บทที่ 1 ศึกเปิดม่าน
ราตรีนั้นมืดมิด ไร้แสงจันทร์ส่อง ท้องฟ้าถูกคลุมด้วยเมฆหมอกดำหนาทึบ เสียงฆ้องเตือนภัยดังก้องะเืทั่วผืนฟ้า ท่ามกลางความโกลาหล ผู้คนต่างโหวกเหวกโวยวายด้วยความหวาดกลัว
ลมหนาวพัดแรงผ่านต้นไม้ ส่งเสียงหวีดหวิวเหมือนสัญญาณเตือนภัยจากธรรมชาติ “วิ้ววว... ฟิ้ววว...” เหมือนพายุที่ใกล้จะมาเยือน ทันใดนั้น
“ฝ่ายอธรรม… บุกเข้ามาแล้ว!” เสียงะโฉุดรั้งความเงียบงันของค่ำคืน ศิษย์เฝ้าประตูสำนักส่งเสียงดังด้วยความหวาดกลัว ก่อนที่ร่างเขาจะทรุดตัวลงบนพื้น
หมอกหนาเคลื่อนตัวเข้ามาปกคลุมบริเวณประตูสำนักเหมือนฤดูหนาวที่แผ่ซ่านอย่างช้า ๆ เงาดำมืดคล้ายสัตว์ร้ายโบราณเคลื่อนไหวแวบอยู่ในม่านหมอก
และในความเงียบงันนั้น… เสียงหัวเราะแ่ต่ำคล้ายเสียงลมหนาวกระซิบ ทะลุผ่านความมืดเข้ามาในหัวใจ เสียงเยือกเย็นชวนขนลุกซู่ทั่วทั้งร่าง
“ถอยไปให้หมด!” เสียงเย็นะเืของชายหนุ่มผู้หนึ่งดังขึ้น พร้อมร่างที่ปรากฏออกมาจากหมอกหนา เขาสวมอาภรณ์ดำปักลายอสูรกาย ดวงตาสีขาวขุ่นแฝงความเ็า มองไปรอบลานอย่างเยือกเย็นไร้ความเมตตา
การปะทะครั้งแรกเกิดขึ้นรวดเร็วเหมือนสายฟ้าแลบ กระบี่ของศิษย์สำนักหยกเขียวฟาดฟันสู้กับดาบของชายจากฝ่ายอธรรม กระบี่นั้นถูกหักขาดในพริบตา พร้อมกับเสียงร่างศิษย์กระเด็นชนเสาจนเสียงดังสนั่น
“คืนนี้... สำนักของพวกเ้าจะต้องล่มสลาย!” ชายหนุ่มจากฝ่ายอธรรมะโอย่างมั่นใจ
“อย่าได้ฝันเลย ว่าจะทำสำเร็จ!” เ้าสำนักหยกเขียวโผล่ออกมา ท่ามกลางความมืด เขาสวมชุดขาวปักลายัหยก ดวงตาคมกริบเปล่งประกายเจิดจ้า
เขาพุ่งทะยานเหมือนสายลมพายุ กระบี่ในมือฟาดฟันราวกับหางัที่พุ่งฟาดด้วยพลังมหาศาล
ทั้งสองฝ่ายปะทะกันอย่างดุเดือด ฝีมือพุ่งสูง ไร้ซึ่งความเกรงกลัว ดาบและกระบี่กระทบกันดังกังวาน ท่ามกลางลมแรงที่พัดพลิ้วเป็ระลอกคลื่นเหมือนสองสายน้ำไหลสวนทางกันโดยไม่ยอมหยุดยั้ง
ศึกครั้งนี้ยาวนานจนดวงตะวันค่อย ๆ ทะลุม่านหมอกแห่งรัตติกาล ฝ่ายอธรรมจึงถอยทัพกลับไป
ซากศพของศิษย์ทั้งสองฝ่ายกระจายเกลื่อนกลาดบนพื้นดิน ราวกับพงหญ้าที่โดนไฟเผาไหม้ กลิ่นควันไฟและเืยังลอยอบอวลในอากาศ
สำนักหยกเขียวถูกทำลายหลายส่วน กำแพงที่มั่นคงถูกพังทลาย ศิษย์หลายคนล้มลงด้วยาแลึกและความเหน็ดเหนื่อย
