“แค่กๆ พี่ไป่ิ นั่งสักเดี๋ยวก่อนเถอะ”
ในเมื่อหญิงชราสกุลหูมอบหมายหน้าที่ให้นางแล้ว เช่นนั้นก็ทำให้สำเร็จแล้วกัน เจินจูอุ้มซิ่วจูไปนั่งบนเก้าอี้ไท่ซือก่อน
“ซิ่วจู พูดทักทายพี่ชายสิ”
“ทักทายพี่ชาย!”
เสียงเด็กน้อยน่ารักสามารถทำให้หัวใจคนละลายได้จริงๆ
เดิมทีใบหน้ายิ้มของจ้าวไป่ิแข็งทื่ออยู่บ้าง ได้ค่อยๆ ขยับขึ้นมาสว่างไสวฉับพลัน
“อื้ม ทักทายซิ่วจู”
เด็กผู้หญิงตัวน้อยอายุสองปีกว่า ดวงตาดำเปล่งประกายคล้ายอัญมณีก็ไม่ปาน แก้มอวบอิ่มอ่อนนุ่มอมชมพู บนศีรษะมัดผมเปียยกสูงคล้ายเขาแพะสองเส้น ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าความน่ารักจะมากมายเพียงใด
จ้าวไป่ิมองใบหน้าเล็กชุ่มชื้นอมชมพูของนางด้วยความอิจฉา เหม่ยเยว่บุตรสาวคนเล็กท่านอารองของเขาโตกว่าซิ่วจูเล็กน้อย แม้กล่าวได้ว่าหน้าตาค่อนข้างน่ารัก แต่เมื่อเทียบกับซิ่วจูแล้ว ดูเฉลียวฉลาดน้อยกว่าสองสามส่วน
เขาล้วงเอาลูกอมที่ทำจากงาออกมาจากในอกหนึ่งห่อ หยิบขึ้นมาหนึ่งเม็ดอย่างระมัดระวัง พลางยิ้มแล้วยื่นให้ซิ่วจู นี่เป็สิ่งที่เขาตั้งใจซื้อมาให้ลูกผู้น้องตัวน้อยโดยเฉพาะ แต่สามารถนำมาแบ่งให้ซิ่วจูได้พอดี
ซิ่วจูดวงตาเป็ประกาย คิดจะยื่นมือออกไปรับ แต่ทันใดนั้นนางก็คิดอะไรขึ้นมาได้ จึงใช้ดวงตาชุ่มชื้นของนางมองไปทางเจินจูด้วยท่าทางน่าสงสารอย่างมาก
เจินจูขบขัน เ้าหนูน้อยยังเล็กแค่นี้ก็ทำการแสดงจัดเต็มปานนี้แล้ว วันข้างหน้าจะเป็อย่างไรกันล่ะนี่
จ้าวไป่ิเห็นซิ่วจูไม่กล้ายื่นมือออกมา เพียงมองไปที่เจินจูอย่างขี้ขลาด อดคิดถึงคำพูดของท่านปู่ขึ้นมาอีกไม่ได้ว่า ทุกคนในสกุลหูทั้งเด็กและคนชราส่วนใหญ่ให้หูเจินจูเป็เสาหลัก คำพูดของนางสำหรับสกุลหูแล้วมีน้ำหนักอย่างยิ่ง
ชั่วขณะหนึ่ง สายตาที่เขามองไปทางเจินจูก็ไม่สบอารมณ์เล็กน้อย หญิงสาวคนหนึ่งอยู่บ้านบิดามารดาก็เผด็จการปานนี้แล้ว ต่อไปแต่งเข้าบ้านสามี ท่าทีก็คงเหมือนเช่นเดิมใช่หรือไม่
หัวใจของเขาที่เดิมทีผิดหวังเล็กน้อย ได้ปีติยินดีขึ้นมาอย่างทันทีทันใด สตรีก็ควรมีความอ่อนโยน ถ่อมตนและโอนอ่อนผ่อนตามสิถึงค่อนข้างจะดีมากกว่า
