ั้แ่ทราบข้อดีของป่าเหมยหลิน พวกจุนห่าวก็ไปป่าเหมยหลินล่วงหน้า ป่าเหมยหลินตั้งอยู่ในหุบเขาทางทิศตะวันออกของหมู่บ้านเหมยหลิน หุบเขานั้นมีขนาดใหญ่มาก หุบเขาปกคลุมไปด้วยต้นเหมยเต็มไปหมด จุนห่าวเหลือบมองความเขียวชอุ่มงอกงามที่สุดลูกหูลูกตา ฟังจากที่ชาวบ้านเล่า ป่าเหมยหลินมีประวัติยาวนานกว่าพันปี ดังนั้น ต้นเหมยที่เก่าแก่ที่สุดที่นี่มีอายุมากกว่าหนึ่งพันปีแล้ว
มองดูความเขียวชอุ่มงอกงาม จุนห่าวคิดในใจ ป่าเหมยหลินที่นี่ฝืนกฎแห่งธรรมชาติ ตอนที่ดูใบไม้ที่เขียวชอุ่ม ก็ดูยังไงก็ไม่คล้ายว่าจะผลิบาน ฟังชาวบ้านเล่าว่าต้นเหมยจะเป็เช่นนี้ แต่เมื่อมันผลิบาน ใบไม้จะร่วงหล่นลง กิ่งก้านจะแตกออกอย่างรวดเร็ว จากนั้นดอกเหมยก็จะผลิบานในทันที ซึ่งจะเผยให้เห็นในชั่วพริบตา ดอกเหมยจะเบ่งบานเป็เวลาหนึ่งเดือน หลังจากหนึ่งเดือนดอกเหมยจะร่วงหล่น และต้นเหมยจะกลับมาดังเดิม จากนั้นชาวบ้านจะเก็บกลีบดอกเหมยที่ร่วงหล่นบนพื้นผสมกับหญ้าิญญา กลั่นออกมาเป็เหล้าบ๊วย ได้ยินว่าสูตรการกลั่นเหล้าของที่นี่ได้รับมาจากนางฟ้าที่อาศัยอยู่ในป่าเหมยหลิน ดังนั้นมีเพียงคนในหมู่บ้านเหมยหลินเท่านั้นที่กลั่นเหล้าบ๊วยได้ มีบางคนเอาชนะคนในหมู่บ้านเหมยหลิน และล่วงรู้วิธีกลั่นเหล้า แต่ต่อมาคนเ่าั้ก็กลายเป็คนโง่เลอะเลือน มีเพียงคนหมู่บ้านเหมยหลินเท่านั้นที่ไม่เป็อันใด นานวันเข้า จึงไม่มีใครกล้าล้วงวิธีกลั่นเหล้าอีกต่อไป อันที่จริง ใครจะเต็มใจเป็คนโง่เลอะเลือน เหล้าบ๊วยจึงเป็สินค้าที่มีเฉพาะหมู่บ้านเหมยหลิน และเป็สินค้าที่มีเฉพาะเมืองอวี้หวาโดยอ้อม
จุนห่าวฟังจากชาวบ้านในเวลานั้น ก็แค่ฟังเื่ราว วันนี้ได้เห็นกลับรู้สึกว่าสิ่งที่ชาวบ้านพูดเป็เื่จริง จุนห่าวแอบคิดลับๆ ว่าป่าเหมยหลินแห่งนี้ ต้องมีความลับอะไรซ่อนอยู่แน่ หากมีโอกาส เขาต้องล้วงความลับให้จงได้
หลังจากจุนห่าวมาถึงป่าเหมยหลิน ก็มีผู้คนมากมายมาถึงแล้ว คนส่วนหนึ่งมาเพื่อแสวงหาโอกาส อีกส่วนหนึ่งมาเพื่อชื่นชมทัศนียภาพของดอกเหมย ทว่ามิใช่ทุกคนที่จะอยากใช้โอกาสนี้บุกทะลวง ดังนั้นคนที่มาชื่นชมความงามของดอกเหมยล้วนเป็ลูกผู้ลากมากดีที่กินดื่มสนุกสนาน พวกเขามิได้สนใจการบำเพ็ญเพียรนัก ดังนั้นความลับของป่าเหมยหลิน่หลายปีมานี้ จึงยังไม่ถูกเปิดเผย