เ้าสำนักยืนหยัดกลางลาน มือกำแน่น ดวงตาสีดำสนิทเต็มไปด้วยเปลวเพลิงแห่งความแค้น สายตาเหม่อมองไปยังทิศทางที่ฝ่ายอธรรมถอยทัพ ความแค้นในใจลุกโชนราวกับเปลวไฟที่พร้อมจะเผาผลาญทุกสิ่ง
“นี่ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่พวกมันจะกลับมา…” เ้าสำนักพูดกับเหล่าศิษย์ด้วยน้ำเสียงมั่นคง
เสียงฝีเท้าเบา ๆ ของผู้าุโแห่งสำนักก้าวเข้ามา ท่าทางเคร่งเครียดมาก
“ท่านเ้าสำนัก เราต้องรีบส่งข่าวไปยัง… สมาพรรครัตติกาลพิสุทธิ์ ฝ่ายอธรรมเร่งตามหาพลังศักดิ์สิทธิ์อย่างจริงจัง หากพวกมันได้ยุทธภพ เราคงสูญสิ้นแน่”
ดวงตาของเ้าสำนักเปลี่ยนเป็ประกายแข็งกร้าว “เราต้องออกเดินทางเดี๋ยวนี้ ผู้าุโ”
ค่ำคืนแห่งรัตติกาลสิ้นสุดลง ความวอดวายเริ่มขยายตัวไปทั่วยุทธภพ เปลี่ยนเป็บทใหม่แห่งการต่อสู้เพื่อแย่งชิงชะตากรรมมนุษย์...
บทที่ 2 เพลิงศึกแห่งพงไพร
ณ เบื้องบนแผ่นดินยุทธภพ ดินแดนชายขอบอันห่างไกลจากนครใหญ่ เผ่าต่างแดนออกล่าอสุราวารีและสัตว์ป่าเพื่อประทังชีวิต หาได้คาดคิดไม่ วายุแห่งหายนะถาโถมจากขอบฟ้า คือกองทัพเผ่าวายุคราม นำโดยแม่ทัพผู้เกรียงไกรแห่งตระกูลเหลียงหลง เหลียงหลง มูซา บุรุษผู้โเี้ราวพายุฤดูเหมันต์ หมายผลาญสิ้นเผ่ามู่หลิน หมู่ขุนพลผู้พิทักษ์พงไพร
เสียงแตรศึกและกลองรบะเืฟ้าดิน เปลวไฟเริ่มเผาผลาญชายป่า ควันดำลอยสูงปกคลุมท้องฟ้า
“หนีเร็ว…!!” เสียงะโจากชายหนุ่มแห่งมู่หลินดังลั่น ผู้คนแตกกระเจิง วิ่งหนีเอาชีวิตรอดท่ามกลางเสียงโกลาหล
ทว่าท่ามกลางห้วงวิกฤตนั้น กลับมีบุรุษผู้หนึ่งยืนหยัดเดียวดายเบื้องหน้าข้าศึก เขาขี่อาชาศึกผิวกายดั่งรัตติกาล มือกำขวานศึกคู่ใจมั่นแน่น มิใช่ผู้ใดอื่น มู่หลิน ป๋ายหู่ หัวหน้าเผ่ามู่หลิน บุรุษผู้เปี่ยมเดชานุภาพ ตำนานแห่งพงไพร ผู้เคยเพียงลำพังต้านศึกเผ่าเลร่อนจนชื่อกระฉ่อนทั่วแผ่นดิน
ร่างกายกำยำบึกบึน เส้นผมยาวถักเปียพลิ้วตามลม บนใบหน้าคมสันมีรอยแผลพาดผ่านสันจมูก ทั่วกายล้วนมีาแเก่าใหม่ปะปน เสมือนบันทึกแห่งศึกและเกียรติยศ
เขาะโก้อง “เหล่าพี่น้อง จงลุกขึ้น! จงชูศาสตราเถิด!” สายตาวาวโรจน์จับจ้องไปยัง เหลียงหลง มูซา ซึ่งประทับม้าขาวกลางกองทัพ“วันนี้! คือวันสิ้นชีพของพวกเ้า!”