หากเจินจูได้รู้ความคิดในใจของเขา จะต้องมองบนและค้อนวงใหญ่อย่างแน่นอน ความคิดล้าสมัยหัวโบราณเช่นนี้ นางไม่ได้สนใจเลยสักนิด
ภายใต้ท่าทางการบอกใบ้ของเจินจู ซิ่วจูจึงรับลูกอมเม็ดงามาอย่างดีใจทันที
“พี่ไป่ิ ท่านคิดอย่างไรกับพี่รองของข้า?” จู่ๆ เจินจูก็เอ่ยถามขึ้นอย่างกะทันหัน
จ้าวไป่ิตื่นใ มองนางอย่างคิดไม่ถึงเล็กน้อย คล้ายกับประหลาดใจไม่คิดว่านางจะถามคำถามเช่นนี้ออกมา
“แค่กๆ พี่ไป่ิ คิดๆ ไปแล้วท่านน่าจะทราบ ว่าหัวหน้าหมู่บ้านเคยมาหารือกับท่านย่าข้า เื่การแต่งงานของท่านกับพี่รองของข้า ข้ากับท่านย่าลังเลอยู่เล็กน้อย พี่รองของข้าน่ะ หน้าตางดงามรูปร่างอรชร นิสัยอ่อนโยน รู้ตัวอักษรหนังสือ อาหารก็ทำได้ดี สองปีมานี้แม่สื่อที่มาสู่ขอถึงบ้านก็เหยียบธรณีประตูบ้านแทบพังกันแล้ว ดังนั้นพวกข้าเลยอยากรู้ พี่ไป่ิ ท่านคิดอย่างไรกับพี่รองข้า?” เจินจูเอ่ยคำถามออกไปด้วยความจริงจัง หากจ้าวไป่ิไม่ได้มีความรู้สึกดีต่อชุ่ยจู เพียงปฏิบัติตามความ้าของหัวหน้าหมู่บ้าน เช่นนั้นพวกนางต้องคิดใคร่ครวญใหม่อย่างรอบคอบจริงๆ
“…นี่ นี่ เป็คำสั่งของบิดามารดา และคำพูดของแม่สื่อ” จ้าวไป่ิตะกุกตะกักเล็กน้อย
เจินจูโบกไม้โบกมือหยุดคำพูดของเขาทันทีและมองเขาปราดหนึ่ง “ท่านไม่ต้องพูดถึงคำพูดผิวเผินเหล่านี้เลย แค่ท่านบอกว่าชอบพี่รองของข้าหรือไม่ก็พอ ถือโอกาสกล่าวออกมาแต่เนิ่นๆ คำสั่งของบิดามารดาอะไรนั่นล้วนเป็สิ่งไร้ประโยชน์ทั้งสิ้น พวกเราต่างก็เติบโตมาในหมู่บ้านเดียวกัน ท่านอย่าได้โป้ปดหลอกคนเลย หากท่านไม่ชอบพี่รองของข้าก็ถือโอกาสที่เื่แต่งงานยังไม่ทำการตัดสินใจหมั้นหมาย เื่ทั้งหมดล้วนคุยกันได้ หากท่านชอบพี่รองของข้า เช่นนั้นพวกเราค่อยมาปรึกษาพูดคุยกัน”
จ้าวไป่ิรู้สึกในสมองมีเสียงดังหวีด นางเป็เพียงแม่นางน้อยที่ยังไม่ออกเรือนเลย มาถามปัญหาเหล่านี้กับชายผู้หนึ่งอย่างเรื่อยเปื่อยเช่นนี้ สมควรแล้วจริงหรือ?
แต่สายตาของนางใสสะอาดแวววาว ขณะที่มองตรงมาที่เขา ท่าทางการพูดทั้งสง่าและน่าเกรงขาม ไม่มีความกระวนกระวายหรืออยากหลบสายตาเลยแม้แต่นิดเดียว
จ้าวไป่ิมองใบหน้าเล็กเคร่งขรึมจริงจังของนางด้วยความตะลึง เนื้อหาในคำพูดของนางปรากฏแวบเข้ามาในสมอง
เขาชอบซิ่วจูหรือไม่?