จุนห่าวหาสถานที่ที่มีคนไม่กี่คนตั้งเต็นท์ เพราะต้องอยู่ที่นี่เป็เวลาหนึ่งเดือน จุนห่าวจึงตั้งใจตั้งเต็นท์ให้สบายที่สุดเท่าที่จะทำได้
ไม่ไกลจากจุนห่าว ก็มีสองสามเต็นท์ หากจุนห่าวได้เห็น ย่อมรู้จักแน่ มีสองคนที่พวกเขาเคยพบในเมืองซวงหวา คนนึงเป็คนที่บอกว่าเขาบ้านนอก อีกคนคือชายหนุ่มชุดจีนโบราณที่กล่าวขอโทษต่อเขา ครั้งนี้พวกเขามีมากกว่าครั้งก่อนอยู่สามคน รวมทั้งหมดห้าคน ทั้งห้าคนนี้แค่เห็นก็รู้ว่ามิใช่คนธรรมดา ท่าทางโดดเด่น พลังปราณไม่อ่อนแอ ชุดที่สวมใส่มีสีอ่อนๆ ที่ดูงดงาม มิใช่คนธรรมดาจะมีได้
“จั่นเฟย เ้ามาดูเร็ว นั่นคือเ้าคนบ้านนอกที่ข้าพูดถึงครั้งก่อน เพื่อเอาใจภรรยาที่ขี้เหร่ของเขา ใช้เงิน 2,000 ตำลึงซื้อหญ้าธรรมดาต้นหนึ่ง ก็ไม่รู้ว่าคนๆ นี้ใช้อะไรมอง ตัวเองก็ดูดีมีสง่าราศี แต่ดันอยู่กับคนขี้เหร่นั่น วิสัยทัศน์ของคนขี้เหร่ก็อย่างงั้นๆ มองว่าหญ้าธรรมดาเป็สมบัติล้ำค่า ข้าอุตส่าห์มีเจตนาดีบอกพวกเขาว่าถูกหลอก พวกเขาไม่รับน้ำใจด้วยความขอบคุณ ชายคนนั้นยังบอกว่าข้ายุ่งไม่เข้าเื่ หากมิใช่เพราะหรูเฟิงยับยั้งข้า ข้าต้องจัดการพวกมันสักยกแน่” คนที่เยาะเย้ยจุนห่าวเมื่อครั้งก่อน เอ่ยขึ้นพลางชี้ไปทางจุนห่าว พูดจบยังตะคอกในลำคอด้วยความไม่พอใจ พอพูดก็ทำลายท่าทีสง่างามของเขาทันที แค่มองก็รู้ว่าคือนายน้อยที่เหย่อหยิ่งไร้มารยาท
“ไป๋จิ่นอวี้ เ้าลืมที่ครั้งก่อนข้าเตือนเ้าแล้วรึ หากเ้าคุมปากตัวเองมิได้ ข้าจะส่งเ้ากลับไปทันที” หรูเฟิงกล่าวเสียงเข้ม แต่เดิมหรูเฟิงไม่ได้เต็มใจที่จะพาซวงเอ๋อร์...ไป๋จิ่นอวี้ ออกมา ทว่าแม่ของเขาขอร้องไว้ ไป๋จิ่นอวี้คือบุตรซวงเอ๋อร์ของเพื่อนท่านแม่ของหรูเฟิง และเป็ภรรยาซวงเอ๋อร์ที่แม่เลือกให้เขา ครั้งนี้ที่ให้พาไป๋จิ่นอวี้มาด้วย ก็เพื่อให้เขาและไป๋จิ่นอวี้สนิทสนมกันเพิ่มขึ้น เพิ่มความรู้สึกที่ดีต่อกัน แต่เขาไม่ได้ชอบซวงเอ๋อร์อย่างไป๋จิ่นอวี้จริงๆ ทว่า งานแต่งงานของเขายังไงก็ต้องข้องเกี่ยวกับผลประโยชน์ ตระกูลไป๋มีอำนาจไม่น้อย การแต่งงานกับไป๋จิ่นอวี้จะช่วยเขาได้มาก ดังนั้น เขาจึงตกลง นี่คือเื่เศร้าของลูกหลานราชวงศ์
