เมืองหลวงเจริญรุ่งเรือง ทั้งยังเลิศหรู
ถนนเส้นใหญ่ที่ทอดยาวมีรถม้าสัญจรไปมาแน่นขนัด
บัดนี้พวกเขาได้เข้ามาในเมืองหลวงแล้ว แม้อาลู่จะยังรักษาท่าทีเคร่งขรึมเอาไว้ได้ แต่ในใจกลับทั้งตึงเครียดและตื่นเต้น
เด็กหนุ่มกำเชือกบังเหียนม้าในมือแน่น
ในใจรู้สึกว่าเมืองหลวงช่างใหญ่โตเหลือเกิน
ก่อนหน้าเขายังคิดว่าตลาดไป๋กู่ที่พวกเขาสร้างก็ใหญ่โตแล้ว คนจากหลายแคว้นต่างก็พากันเดินทางมาไม่ขาดสาย ทั้งตลาดแห่งนี้ยังเกิดขึ้นได้เพราะน้ำพักน้ำแรงของพวกเขา จึงทำให้เขารู้สึกภาคภูมิใจนัก
ทว่าภาพที่เห็นตรงหน้านี้
ทำให้เขารู้ว่าความภาคภูมิของตนช่างน่าขันนัก
เพราะเห็นโลกมาน้อย จึงทำให้ภูมิใจถึงเพียงนั้น
แท้จริงแล้วการได้ออกจากทุ่งหญ้าก็มีประโยชน์เช่นนี้นี่เอง
ที่นี่โอ่อ่าจริงๆ
คนสัญจรไปมากระทบไหล่กันไม่ขาดสาย
ทว่าเมืองหลวงแคว้นเชินที่ใหญ่โตถึงเพียงนี้ก็ยังไม่ใช่เมืองที่คึกคักที่สุด
ว่ากันว่าเมืองจิ่นโจวใหญ่โตกว่าเมืองหลวงแคว้นเชินเสียอีก ทั้งยังครึกครื้นกว่าด้วยเช่นกัน
อีกทั้งเมืองจิ่นโจวยังเป็เมืองที่ไม่มีประตูเมือง
แค่เมืองหลวงเชินก็คึกคักเสียจนไม่อาจจินตนาการได้แล้ว แล้วเมืองจิ่นโจวจะมีบรรยากาศเช่นไรกัน ช่างทำให้คนนึกฝันอยากจะเห็นนัก
อาลู่ที่ยังนั่งอยู่บนหลังม้า มองรถม้าที่สวนกันไปมา มองผู้คนที่สัญจรไปมา ก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม
แทบจะควบคุมความตื่นเต้นไว้ไม่ไหว
เขาเคยคิดว่าแค่อยากจะอยู่กับน้องสาวอย่างมีความสุข ดูแลนางให้เติบโต
ทว่าตลอดเส้นทางที่ผ่านมา เขาได้เปิดหูเปิดตามาไม่น้อย
จนรู้สึกว่าความกล้าหาญในใจของเขาได้ถูกปลุกขึ้นมาเสียแล้ว
จะต้องมีสักวันที่ลู่เกอจะได้มีหน้าในที่แห่งนี้ เหมือนที่เขาเคยเป็ยามที่ยังอยู่บนทุ่งหญ้า
ต่อไปใครที่เดินทางมาที่นี่ก็จะต้องรู้จักนามของเขา
เด็กหนุ่มอย่างไรก็ยังเป็เด็กหนุ่ม
ความหนักอึ้งที่ถาโถมมาในชีวิตหรือความยากลำบากใดๆ ล้วนแต่ไม่อาจหยุดยั้งความทะเยอทะยานของเขาได้ มีแต่จะกระตุ้นให้ปณิธานของพวกเขาแกร่งกล้าขึ้น
อาลู่บนหลังม้าขยับกายยืดหลังตรง แววตาดูหนักแน่นขึ้น สายตาที่มองสิ่งต่างๆ ก็เปลี่ยนเป็สงบนิ่ง
เสี่ยวอู่ที่นั่งอยู่บนหลังม้า มองคนที่เดินสวนกันขวักไขว่แล้วกลับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเท่าใด จมูกยังคงทำท่าฟุดฟิดดมกลิ่น เขารู้สึกหิวแล้ว เขาได้ยินมาว่าเมืองหลวงมีอาหารอร่อยมากมาย คิดเช่นนี้แล้วเขาแทบจะรอให้ถึงที่พักไม่ไหว เขาจะได้ออกมาหาอะไรกินให้หนำใจสักมื้อ