หูชุ่ยจู เขาเคยพบอยู่หลายครั้ง กลับประทับใจอย่างมาก
รูปโฉมงดงาม บุคลิกสุภาพอ่อนโยน ั์ตาสวย อากัปกิริยาอรชรอ้อนแอ้น ยื่นนิ่งเงียบๆ อยู่ตรงนั้น ราวกับภาพหญิงงามอันวิจิตรที่ยืนเงียบสงบภาพหนึ่ง
เมื่อสักครู่ ขณะที่เขาเข้ามาในห้องโถงสกุลหู หูชุ่ยจูยกน้ำชาเข้ามาต้อนรับ นางสวมชุดกระโปรงลายดอกไม้สีม่วงอมชมพู บนเส้นผมดกดำดุจปุยเมฆปักปิ่นเงินแกะสลักลวดลายฉลุหนึ่งอัน หน้าตาและท่าทางงดงามประดุจบุปผา สาวงามผู้นั้นั์ตาสุกสกาวดั่งมวลผกายามวสันต์ ผิวเปล่งปลั่งดั่งดวงจันทร์ฤดูสารท
เขาชอบนางหรือไม่? หญิงสาวงดงามสุภาพและอ่อนโยนปานนี้ ผู้ใดจะไม่เกิดความรักใคร่ชื่นชมได้กัน
ใบหน้าจ้าวไป่ิเริ่มแดงเรื่อขึ้นช้าๆ เขาชำเลืองมองเจินจูที่อยู่ตรงข้ามแวบหนึ่ง เห็นดวงตางามหนึ่งคู่ของนางจ้องเขาแน่นิ่งไม่ละไปไหน ทันใดนั้นทั่วทั้งกายของเขาก็ขยับแผ่นหลังแข็งทื่อเล็กน้อยอย่างไม่เป็ธรรมชาติ
“แค่ก เอ่อ… น้องเจินจู เื่นี่... ให้ผู้าุโจัดการสิ่งเหล่านี้เถอะ เ้าเป็เพียงแม่นางน้อยผู้หนึ่งอยู่บ้านปักผ้าคัดตัวอักษรก็พอ” จ้าวไป่ิแสดงความเห็นของเขาออกมาอย่างนิ่มนวล
ชิ ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ก็ยังกล่าวไม่เข้าหู ช่างเป็คนหัวโบราณไม่ยอมรับอะไรง่ายดายจริงๆ เล่าเรียนหนังสือจนสติปัญญาหมุนกลับจนน่าเหลือเชื่อ เจินจูใบหน้าเ็า
“พี่ไป่ิ ข้าว่า ท่านไม่เข้าใจความหมายของข้า คำพูดเหล่านี้ของข้าเป็การถามแทนคนในครอบครัว ท่านเป็คนที่โตผู้หนึ่งเพียงนี้ ไม่มีความคิดเห็นและคำพูดเป็ของตัวเองหรือ เหตุใดอะไรก็ผลักไปให้ผู้าุโทั้งสิ้นได้ หากหัวหน้าหมู่บ้านให้ท่านขอหม่าหลิ่วฮวาที่อยู่หมู่บ้านข้างเคียงแต่งงาน ท่านก็จะรับไว้อย่างยินดีปรีดาเหมือนกันใช่หรือไม่?”
จ้าวไป่ิสีหน้าแข็งทื่อ หม่าหลิ่วฮวาหมู่บ้านข้างเคียง คนที่ขึ้นชื่อว่าี้เีร่างท้วมเตี้ยของหมู่บ้านหม่าซาน ที่บ้านเป็ครอบครัวร่ำรวยในหมู่บ้าน ั้แ่เด็กจนโตตะกละยิ่งนัก อายุสิบหกปี เดินไปไหนไขมันก็กระเพื่อม
หม่าหลิ่วฮวาเขาย่อมเคยพบ วันนั้นที่เขาสอบเข้าซิ่วฉายได้ ที่บ้านจัดงานเลี้ยงเชิญแเื่มา ผู้คนจากหมู่บ้านข้างเคียงก็มาดูความคึกคักมากมายเช่นกัน และในจำนวนนั้นก็มีหม่าหลิ่วฮวาที่แต่งกายด้วยชุดลายดอกไม้ดอกใหญ่สีแดงแปร๊ดเด่นสะดุดตาเป็ที่สุด