เพียงสิ้นคำ เสียงกีบม้าก็โถมทะยาน ขวานคู่ในมือมู่หลิน ป๋ายหู่ฟาดฟันไม่หยุดยั้ง กองหน้าของวายุครามแตกกระเจิง โลหิตสาดกระเซ็นย้อมผืนดินเป็สีชาด ทุกครั้งที่คมขวานกวัดแกว่งย่อมมีเสียงกะโหลกแตกและอาวุธหักตามมา
เหลียงหลง มูซา เห็นดังนั้นก็หัวเราะเย้ย “มู่หลิน ป๋ายหู่…ข้าเฝ้ารอวันนี้มานาน!” เขาควบม้าพุ่งเข้า ท่วงท่าดุจพายุหมุน ปะทะคมศาสตรากับป๋ายหู่กลางสมรภูมิ เสียงโลหะกระทบกันสะท้อนะเืหัวใจผู้คนรอบข้าง ประกายไฟจากคมอาวุธพุ่งกระจายราวดาวตก
การดวลดำเนินเนิ่นนานจนทั้งสองมีเืไหลอาบกาย แต่แล้ว เสียงแตรสัญญาณจากฝ่ายวายุครามก็ดังก้อง เหลียงหลง มูซา เหลือบมองทัพตนซึ่งแตกพ่ายในทุกด้าน จึงกัดฟันสั่งถอนกำลัง “วันนี้เราถอย…แต่วันหน้าข้าจะกลับมาสังหารเ้าด้วยมือข้าเอง!”
มู่หลิน ป๋ายหู่ ยืนนิ่งมองศัตรูถอยลับไปในเงาหมอกยามสนธยา บนผืนดินเต็มไปด้วยร่างไร้ิญญาของขุนพลวายุคราม กลิ่นเืและควันไฟยังอบอวลไม่จาง แม้ชัยชนะครั้งนี้จะเป็ของมู่หลิน แต่หัวใจป๋ายหู่รู้ดี… ว่าาที่แท้จริง เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น
กลิ่นควันไฟยังไม่ทันจาง ลมยามค่ำพัดพากลิ่นเืฟุ้งกระจายไปทั่วพงไพร มู่หลิน ป๋ายหู่ เช็ดเืที่ติดอยู่บนคมขวาน ก่อนจะมองไปรอบสมรภูมิด้วยแววตาเคร่งขรึม เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านหลัง เป็ มู่หลิน ไป๋ มือขวาผู้ซื่อสัตย์และเป็ดั่งน้องชายร่วมรบ
“ท่านหัวหน้า…เราชนะแล้ว ศัตรูถอยไปไกล” มู่หลิน ไป๋เอ่ย พลางก้มศีรษะ ป๋ายหู่พยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ไป๋…ชัยชนะวันนี้เป็เพียงจุดเริ่มต้น ข้าเพิ่งได้รับข่าวลับ พลังลึกลับได้ปรากฏขึ้นในดินแดนตะวันตก”ดวงตาของไป๋เบิกกว้าง
“พลังลึกลับ? ท่านหมายถึง…?” ป๋ายหู่ขมวดคิ้ว “หากข่าวนี้เป็จริง ไม่เพียงเผ่ามู่หลินเท่านั้นที่จะตกอยู่ในอันตราย แต่ทั้งยุทธภพจะสั่นคลอน” เขาวางมือลงบนบ่าไป๋ น้ำเสียงหนักแน่น
“เราต้องรีบแจ้งเผ่าต่างแดนทั้งหมด ให้เตรียมตัวรับศึกครั้งใหญ่ ครั้งนี้…อาจเป็าที่จะตัดสินชะตาของแผ่นดิน” มู่หลิน ไป๋กำหมัดแน่น “ ข้าจะจัดคนออกเดินทางทันที
” ป๋ายหู่มองท้องฟ้าอันมืดมิด เหมือนจะเห็นพายุที่กำลังคืบคลานมา ในหัวใจเขารู้ดี ศึกครั้งหน้าจะโหดร้ายยิ่งกว่าที่เคยเผชิญ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้