จูบเสร็จ หรงซิวก็กะพริบตาถี่ ยังอยากทำตัวทะลึ่งอยู่อีก ทว่ากลับถูกอวิ๋นอี้ทำหน้าเคร่งขรึมใส่ เร่งให้เขาพูดเื่จริงจัง
สตรีตัวน้อยจริงจังขึ้นมาช่างดูน่ารัก ทำให้เขาจั๊กจี้ใจไม่น้อย
เขาหรี่ตาลง ยังมิทันที่ใบหน้าของเขาจะเข้าไปใกล้ ก็ถูกผลักออกมาด้วยการตบ
“หรงซิว!” นางเรียกอย่างหงุดหงิดเหลือทน เหมือนอุ้งเท้าแมวข่วนเข้าที่หัวใจ เขายิ้มอย่างสบายใจ “คุยเื่จริงจังก่อน เดี๋ยวค่อยรังแกเ้า”
“มิมีท่าทีจริงจังเลยเพคะ!”
ทั้งสองคนประชันฝีปากกันไปมา จนได้รู้ความเป็ไปเป็มาของเื่
ใน่มิกี่ปีมานี้ราชวงศ์ต้าอวี่ได้ให้ความสำคัญกับการดูแลและการพักฟื้นแคว้น รบใต้าเหนือนับร้อยครา ลดความสั่นคลอนภายใน สร้างความเป็พันธมิตรและความสัมพันธ์อันสงบสุขกับภายนอก หนึ่งในนั้นมีบ้านพี่เมืองน้องที่ดีที่สุดก็คือราชวงศ์เป่ยิ
เป่ยิอยู่ทางเหนือของต้าอวี่ ภายในแคว้นมีูเาและแม่น้ำมากมาย ประชาชนอยู่กันอย่างเรียบง่ายและซื่อสัตย์ สองราชวงศ์สนิทชิดเชื้อ เกือบทุกปีจะมีการส่งทูตมาเยี่ยมเยียนซึ่งกันและกันเสมอ
มิรู้ว่าเหตุใด ทั้งที่ปีก่อนๆ ล้วนจัดในฤดูเหมันต์ ทว่าปีนี้กลับถูกจัดในปลายเดือนสี่
ทว่านั่นมิใช่ประเด็น ประเด็นคือ ทุกคราที่ทูตจากเป่ยิมา ในวังจะมีการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ การต้อนรับจะต้องมีการแสดงความสามารถร้องเพลงและเต้นรำ
ในฐานะหัวหน้าของพระราชวังตะวันออก พระชายาเอกองค์รัชทายาทมีหน้าที่รับผิดชอบในการลงทะเบียนและคัดกรองรายนามหญิงสาว
เพลานี้จวนจะสิ้นเดือนสามแล้ว หากจะต้องเริ่มเตรียมตัวเื่การแสดง ถือว่าช้าแล้ว
“ดังนั้นนี่คือโอกาส” หรงซิวพูดอ้อมอยู่นาน เอาหน้าผากแตะหน้าผากนาง “อีกมิกี่วันไทเฮาจะให้พระชายาเอกเข้าเฝ้าไปพูดเื่นี้ ตราบใดที่นางยินดีจะเปิดปาก พวกเ้าจะได้ออกไปในมิช้า”
อวิ๋นอี้ฟังด้วยความมึนเบลอ ผล็อยหลับไปโดยมิรู้ตัว
ตื่นขึ้นมาวันรุ่งขึ้นมิเห็นหรงซิวเช่นเคย นางชินเสียแล้ว
หลังจากล้างเนื้อล้างตัวเสร็จ อวิ๋นอี้ก็ไปเรียน ทันทีที่เดินเข้าไปพลันเห็นกู่ซือฝาน หลังจากกวาดสายตาคร่าวๆ มิเห็นตู้ซือโหรว
นางเลิกคิ้ว หลังจากสอบถาม ถึงได้รู้ว่านางถูกเรียกเข้าไปในวังั้แ่เช้าตรู่
อวิ๋นอี้นั่งอยู่บนเก้าอี้ มองดูผ้าปักและเข็มเรียวๆ ตรงหน้าพลันอดคิดถึงคำพูดของหรงซิวเมื่อคืนมิได้
นางแอบแปลกใจ เดิมคิดว่าคงอีกมิกี่วัน ทว่ามิคิดเลยว่าจะเร็วเช่นนี้ อาจเป็เพราะเื่ทูตที่มาจากเป่ยิ
กู่ซือฝานที่อยู่ข้างกายพึมพำมิหยุด สิ่งที่พูดมิมีกระไรมากไปกว่าการคาดเดาเื่ที่ตู้ซือโหรวเข้าวัง
“พระชายาเอกไปทำการใดหรือเพคะ?” นางพึมพำ “หรือว่านางจะไปฟ้องไทเฮาเื่พวกเรากัน?”