หากท่านปู่ให้เขาแต่งงานกับหม่าหลิ่วฮวา เขาก็จะน้อมรับไว้ด้วยความยินดีปรีดาด้วยใช่หรือไม่? การสมมุติเช่นนี้ ช่างทำให้เขาหนาวสั่นนัก
“…นี่ ข้า คือ…” จ้าวไป่ิลำบากใจจนแทบจะกัดลิ้นเสียให้รู้แล้วรู้รอด
เจินจูไม่ได้กล่าวอะไร จ้องเขาอยู่แน่นิ่งเช่นเดิม จ้าวไป่ิรู้สึกอับอายขายหน้าแทบอยากจะหนีหายไปจากตรงนี้
พอเปรียบเทียบกันเช่นนี้แล้วเขาก็เข้าใจได้ เจินจูอยากให้เขาแสดงท่าทีของตนเองออกมาให้ชัดเจน เขากัดฟันข่มความร้อนที่พวยพุ่งขึ้นมา “พี่รองของเ้า... ดีมาก ทั้งครอบครัวข้าล้วนชอบนาง”
นี่เป็การแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาก็ชอบมากเช่นกัน เจินจูเบะปาก เอาเถอะ ฝืนนับได้ว่าเขาผ่านด่านแล้วกัน อย่างไรเสียคนโบราณก็ถูกจำกัดในการแสดงความในใจเสมอมา
จ้าวไป่ิมองนางด้วยความตื่นเต้นแวบหนึ่ง ว่าที่น้องสะใภ้รับมือได้ยากเกินไปแล้วจริงๆ
“เอาเถอะ ในเมื่อเป็เช่นนี้ เงื่อนไขของครอบครัวข้าก็ไม่มาก ประการที่หนึ่งคือห้ามทุบตีและสบประมาทภรรยา ตัวอย่างอ้างอิงจากท่านอาหงยู่ ประการที่สองนอกจากภรรยาแล้วห้ามขอหรือเลี้ยงอนุไว้ข้างนอกอีก ไม่ว่าอนาคตของท่านจะเป็ขุนนางใหญ่โตแค่ไหน ล้วนไม่อนุญาตทั้งสิ้น หากท่านไม่ชอบไม่รักใคร่พี่รองแล้ว สามารถหย่าได้ แต่ห้ามขออนุอื่นแต่งงานโดยไม่บอกกับนาง หากท่านยอมรับเงื่อนไขสองข้อนี้ได้ เช่นนั้นก็เขียนหนังสือรับรองเสีย หลังจากเขียนเสร็จ เมื่อผ่านปีไปก็เชิญพ่อสื่อแม่สื่อมาจับคู่ หากท่านไม่เห็นด้วย เช่นนั้นก็เชิญครอบครัวท่านไปเลือกครอบครัวอื่นได้”
เงื่อนไขสองข้อนี้เป็เจินจูเพิ่มเข้าไปเอง นางคิดจะทำเช่นนี้นานแล้ว แต่หาโอกาสไม่ได้สักที ครั้งนี้สบโอกาสพอดี หึๆ หากไม่เห็นด้วยล่ะก็ อย่าได้คิดเพ้อเจ้อจะขอพี่รองของนางแต่งงานเลย
จ้าวไป่ิฟังจบก็มึนงง เงื่อนไขข้อแรกเขาสามารถเข้าใจได้ เขาไม่มีทางลงมือกระทำเื่ทุบตีภรรยาแน่นอน แต่เงื่อนไขที่สอง อืม... แม้เขาอาจจะไม่มีทางทำแบบนั้น แต่ต้องเขียนหนังสือรับรองนี่จะมากเกินไปหน่อยหรือไม่
ความลังเลของเขา เจินจูคอยมองอยู่ตลอดเวลา ที่จริงแล้วสถานที่ในชนบทเป็หนึ่งสามีหนึ่งภรรยาเสียส่วนใหญ่ ครอบครัวที่รับอนุมีน้อยนัก มีเพียงครอบครัวใหญ่โตในเมืองหรือในอำเภอเท่านั้น ถึงจะมีข่าวลือเื่การตีกันระหว่างภรรยาและอนุให้ได้ยิน
