุให้พวกเขาวางหมากรุกของตนก่อนเข้ามารุมล้อมกระดานหมากรุกของทั้งคู่
ตามคำรบเร้าของทั้งสี่ เหอตังกุยและเมิ่งเซวียนจึงเริ่มการแข่งขันรอบที่สาม
ครั้งนี้พวกเขาต่างเสียใจที่เมื่อครู่เผลอเปิดเผยความสามารถของตัวเองโดยไม่ทันระวัง ซ้ำยังดึงดูดความสนใจของผู้คน ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งใจเล่นหมากรุกเหมือนเด็กทั่วไป ทันทีที่เริ่มต้นก็เปิดเผยจุดอ่อนซึ่งกันและกันด้วย้าเอาชนะอีกฝ่ายโดยเร็ว การเดินหมากจึงเริ่มไร้ปัญญาขึ้นทุกก้าว ทำให้คนทั้งสี่ผิดหวังไม่น้อย
จากนั้นเผิงเจี้ยนก็ละทิ้งการเป็ “สุภาพบุรุษที่แท้จริงควรนิ่งเงียบขณะดูหมากรุก” เขาเริ่มให้คำแนะนำแก่เหอตังกุยและสอนวิธีรุกฆาตหมากสีดำของฝ่ายตรงข้าม ไม่นานเผิงสือ หนิงยวนและเฟิงหยางตัวปลอมที่เคืองหูเคืองตาก็เริ่มให้คำแนะนำพลางชี้หมากบนผนังจนกลายเป็าคำพูดระหว่างคนทั้งหก ผู้วางกลยุทธ์ทั้งสี่ต่างมีความคิดเห็นแตกต่างกัน ต่างก็วิเคราะห์จุดได้เปรียบและจุดเสียเปรียบของแต่ละฝ่าย ในที่สุดก็สรุปวิธีการที่เข้ากันได้ออกมา
เหอตังกุยรู้สึกราวมีฝูงแมลงวันตอมเหนือศีรษะ นางอยากวางชามหมากรุกแล้วกลับไปนั่งกินของว่าง แต่เมื่อเห็นเหล่าไท่ไท่มองนางด้วยความชื่นชมจึงต้องดำเนินการแข่งขันที่น่ากระอักกระอ่วนนี้ต่อไป
“ท่านย่า ข้าขอโทษที่มาสาย โปรดอภัยข้าด้วย” เสียงชัดเจนเสมือนนกดังขึ้นขณะเด็กหญิงอายุสิบสองปีในชุดสวยงามดุจหญิงสาวในวังเดินเข้าห้องโถงช้า ๆ
เหอตังกุยขมวดคิ้วมองตาม...หญิงสาวผู้นั้นคือหลัวไป๋ฉยง แม้ชาติก่อนรูปลักษณ์ รอยยิ้ม การแสดงออกและพฤติกรรมของนางจะไม่เหมือนสตรีวัยสามสิบ แต่นางก็ร่วมมือกับโจวจิงหลันวางกับดักฆ่าเหอตังกุยและลูกสาวซ้ำแล้วซ้ำเล่า นางเป็ผู้นำเหอตังกุยไปสู่ความตาย พี่รองผู้แสนดี...หลัวไป๋ฉยง
แน่นอนว่าการแต่งตัวเป็สิ่งสำคัญมาก ่อายุสิบสองปีไม่ใช่่เวลาเจริญวัยที่สุดของสตรี แต่หมายถึงความเยาว์วัยและไร้เดียงสา แต่ไม่มีใครรู้ความจริงว่าหลัวไป๋ฉยงมีชีวิตไร้เดียงสาหรือไม่ ตอนนี้นางสวมเสื้อผ้าและเครื่องประดับแสนประณีต ชุดทำจากผ้าลายดอกไม้เย็บด้วยด้ายสีทอง สวมกระโปรงผ้าโปร่งสีมรกต มวยผมสูงประดับด้วยหยกหรูอี้คู่และปิ่นทองแกะสลักดอกไม้พร้อมปิ่นปักห้อยลูกปัด ใบหน้าของหลัวไป๋ฉยงประดับด้วยรอยยิ้มพลางเยื้องกรายเข้ามาอย่างช้า ๆ เสน่ห์ของนางดึงดูดสายตาของทุกคน