อวิ๋นอี้ปากกระตุก “นางมิได้โง่เช่นนั้น มิได้ว่างเช่นนั้นด้วย”
เมื่อการคาดเดาของตนถูกปฏิเสธ กู่ซือฝานทำหน้าบึ้ง หยิบผ้าปักขึ้นมาแล้วเริ่มทำ อารมณ์ของนางมาเร็วไปเร็ว ในพริบตาพลันลืมเื่ที่พูดไปแล้ว หางตาเหลือบไปเห็นอวิ๋นอี้มองผ้าปักอย่างเหม่อลอย พลันยิ้มแล้วเข้าไปพูดด้วย “ท่านพี่ เหม่อกระไรอยู่เพคะ งานเย็บปักถักร้อยผู้ใดเขาทำเช่นนี้กัน?"
กู่ซือฝานเห็นพลันหัวเราะ อวิ๋นอี้ก้มหน้าลงดู ก็เห็นว่านางหยิบเข็มกลับด้าน รีบเปลี่ยนกลับอย่างรวดเร็ว ตาเบิกกว้างข่มนาง "หัวเราะอีกสิ?"
“มิกล้า มิกล้าเพคะ!” นางกลัวจนร้องขอชีวิตทันที “ท่านพี่เพคะ เดี๋ยวท่านทำเสร็จแล้ว ดูว่ามีเศษเหลือหรือไม่ หากว่ามีเศษเหลือ อย่าลืมเอามาให้ข้านะเพคะ!"
"เ้าเอามันไปทำกระไร?" อวิ๋นอี้งง
“เซียงหนาง [1] ขององค์ชายข้า ข้าทำให้เขาเมื่อสองปีที่แล้ว เขาพกติดตัวเสมอ ก่อนที่ข้าจะมาที่สำนักซืออี๋ เห็นว่ามันเก่าแล้ว ข้าจะทำใหม่ให้เขาเพคะ” กู่ซือฝานพูดพลางใบหน้าแดงขึ้น
สตรีที่กระโตกกระตากอยู่เสมอเช่นนาง อายบ้างบางครา ให้ความรู้สึกต่างออกไปอย่างหนึ่ง
อวิ๋นอี้ว่าแปลก เื่นี้ช่างน่าสนใจจริงๆ
นางจ้องไปที่กู่ซือฝานด้วยรอยยิ้ม ทว่านางมิได้พูดเล่นกระไร เพียงมองเช่นนั้นพลันทำให้กู่ซือฝานเสียงหลง “ท่านพี่! หยุดมองข้าได้แล้ว! มองจนหน้าข้าบางหมดแล้ว!"