ส่วนอาสวินที่ป่วยกระเสาะกระแสะมาตลอดทาง วันนี้ก็ดึงดันจะขี่ม้าเองให้ได้
เขาเลือกม้าตัวที่เชื่องที่สุดตัวหนึ่ง แสงแดดที่ทอลงมาอาบร่างของเด็กหนุ่มบนหลังม้าทำให้เขารู้สึกอบอุ่นเหลือเกิน สายลมที่พัดผ่านพัดพากลิ่นต่างๆ มาเข้าจมูก
สายลมที่นี่ไม่เหมือนกับลมบนทุ่งหญ้าที่แสนจะหนาวเย็นที่มีกลิ่นสะอาดผสมมากับกลิ่นหญ้า
สายลมที่พัดโชยอ่อนผสมมาด้วยกลิ่นปนเปสารพัด
ทว่าเขากลับรู้สึกชอบที่นี่เหลือเกิน ราวกับว่าแค่ได้เห็นก็ติดใจที่นี่เสียแล้ว
ที่นี่มีคนมากมายทั้งยังคึกคักและเจริญรุ่งเรือง เขารู้สึกราวกับว่าตนเป็ส่วนหนึ่งของที่นี่ั้แ่กำเนิด
ใบหน้าขาวซีดของเด็กหนุ่มเมื่อได้อาบแสงแดดไปเพียงครู่เดียว ก็เริ่มมีสีแดงระเรื่อ
อาสวินในวันนี้แต่งกายอย่างบัณฑิตหนุ่ม ใบหน้าหมดจด แววตาใสสะอาดทว่าร้อนแรง
เหล่าคนบนถนนที่เดินผ่านไปผ่านมา เมื่อเห็นเด็กหนุ่มก็ล้วนแต่ส่งสายตาเป็มิตรมาให้
นายท่านสามไม่เหมือนกับคนอื่นๆ ที่มีเวลาชมนกชมไม้ เขาเดินทางเข้าเมืองมาก่อนใคร เพื่อจัดการเื่ที่พักให้กับทุกคน
ยามนี้จึงได้แต่รอให้คนอื่นๆ มาถึง
ราชครูนั่งอยู่ในรถม้าพร้อมทั้งทอดถอนใจ เขาไม่คิดเลยว่าตนจะได้กลับเมืองหลวงมาในสภาพนี้
ไม่มีแม้แต่คนมารอต้อนรับ ไม่มีแม้แต่ชุดผ้าไหมให้สวมยามกลับคืนบ้านเกิด
ส่วนเด็กชายร่างอวบอ้วนช่างขี้เซานัก ยามที่ต่อแถวเพื่อจะเข้าเมืองก็ก่อกวนเอ็ดตะโรไม่หยุด ทว่ามาถึงยามที่เข้ามาในเมืองแล้วกลับหลับไปอีกรอบ ทั้งยังกรนครอกเสียงดัง
เมื่อมององค์ชายน้อยของเขาที่กำลังกรนเสียงดัง ขันทีชราก็รู้สึกว่าภาระนี้ของตนช่างหนักอึ้งเหลือเกิน
ทางเฉินโย่วก็กระปรี้กระเปร่านัก กระทั่งนอนกลางวันก็ไม่ยอมนอน ไม่ง่ายนักที่นางจะได้เข้าเมืองหลวงเช่นนี้ จึงไม่มีใครจะฉุดรั้งนางให้อยู่นิ่งได้
แม้เด็กหญิงจะไม่อาจขี่ม้า แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งร่างน้อยๆ ให้แหวกผ้าม่านบนรถม้าออกไปชมความครื้นเครงภายนอกได้เช่นกัน
ร่างน้อยชะเง้อมองออกไปนอกหน้าต่าง มองอะไรก็รู้สึกว่าแปลกใหม่ไปเสียหมด
ข้างทางมีแผงขายขนมและของว่าง ทั้งยังมีการแสดงลอดห่วงไฟ ผู้คนพลุกพล่านกระทบไหล่กันไปมาอย่างเร่งรีบราวกับมีเื่ด่วน
ที่นี่มีคนมากมายเหลือเกิน
บางคราก็มีเสียงหัวเราะแว่วมา
เสียงคนต่อยตีกันก็มี
หรือกระทั่งเสียงคนร่ายกวี ก็ยังแว่วดังอยู่ไม่ขาด
เมื่อตั้งใจฟังก็จะได้ยินเสียงพิณจังหวะกระชั้นดังปะปนอยู่กับเสียงอื่นๆ