แม้เหอตังกุยจะเตรียมใจเผชิญหน้าซุนเหม่ยเหนียง หลัวไป๋ฉยงและหลัวชวนกู่เป็อย่างดี แม้หนึ่งในเป้าหมายที่นางกลับตระกูลหลัวคือมาหาพวกเขาทั้งสาม แม้นางจะใจแข็งดั่งหินผา แต่ครั้งแรกที่เห็นใบหน้าของศัตรูเมื่อชาติที่แล้ว ความโกรธแค้นที่สะสมก็พลันฉีกทึ้งหัวใจ นางใช้ความพยายามทั้งหมดที่มีควบคุมตัวเองไม่ให้แสดงความเกลียดชังผ่านใบหน้า
นางเคยช่วยชีวิตโจวจิงหลันทว่าโจวจิงหลันและสวี่ซื่อเหนียงกลับกล้าเนรคุณถึงขั้นวางแผนชั่วสังหารตน นางไม่เคยเกลียดชังผู้ใดรุนแรงเช่นนี้มาก่อน เพื่อบุรุษเพียงคนเดียว เพื่อเกียรติยศ เพื่อยศถาบรรดาศักดิ์ ด้วยนิสัยธรรมชาติของสตรีไม่มีทางอยู่ร่วมกันฉันมิตรได้ แม้ตนจะรังเกียจแต่ก็เข้าใจทั้งสอง พวกนางสังหารตนเพียงเพราะตนขวางทางของพวกนาง
ทว่าหลังเหอตังกุยได้รับเกียรติยศและอำนาจในจวนอ๋อง นางก็มอบประโยชน์ให้ตระกูลหลัวเสมอ ไม่ว่าเื่ใดก็คิดถึงพวกเขาเป็อันดับแรก ให้โดยไม่หวังผลตอบแทนใดทั้งสิ้น แต่พวกเขากลับไม่ซาบซึ้งบุญคุณ ซ้ำยังแว้งกัดนางทุกครั้งที่มีโอกาส แต่นางก็ยังอดทนพวกเขามานานกว่าสิบปี
หลายปีที่ผ่านมา หลัวไป๋ฉยงขอตำแหน่งขุนนางสำนักสารบรรณกลางระดับสี่ให้เหลียงอี้โจวผู้เป็สามี แม้เื่นี้จะเป็เื่ยากพอควรแต่ตนก็ยังคงมุ่งมั่นทั้งกลางวันและกลางคืน ทำทุกวิถีทางที่พอจะทำได้ คิดไม่ถึงว่าหลังจากนางทำสำเร็จด้วยความยากลำบากจนเืตาแทบกระเด็น กลับถูกหลัวไป๋ฉยงนำตราประทับของจวนอ๋องหนิงในมือของนางมาข่มขู่ด้วยโทษฐานใช้อำนาจในทางที่ผิด นับแต่นั้นมา ตราบใดที่คนในครอบครัวสาขาสองขอให้นางทำธุระให้ก็มักจะพูดเื่นี้เพื่อข่มขู่นาง ถึงกระนั้นนางก็ยังทำทุกอย่างเพื่อพวกเขาอย่างอดทน หวังว่าสักวันพวกเขาจะซาบซึ้งในความเมตตา ทว่าท้ายที่สุดนางก็ได้เห็นจิตใจอันโเี้ของพวกเขาอย่างชัดเจน ในขณะเดียวกันนางก็ไม่อาจถอนตัวได้อีกแล้ว
นางไม่เคยทำให้พวกเขาผิดหวัง...แล้วพวกเขากล้าเหยียบย่ำความหวังดีของนางได้อย่างไร
นางเ็ปเพียงใดไม่สำคัญ นางเพียง้าให้ลูกสาวมีชีวิตยืนยาวกว่านี้ แต่กระนั้นซุนเหม่ยเหนียงและหลัวไป๋ฉยงก็ยังคงตามราวีพวกนางสองแม่ลูกไม่เลิก แม้ในขณะที่นางและลูกสาวกำลังจะตายในคุกน้ำก็ตาม ลูกสาวของนางถูกงูกัดตายแต่นางกลับทำได้เพียงนำศพลูกสาวลงน้ำเย็นชืด ก่อนขว้างงูใส่กำแพงอย่างบ้าคลั่ง เมื่อซุนเหม่ยเหนียงเห็นนางยังมีชีวิตจึงบอกว่าแม่ของนางป่วยหนัก ในไม่ช้านางจะใส่สารหนูลงในถ้วยแกงแล้วมอบให้แม่ของตน ทั้งสามจะได้อยู่พร้อมหน้ากันในปรโลก
ขณะนั้นนางเ็ปเหลือประมาณพลันโขกศีรษะกระแทกกำแพงต่อเนื่อง หากนางไม่ได้แต่งงานเข้าจวนอ๋อง หากนางเป็คนธรรมดา หากนางไม่เคยมาที่โลกนี้ แม่ของนางก็จะไม่ต้องตายอย่างอนาถ