"ได้ ได้ ได้ มิมองแล้ว" อวิ๋นอี้ให้ความร่วมมือ
กู่ซือฝานบ่นเบาๆ “ข้าเพียงจะทำเซียงหนาง ถูกท่านยิ้มใส่เช่นนี้ ไม่กี่วันก่อนท่านยังได้จดหมายรักจากท่านพี่ชายเจ็ดเลยนี่เพคะ กระไรนะ อวิ๋นเออร์ชายาข้า…”
"อย่า! อย่าพูดนะ! ขอร้องล่ะ!” อวิ๋นอี้ถูกล้อพลันรีบเอามือปิดปากนางทันที
ที่ใดได้กู่ซือฝานหัวเราะพลิกตัวออกแล้วพูดต่อ “ท่านพี่ ข้าเห็นแค่สร้อยหยกที่เอวของท่านพี่ชายเจ็ด ท่านทำเซียงหนางด้วยเถิด เราสองคนจะได้ทำด้วยกัน ท่านพี่ชายเจ็ดจริงใจต่อท่านเช่นนี้ เขาถึงกับเขียนจดหมายถึงท่าน ท่านตอบแทนเขาหน่อยเถิด!”
ที่เอวของหรงซิวมีเครื่องประดับน้อยมาก นอกจากสร้อยหยกขาวนั่นแล้วมิมีสิ่งอื่น
หัวใจที่ผลิบานมิอาจต้านทานความยั่วยวนได้ อวิ๋นอี้ถูกกู่ซือฝานชักชวนให้ร่วมทัพทำเซียงหนาง
ถุงเซียงหนางทำง่ายมาก ทว่าสิ่งที่ยากคือ ต้องปักอักษรบนเซียงหนาง
อวิ๋นอี้ตัดผ้าก่อนแล้วเริ่มปัก
สิ่งที่นางปักคือ "ซิว" ในชื่อหรงซิว เนื่องจากทักษะนางมิได้ดีทั้งยังผ้าผืนเล็กขนาดนี้ ถือว่าเป็การทดสอบความสามารถเลยทีเดียว สุดท้าย เพราะว่าฝีเย็บคดๆ เอียงๆ ทำให้ตัวอักษรดูเอียงเล็กน้อย
อวิ๋นอี้ถือผลงานขึ้นมาอย่างหงุดหงิด
เซียงหนางที่น่าเกลียดเช่นนี้ ขนาดนางยังทนดูมิไหว มิต้องพูดว่าจะให้หรงซิวเลย
บุรุษผู้นั้นตอนที่อ่อนโยนก็อ่อนโยนจริงๆ ทว่าเวลาปากร้ายก็ร้ายสุดๆ
“เห้อ!”
อวิ๋นอี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งพลันยัดเซียงหนางเข้าไปในแขนเสื้อ นางคิดว่าตอนนี้มิให้หรงซิวก่อนก็แล้วกัน คราหน้าทำอันใหม่ที่สวยกว่าได้แล้ว ค่อยให้เขา
ใช่!
ค่อยให้เช่นนั้น!
เพื่อมิให้นางโกรธบีบคอเขาในตอนที่เขาพูดพล่อยๆ
อวิ๋นอี้มิได้ชำนาญการเย็บปักถักร้อย เซียงหนางถุงเดียวใช้เวลาทำเกือบทั้งบ่าย กู่ซือฝานทำเสร็จนานแล้ว นั่งรอนางอยู่ข้างๆ
เมื่อเห็นว่านางทำเสร็จแล้ว ทั้งสองก็เก็บของ คิดว่าจะพากันไปเดินเล่น รอให้เย็นกว่านี้หน่อยค่อยไปทานข้าวอาบน้ำเข้านอน
ตอนที่ทั้งสองทานข้าวอยู่ในโรงอาหาร พลันพบกับตู้ซือโหรวที่กลับมาจากในวัง
เมื่อตู้ซือโหรวปรากฏตัวก็เป็จุดสนใจของทุกคน
พระสนมอ๋องโยวและผู้อื่นก็นำน้ำชามาให้ ใบหน้าแทบจะมองคำว่า "ประจบ" มิออกเลยทีเดียว
เมื่อเทียบกับพวกนาง กู่ซือฝานและอวิ๋นอี้ดูมิค่อยกระตือรือร้นมากนัก หลังจากทักทายตู้ซือโหรวแล้ว ทั้งสองก็มุ่งหน้ามุ่งตาทานอาหาร
มินาน พลันมีเงาหนึ่งมาอยู่ที่หน้าโต๊ะ เมื่อเงยหน้าขึ้นพลันเห็นว่าเป็ตู้ซือโหรว
“นั่งสิ” อวิ๋นอี้ทักทายนาง “ทานข้าวหรือยังเพคะ?”