แต่จ้าวไป่ิในตอนนี้แม้เป็เพียงซิ่วฉาย ก็ยากที่จะรับประกันได้ว่าวันข้างหน้าจะไม่เดินขึ้นไปในตำแหน่งที่สูงขึ้น หากเขาไต่ไปถึงระดับความสูงที่มั่นคงแล้ว จิตใจและความคิดต้องเปลี่ยนไปด้วยอย่างแน่นอน ที่จริงหนังสือรับรองคงไม่ค่อยมีผลกระทบมากเท่าไร เพราะเมื่อใจคนจะเปลี่ยน กระดาษแผ่นเดียวจะผูกมัดไว้ได้เสียที่ไหนกัน
“น้องเจินจู เื่เงื่อนไขสองข้อนี้ ข้ายินยอมได้ทั้งหมด แต่หนังสือรับรองคงไม่จำเป็ต้องเขียนกระมัง ลูกผู้ชายคำพูดเชื่อถือได้ คำที่ข้าจ้าวไป่ิเคยกล่าว ย่อมปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดแน่นอน” จ้าวไป่ินั่งยืดตัวตรงจัดเสื้อผ้า แสดงออกอย่างเคร่งขรึม
“อื้ม ข้าเชื่อว่าพี่ไป่ิเป็คนรักษาคำพูด การปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างซื่อสัตย์มีสัจจะ และเข้มงวดกับตัวเองโอบอ้อมอารีต่อผู้อื่น เป็หลักการยึดถือพื้นฐานของผู้ที่จะประสบความสำเร็จในเื่ใหญ่ เพราะฉะนั้น พี่ไป่ิ หนังสือรับรองของท่านไม่เพียงต้องเขียน ยังต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดด้วย ท่านวางใจได้ เื่นี้เป็ข้อตกลงส่วนตัวระหว่างพวกเรา นอกจากข้ากับท่านย่าแล้วผู้ใดก็ล้วนไม่ทราบทั้งสิ้น แน่นอน และทางที่ดีที่สุดท่านก็อย่าบอกหัวหน้าหมู่บ้านเลย ไม่เช่นนั้นผู้าุโอาจเกิดภาพไม่ประทับใจต่อพี่รองของข้า หากไม่จัดการเช่นนี้ให้ดี สุดท้ายท่านคงต้องเลือกภรรยาอื่นแล้ว แม้หม่าหลิ่วฮวาอาจเป็ไปไม่ค่อยได้ แต่อาจมีเหลียงหลิ่วฮวา หวังหลิ่วฮวาหรือจางหลิ่วฮวาอีกก็ได้”
เจินจูมองสีหน้าที่เปลี่ยนไปขาวซีดของเขาอย่างยิ้มกว้าง
หางตาของจ้าวไป่ิกระตุก คิดถึงคำพูดของท่านปู่ขึ้นมาอีกครั้ง นางเป็สุนัขจิ้งจอกน้อยจอมเ้าเล่ห์หนึ่งตัวจริงๆ ด้วย
...จ้าวไป่ิหิ้วหงโต้วปิ่งหนึ่งตะกร้าออกมาจากบ้านสกุลหูอย่างสติเลื่อนลอย ์ย่อมรู้ดีว่าเมื่อสักครู่เขาประสบเข้ากับอะไร
คาดไม่ถึงเลยว่าจะถูกสุนัขจิ้งจอกน้อยผู้นั้นเขย่าให้เขียนหนังสือรับรองหนึ่งฉบับ
เหตุใดเขาถึงถูกนางวางแผนหลอกล่อง่ายดายเช่นนี้นะ
เฮ้อ จ้าวไป่ิกุมหน้าผากกลับมาถึงที่บ้าน
จ้าวเหวินเฉียงรีบเดินออกจากห้องโถงเข้ามาหาทันที ถามด้วยสีหน้าท่าทางตื่นเต้น “ไป่ิ เป็อย่างไร? ครอบครัวเขากล่าวกันว่าอะไรบ้าง?”