“น้องสาม เ้าหนาวหรือ? ไหล่ของเ้าสั่นตลอดเวลา” เผิงเจี้ยนขัดจังหวะความคิดก่อนลากเหอตังกุยออกจากฝันร้าย เสียงแหบพร่าของเขาไม่น่าฟังเท่าไรนัก “อ้อ เ้าคงเป็หวัดเพราะนั่งหน้าประตู เหตุใดไม่ไปดื่มชาร้อน ๆ กับพวกข้าสักถ้วย” เผิงเจี้ยนเอ่ยแนะนำ
เหอตังกุยพยักหน้าคล้ายจะพูดบางอย่าง ทันใดนั้นเสียงใสไพเราะก็ดังขึ้นอีกครั้ง “เป็ความผิดของจวนเราที่ปล่อยให้ทุกท่านรอนาน ไป๋ฉยงชงชาผลไม้หอมชื่นใจด้วยตัวเองเพื่อแสดงความขอโทษ ทุกท่านลองชิมดูเ้าค่ะ”
เหล่าไท่ไท่พยักหน้าให้ความมีน้ำใจของนางอย่างเห็นด้วย ต้องขอบคุณการปลูกฝังของสะใภ้รองที่เติบโตในฐานะสตรีงาม ฉลาดไม่มีใครเทียบได้ในเมืองหยางโจว หยางมามาเดินตามหลัวไป๋ฉยงเข้าห้องโถง ด้านหลังมีกานเฉ่าและเติงเฉ่าเดินตามมาด้วย ในมือทุกคนถือขวดลายคราม
จากนั้นยอดฝีมือด้านหมากรุกทั้งหก รวมถึงเหล่าไท่ไท่และเป่าติ้งผอเมิ่งชานต่างนั่งรอสาวงามยกชามาให้ด้วยความกระหาย
หลัวไป๋ฉยงยกถ้วยชาให้เป่าติ้งเมิ่งชานและคุณชายเจ็ดเมิ่งเซวียน ก่อนยกให้เหล่าไท่ไท่ เฟิงหยางตัวปลอม หนิงยวน เผิงสือ เผิงเจี้ยน ในที่สุดนางก็ถือถ้วยชาเดินไปกลางห้องโถงพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ชานี้เป็ชาผลไม้ ทำจากผลไม้สดที่ดีที่สุดและสมุนไพรนานาชนิด เหมาะจะทานก่อนมื้ออาหาร ฤดูใบไม้ร่วงอากาศแห้งและมีลมแรง ข้าจึงใส่สมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อปอดลงไปด้วย...”
ทุกคนที่ได้กลิ่นหอมของชาก็พลันสูดหายใจลึกสามครั้งอย่างอดไม่ได้ กลิ่นหอมหวานผสมกลิ่นสมุนไพรธรรมชาติ พวกเขาแทบได้กลิ่นรสชาติก่อนดื่มมันเสียอีก ทั้งยังมีความสุขที่ได้ฟังคุณหนูตระกูลหลัวบรรยาย ทุกคนค่อย ๆ สงบและผ่อนคลายความกังวลจากการรองานเลี้ยง แม้แต่เป่าติ้งเมิ่งชานผู้เคร่งเครียดก็ยังแสดงสีหน้าผ่อนคลาย หลับตาเพื่อสูดดมกลิ่นหอมของชา
ขณะนี้กานเฉ่าที่ยืนถือขวดเปล่าลายครามขนาดใหญ่ด้านหลังแขกก็สังเกตเห็นโต๊ะของคุณหนูสามว่างเปล่า จึงรินชาให้นางหนึ่งถ้วย
เหอตังกุยเหม่อลอยนึกถึงความทรงจำแสนเ็ปโดยไม่สนใจเหตุการณ์ในห้องโถง ทั้งยังไม่ได้สังเกตเครื่องดื่มตรงหน้า ขณะกานเฉ่ารินชา เหอตังกุยจึงสังเกตเห็นว่าโต๊ะของนางว่างเปล่า จำได้ว่าก่อนหน้านี้มีของว่างบนโต๊ะ แล้วเผิงเจี้ยนก็เดินมาพร้อมเกี๊ยวเป็ดแมนดารินเพื่อสนทนากับนาง เขาไม่เพียงกินเกี๊ยวหมดเท่านั้น แม้แต่ของว่างของนางก็กินจนหมดเช่นกัน เขากินอาหารจนปากไม่ว่าง พูดไร้สาระได้ทั้งวัน ช่างเป็บุรุษที่น่ารำคาญเสียจริง