“ทานแล้วเพคะ” ตู้ซือโหรวพูด “มีข่าวดีกับข่าวร้าย อยากจะฟังเื่ใดก่อนเพคะ?”
อวิ๋นอี้แย้มมุมปากแล้วยิ้มอย่างเป็กันเอง "ข่าวดี"
"ข่าวดีคือวันพรุ่งจะได้ออกจากที่นี่แล้ว" ตู้ซือโหรวสบายใจ “ไทเฮาทรงอนุญาตแล้วเพคะ เช้าวันพรุ่งจะมีโองการมา”
กู่ซือฝานดีใจที่ได้ยินเช่นนั้น มิสนใจจะทานข้าวแล้ว เข้าไปถามอีก "จริงหรือเท็จเพคะ?"
"โกหกเ้าข้ายอมเป็สุนัข!" ตู้ซือโหรวเคร่งขรึมจริงจัง "ข้ามิล้อเล่นหรอกเพคะ"
อวิ๋นอี้คว้าตัวกู่ซือฝานที่ะโโลดเต้นอยู่ กดหัวลงหน้าชามข้าว เลิกคิ้วขึ้นถาม "แล้วข่าวร้ายเล่า?"
"เหอะ เหอะ" ตู้ซือโหรวยิ้มกว้าง "ข่าวร้ายคือท่านต้องทำการแสดง"
"ข้าแสดงมิเป็" อวิ๋นอี้พูดอย่างจริงจัง มิต้องคิดเลย "มิเป็จริงๆ"
"มิเป็ก็ต้องเป็เพคะ ข้าให้คำมั่นกับไทเฮาแล้ว ว่าหากกระตุ้นด้วยเพลงอันไพเราะ ท่านจะฟื้นฟูความทรงจำ ครานี้ความสามารถทางดนตรี หมาก อักษร วาดภาพจะกลับมา" ตู้ซือโหรวกระตุกมุมปาก มองไปทางอวิ๋นอี้ด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย พยายามดิ้นรนพูด “องค์ไทเฮาทราบเช่นนี้ ดูเหมือนความประทับใจต่อท่านจะดีขึ้นนะเพคะ เพราะฉะนั้นเพื่อพิชิตใจไทเฮากลับมา อยากแสดงก็ต้องทำ ไม่อยากทำก็ต้องแสดงเพคะ เข้าใจความยากลำบากของข้าด้วยสิเพคะ!"
อวิ๋นอี้ปวดหัว
นางมิพิชิตหัวใจยายเฒ่านั่นจะได้หรือไม่?
ดนตรีหมากอักษรหรือวาดภาพกระไร นางทำมิได้สักนิด นี่มันต้อนเป็ดขึ้นชั้น [2] ชัดๆ กระไรคือความยากลำบากของนางกัน นี่มันอยากให้นางตายนี่นา
เชิงอรรถ
[1] เซียงหนาง 香囊 หมายถึง ถุงหอม เป็เครื่องประดับเครื่องแต่งกาย ให้กลิ่นหอมสดชื่น
[2] ต้อนเป็ดขึ้นชั้น 赶鸭子上架 หมายถึง บังคับคนอื่นให้ทำในสิ่งที่ไม่ถนัด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้