“…” จ้าวไป่ิฝืนฉีกยิ้มขึ้นมา “ท่านปู่ สกุลหูกล่าวว่า ให้ครอบครัวเราเชิญแม่สื่อไปสู่ขอตอนสิ้นปีไปแล้วได้เลยขอรับ”
ดวงตาจ้าวเหวินเฉียงเป็ประกายทันที ฉีกยิ้มกว้างขึ้น “เยี่ยมๆๆ เช่นนั้นก็ตกปากรับคำแล้วสิ ผู้าุโสกุลหูยืดเวลาพวกเราออกไปเสียนานล้วนยังไม่รับปากเลย เป็เ้าไปถึงหน้าบ้านด้วยตัวเองมีประโยชน์กว่าจริงๆ”
ในใจจ้าวไป่ิกลับอยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออก นั่นเป็เขาใช้หนังสือรับรองแลกมาอย่างไรล่ะ จะไม่มีประโยชน์ได้หรือ
“เอ๊ะ แต่ทำไมเ้าดูไม่ค่อยดีใจเลย? สกุลหูทำอะไรให้เ้าลำบากใจหรือไม่?” จ้าวเหวินเฉียงดวงตาเฉียบคม มองออกว่ารอยยิ้มของเขาดูฝืนไปอยู่บ้าง
จ้าวไป่ิตื่นตระหนกทันที กว่าเขาจะได้รับการยอมรับจากสกุลหูมาได้ไม่ง่ายเลย หากท่านปู่พบความผิดปกติเข้า คงเพิ่มปัญหาให้ใหญ่ขึ้นอย่างแน่นอน
“ไม่มีขอรับ แค่ถามนั่นนี่มากมายนัก ข้าเลยรู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย” เขารีบยิ้มแล้วอธิบาย
“ฮ่าๆ ล้วนกล่าวกันว่าแม่ยายมองบุตรเขยยิ่งมองก็ยิ่งพึงพอใจ [1] แม่ยายเ้าแม้เป็คนที่ไว้ใจไม่ได้เล็กน้อย แต่มีแม่สามีคอยสกัดให้อยู่กับร่องกับรอย นางจึงไม่มีความคิดแย่ๆ ออกมา ส่วนชุ่ยจูเป็แม่นางที่ดีคนหนึ่งเลย เ้าก็อยู่บ้านทบทวนตำราให้จิตใจสงบ รอผ่านวันที่สิบห้าเดือนแรกไป ปู่จะหาแม่สื่อไปหมั้นฝ่ายสาวไว้” เมื่อเื่การแต่งงานของหลานชายมีข่าวคราวที่แม่นยำน่าเชื่อถือได้ออกมา ในใจจ้าวเหวินเฉียงก็ยินดีอย่างยิ่ง แค่รอผ่านปีไป เชิญแม่สื่อไปมอบสินสอดทองหมั้น จัดการเื่แต่งงานลงให้แน่นอน
จ้าวไป่ิยิ้มอย่างเขินอาย แม้ขั้นตอนซับซ้อนไปหน่อย แต่คิดถึงชุ่ยจูที่ก้มหน้ายิ้มบางๆ ท่าทางไม่อาจละสายตาไปไหนได้ยิ่งกว่าดอกไม้ เขาก็รู้สึกว่าเื่เหล่านี้ล้วนไม่เท่าไรเลย
“ตอนนี้ ต้องรีบซ่อมแซมห้องของเ้าขึ้นสักรอบ สกุลหูคนมากทรัพย์สินในครอบครัวย่อมมาก ครอบครัวเราเทียบไม่ได้ แต่รื้อและสร้างใหม่สักรอบยังพอทำได้” บ้านพวกเขาเป็บ้านใหญ่หลังคามุงกระเบื้องและพื้นอิฐสีฟ้ามีจำนวนห้าห้อง อยู่ในหมู่บ้านนับได้ว่าฐานะไม่เลวอย่างมาก แน่นอนว่าต้องยกเว้นสกุลหู
“ท่านปู่ ไม่รีบ สกุลหูกล่าวแล้วว่าต้องให้ชุ่ยจูผ่านวันไหว้พระจันทร์ของปีหน้าไปก่อนจึงจะแต่งได้ขอรับ”
“อ่า เช่นนั้นต้องเลือกวันหลังจากเก็บเกี่ยว่ฤดูใบไม้ร่วงเลยนะ เช่นนี้ก็ช้าไปหน่อยแล้ว”
บนความเป็จริง เจินจูอยากให้ชุ่ยจูอายุครบสิบแปดปีไปแล้วค่อยแต่งงาน แต่ หวังซื่อปฏิเสธฉับในคำเดียว การยืดเวลาออกไปถึงอายุสิบแปดปีแล้วค่อยแต่งงาน อาจถูกคนกล่าวนินทาลับหลังได้
เจินจูทำได้เพียงอึดอัดกลัดกลุ้มอยู่ในใจไปชั่วขณะ
เชิงอรรถ
[1] แม่ยายมองบุตรเขยยิ่งมองก็ยิ่งพึงพอใจ หมายถึง มารดาย่อมรักและทะนุถนอมบุตรสาวมากที่สุด เมื่อบุตรสาวมีคนรัก มารดาก็จะพิจารณาให้ความสำคัญกับคนรักของบุตรสาวด้วย เมื่อยิ่งพิจารณาแล้วเห็นข้อดีมากขึ้น ผู้เป็มารดาก็จะยิ่งถูกชะตา ทำให้เกิดความพึงพอใจในตัวบุตรเขยมากยิ่งขึ้น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้