เหอตังกุยค่อย ๆ ออกจากความทรงจำที่เลวร้าย ก่อนถอนหายใจพลางเงยหน้า ขณะเดียวกันเมิ่งเซวียนที่นั่งตรงข้ามก็มองมาที่นาง เหอตังกุยรู้สึกว่าเมิ่งเซวียนสามารถอ่านความคิดของนางได้จึงลดศีรษะลงทันทีเพื่อซ่อนความรู้สึก ยกถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นดื่มสองอึกเพื่อขับไล่ความหนาวเย็นภายในร่างกาย ทว่าเมื่อนางดื่มชาก็พลันชะงักมือ กลิ่นหอมและสีเห็นได้ชัดว่าเป็น้ำชาสีส้ม...นี่มิใช่ชาซานจาที่นางทำหรือ? เหตุใดหลัวไป๋ฉยงจึงบอกว่านาง “ทำ” ชาผลไม้นี้เอง?
เหอตังกุยเงยหน้ามองหยางมามาที่อยู่ไม่ไกลด้วยความสับสน นางอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พลันพบว่าหยางมามาก็จ้องนางเช่นกัน ตอนนี้นางรู้แล้วว่า “ชานี้ก็คือชาซานจา” หยางมามายิ้มด้วยสีหน้ารู้สึกผิดพลางพูด “ ฝีมือการชงชาของคุณหนูรองเป็เลิศ ชาผลไม้กลิ่นหอมนี้เป็สูตรพิเศษของจวนตระกูลหลัว” นางชื่นชมฝีมืออันยอดเยี่ยมของหลัวไป๋ฉยง ขณะเดียวกันก็บอกใบ้ห้ามไม่ให้เหอตังกุยพูดความจริง เพราะเื่นี้เกี่ยวพันกับเกียรติยศของ “จวนตระกูลหลัว”
เหอตังกุยรับรู้คำใบ้จากหยางมามาจึงแสร้งเป็คนขี้ขลาดตามปกติ ขณะจ้องมองถ้วยน้ำชา ในใจก็หัวเราะทั้งน้ำตา ฮ่า ๆ ตระกูลหลัวช่างเป็แหล่งขุมทรัพย์ที่มีเื่แปลกเกิดขึ้นมากมาย มีคนแอบอ้างว่าเป็ชาของตน ทั้งยังบอกเล่าถึงประโยชน์ของชาโดยไม่อายปาก ตอนนี้เหอตังกุยจำชาซานจาของตนได้แล้ว เหล่าไท่ไท่ที่เคยดื่มชาหลายถ้วยในรถม้าวันนั้นก็คงรับรู้ได้เช่นกัน ทว่าเหล่าไท่ไท่ที่นั่งบนที่นั่งหลักกลางห้องโถงกลับเอ่ยชื่นชมชาผลไม้และยกย่องหลานสาวผู้เฉลียวฉลาดและเก่งเื่ยาของนาง ในใจของนางสั่นไหวและกังวลเื่นี้บ้างหรือไม่?
ขณะนี้หลัวไป๋ฉยงแนะนำชาผลไม้ของนางต่อหน้าธารกำนัลเรียบร้อยแล้ว จากนั้นนางก็หยิบผ้าเช็ดพลางโค้งคำนับเป่าติ้งผอเมิ่งชานด้วยรอยยิ้ม “เชิญท่านลุงเมิ่งดื่มชาเ้าค่ะ” หลัวไป๋ฉยงมองรอบ ๆ พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ทุกท่านโปรดดื่มชาเ้าค่ะ”
ทุกคนในห้องโถงได้ยินดังนั้นก็ดื่มชาจนหมดในอึกเดียว...ยกเว้นเหอตังกุย
หลัวไป๋ฉยงมองเป่าติ้งผอเมิ่งชานถือถ้วยชาพลางเพลิดเพลินกับกลิ่นหอมของชาผลไม้ ทันใดนั้นเขาก็ลืมตาพลันปิดปาก ก่อนหันไป...บ้วนชาลงถ้วยชาทันที
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้