ถนนที่ทอดยาวนี้เมื่อเดินไปเรื่อยๆ ก็จะพบแม่น้ำ
เสียงแม่น้ำไหลรินดังขึ้นไม่ขาด มองไปก็ยังเห็นเรือล่องกันอยู่อีกหลายลำ
บนเรือยังมีแม่นางหน้าตางดงามมากมายยืนกวักมืออยู่
ยามที่พวกนางโบกพัดกลมในมือ กลิ่นหอมบนกายก็พลอยโชยมาตามลม
เมื่อเดินทางต่อไปอีกสักครู่ ทิวทัศน์ของแม่น้ำก็หายไป
ถนนก็เปลี่ยนเป็กว้างขึ้น ทั้งสองด้านเรียงรายไปด้วยเรือนหลังโต
หน้าประตูเรือนเ่าั้ยังมีสิงโตสองตัววางประดับไว้
เสียงะโเรียกของพ่อค้าก็ค่อยๆ เบาลง
ทำให้รู้สึกว่าที่นี่น่าเกรงขามอย่างบอกไม่ถูก
ทั้งขั้นบันไดของบางเรือนยังสร้างขึ้นจากหยกทั้งหมด
ขบวนของพวกเขาเคลื่อนผ่านสถานที่ที่เข้มขลังเ่าั้แล้ว ในที่สุดก็มาถึงประตูวังหลวง
ด้านในยังเป็สถานที่ที่เหล่าขุนนางต้องมาเข้าประชุมกันทุกเช้า
ถนนเส้นยาวที่ทอดเข้าไปสู่วังหลวง ทั้งสองด้านยังมีเหล่าทหารสวมชุดเกราะยืนอยู่
หน้าตาของพวกเขาเป็เช่นไรก็ล้วนมองเห็นได้ไม่ชัดเจน
นอกจากทหารที่ยืนคุ้มกันเ่าั้แล้ว ถนนเส้นนั้นก็มีเพียงความว่างเปล่า
ปลายทางสายนั้นเห็นเป็วังหลวงตั้งตระหง่าน
ความโอ่อ่าวิจิตรชวนให้คนรู้สึกครั่นคร้ามขึ้นมา
เฉินโย่วที่ยังพิงหน้าต่างชมวิวอยู่
มองวังหลวงด้วยแววตาซื่อๆ
ก่อนจะหันมากล่าวกับน้าหลัวของนาง “น้าหลัว ด้านในคือที่ใดกัน ข้ารู้สึกเหมือนจะเคยเห็นมาก่อน”
เมื่อแม่นางหลัวได้ยินเช่นนั้น ก็รีบให้เสี่ยวเถาปลดม่านลง
ไม่อนุญาตให้เฉินโย่วชมวิวต่ออีก
เฉินโย่วเป็เพียงเด็กที่เติบโตกลางทุ่งหญ้า จะเคยเห็นวังหลวงได้อย่างไร
ทว่าเมื่อมองท่าทางของราชครู ผนวกกับเื่ที่นางเคยกล่าวว่าแม่นางหลานอวี้หน้าเหมือนมารดาของนาง
ทันใดหลัวอู๋เลี่ยงก็ราวกับมีสายฟ้าฟาดลงมา นางพอจะเข้าใจเื่นี้ขึ้นมาแล้ว
ไม่แปลกใจว่าไฉนท่านราชครูจึงกล่าวว่าหากเฉินโย่วกลับมาที่นี่แล้วจะมีโอกาสได้เติบโต
“ที่นั่นคือวังหลวง ต่อไปเ้าไม่อาจพูดเช่นนี้ได้อีก แคว้นเชินมีกฎเกณฑ์มากมาย หากเ้ายังกล่าวเช่นนี้แล้วใครมาได้ยินเข้าจะไม่ดีเอา” แม่นางหลัวอธิบายให้เด็กหญิงฟังอย่างเคร่งเครียด
เฉินโย่วได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าเป็สัญญาณว่าเข้าใจแล้ว
ยามที่พบเจอกับเื่สำคัญ เฉินโย่วก็นับว่ารู้ความนัก
ทว่านางกลับรู้สึกว่าคุ้นเคยกับที่แห่งนั้นจริงๆ
กระทั่งมีความรู้สึกสนิทสนมกับที่แห่งนั้นด้วยซ้ำ
ราวกับที่นั่นคือบ้านของนาง
……
หลังกำแพงวังยังมีพุ่มดอกไม้สีสันสดใสมากมาย
่นี้บรรยากาศในวังทั้งตึงเครียดทั้งแปลกประหลาด
ครรภ์ของพระสนมเอกเล่อก็มีแต่จะใหญ่ขึ้นทุกวัน เห็นได้ชัดว่าไม่อาจปรนนิบัติฮ่องเต้ได้อีก ทว่าฮ่องเต้นอกจากจะเสด็จไปหาพระสนมเอกเล่อแล้ว ส่วนใหญ่ก็ใช้เวลาอยู่ที่ตำหนักของฮองเฮาราวกับว่าพระสนมคนอื่นๆ ล้วนแต่ไม่มีตัวตนอีกต่อไป
ดังนั้นพระสนมเล่อจึงเป็เป้าให้เหล่าสนมคนอื่นๆ โจมตี
หากว่าตำแหน่งของนางสูงส่งมาั้แ่แรกก็แล้วไปเถิด ทว่าสนมเล็กๆ ที่ไม่มีเื้ัอะไรเช่นนาง มีสิทธิ์อันใดที่จะได้รับตำแหน่งนี้กัน
สถานการณ์ในวังหลวง แม้เบื้องหน้าจะดูสุขสงบดี แต่ความจริงแล้วราวกับคลื่นใต้น้ำที่โหมซัดอยู่ภายใต้ผิวน้ำที่นิ่งสงบ
กระทั่งเื่ที่องค์หญิงน้อยสูญเสียความโปรดปรานจากฝ่าา ก็เริ่มร่ำลือกันหนาหู
ทว่าองค์หญิงน้อยราวกับไม่ได้สังเกตเห็นเื่นี้ ทุกวันยังคงทำเครื่องหอมของตนอย่างมีความสุข ทั้งที่เมื่อก่อนไม่ว่ามีเื่ใด ก็เพียงแต่บัญชาให้นางกำนัลไปทำ
ทว่าการทำเครื่องหอมครานี้ องค์หญิงกลับลงมือทำด้วยพระองค์เอง
มีคราหนึ่งที่นางใช้ดอกไม้ชนิดหนึ่งจากสวนอวี้แล้วไม่ระวัง จึงทำให้สุนัขที่เลี้ยงไว้ถูกพิษจนตาย
ทว่าเื่นี้ก็เป็ความลับในวังหลวงที่รู้กันเพียงไม่กี่คน แต่ถึงกระนั้นสำหรับคนที่มีใจอยากจะรู้แล้วก็นับว่าไม่ใช่เื่ราวที่สืบเสาะยากเย็นอะไร
ดั่งพระสนมหรงที่สูญเสียความโปรดปรานไปจึงได้สนับสนุนให้พระสนมมู่ ผู้เชี่ยวชาญด้านการดนตรีส่งดอกไม้ชนิดนี้ไปให้กับพระสนมเอกเล่อ
ทว่าพระสนมเอกเล่อระวังตัวยิ่ง
จึงไม่ได้วางดอกไม้ที่พระสนมมู่ส่งมาไว้ข้างกาย
เื่นี้ราวกับว่าเป็เื่ปกติธรรมดา จึงไม่มีใครใส่ใจนัก
ทว่าบัดนี้องค์หญิงได้ลงมือปรุงน้ำหอมสำเร็จแล้ว
เพียงแต่เด็กหญิงมักจะรู้สึกว่าจิตใจของตนไม่ค่อยจะสงบนัก ทั้งยังรู้สึกไม่ใคร่จะสบายเท่าใด
ราวกับว่ามีเื่หนึ่งคอยรบกวนจิตใจอยู่ตลอด
ยังดีที่อย่างน้อยนางก็ปรุงน้ำหอมสำเร็จแล้ว
น้ำหอมนี้มีทั้งกลิ่นต้น กลิ่นกลาง และกลิ่นท้าย ทั้งสามกลิ่นล้วนให้ความหอมที่แตกต่างกัน
เช่นนี้นางจึงอยากจะจัดงานเลี้ยงเสียหน่อย
งานเลี้ยงที่จะทำให้คุณชายจากแคว้นซีคนนั้นปรากฏตัวอีก
นางจะได้ลองใส่น้ำหอมที่เพิ่งปรุงขึ้นมาสักหน่อย
ทั้งระหว่างเขากับนางยังถือเป็การพบกันอีกครั้ง
เมื่อคิดถึงเื่นี้ใบหน้าน้อยก็พลันแดงซ่าน ใจเต้นโครมคราม แทบจะอดใจนับวันนับคืนรอไม่ไหว
ร่างน้อยะโโลดเต้นไปทั่วทั้งตำหนัก
ยามอยู่ใต้แสงตะวันก็ดูคล้ายกับนกยูงแสนงามที่กำลังรำแพนหาง
นอกหวังหลวง เฉินโย่วน้อยในชุดขาวรวบผมที่เพิ่งจะยาวประบ่าของตนเป็ทรงบัณฑิต ดูแล้วช่างเรียบร้อยสะอาดสะอ้าน