ไป๋จิ่นอวี้คือนายน้อยคนเล็กของตระกูลไป๋...หนึ่งในสี่ของตระกูลใหญ่ในเมืองเย่ว์เซียน ปีนี้อายุ 16 ปี เป็ซวงเอ๋อร์ ขี้โรคั้แ่เด็ก พ่อแม่และพี่ๆ จึงรักเขามาก และเติบโตมากลายเป็คนปากไม่มีหูรูด เป็คนพาลไร้เหตุผลและดื้อรั้นเอาแต่ใจตัวเอง อายุ 6 ขวบเขาได้ทดสอบได้ มีรากิญญาคู่...ไม้และน้ำ บำเพ็ญเพียรได้ดี ผู้หลักผู้ใหญ่ในตระกูลยิ่งเอ็นดูเขา ไป๋จิ่นอวี้ผู้นี้ไม่เพียงบำเพ็ญเพียรได้ดี ยังมีทักษะปรุงยาที่ดี บัดนี้ปรุงยาิญญาอย่างง่ายๆ ได้แล้ว จะบอกว่าเขาเป็อัจฉริยะก็คงไม่เกินไป ยิ่งทำให้เขาเอาแต่ใจมากขึ้น
ส่วนหรูเฟิงคือองค์ชายใหญ่ของจักรวรรดิสุ่ยเย่ว์...สุ่ยเย่ว์หรูเฟิง แม้ว่าเขาจะเป็องค์ชายใหญ่ ทว่าไม่มีสิทธิ์สืบทอดราชบัลลังก์ เพราะแม่ซวงเออร์ของเขาเป็เพียงอนุชายาธรรมดาคนนึงของจักรพรรดิสุ่ยเย่ว์ ยังเทียบไม่ได้กับอนุชายาที่สูงส่ง นี่เป็เื่เศร้าของสุ่ยเย่ว์หรูเฟิง เขาในฐานะบุตรชายคนโตของจักรพรรดิ กลับไม่มีสิทธิ์สืบทอดราชบัลลังก์ แต่ทว่า ยังถูกคนอิจฉา เขาไม่โลภต่อบัลลังก์ แต่การดำรงอยู่ของเขาเหมือนหนามที่คอขององค์ชายสาม ทำให้องค์ชายสามไม่สบายใจอยู่เสมอ สุ่ยเย่ว์หรูเฟิงออกจากวังั้แ่อายุ 6 ขวบ และกลายเป็ศิษย์ของสำนักชิ่งหวา ดังนั้นการต่อสู้เพื่อ่ชิงอำนาจในวัง เขาไม่ได้ให้สนใจนัก เขามุ่งแต่จะเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเอง แต่แม่ของเขามิได้คิดเช่นนั้น เขายังคงแอบคิดเื่อำนาจอยู่ตลอด สุ่ยเย่ว์หรูเฟิงบอกแม่ของเขาหลายต่อหลายครั้วว่า ไม่เขาสนใจบัลลังก์ แต่แม่ของเขาไม่ฟัง สุ่ยเย่ว์หรูเฟิงคิดว่าความทะเยอทะยานของเขา มิใช่อยู่บนแผ่นดินชางหลานนี้ ดังนั้นเขาจึงลิขิตแล้วว่าจะทำให้แม่ของเขาผิดหวัง
ตอนที่หรูเฟิงตำหนิไป๋จิ่นอวี้ จั่นเฟิงและชายหนุ่มอีกสองคนก็มองไปทางที่ไป๋จิ่นอวี้ชี้ พวกเขาสนใจที่ไป๋จิ่นอวี้พวกถึงคนน้านนอก พวกเขาต่างรู้ว่าไป๋จิ่นอวี้คือเย้าซือ รอบรู้เกี่ยวกับหญ้าิญญาอยู่บ้าง ดังนั้นเขาคิดว่าที่ไป๋จิ่นอวี้บอกว่าหญ้านั้นเป็วัชพืชคงไม่ผิด สายตาของพวกเขาจ้องมอง พลันสบตากับสายตาของจุนห่าว คนเ่าั้จึงใ รีบหันขวับกลับมาทันที พลางนำสายตาของเขากลับคืน ต่างแอบคิดว่า สายตาของคนๆ นี้ก้าวร้าวยิ่งนัก มองแวบแรกก็รู้ว่าคือคนโเี้ มิใช่คนที่จะรังควานได้ง่าย
ทันทีที่พวกเขาถอนสายตา ก็ได้ยินไป๋จิ่นอวี้ต่อว่าสุ่ยเย่ว์หรูเฟิงว่า “สุ่ยเย่ว์หรูเฟิง เ้าดุข้าอีกแล้วรึ กลับจวนไปข้าจะฟ้องท่านแม่แน่ ฮึ” ไป๋จิ่นอวี้ถูกตระกูลโอ๋จนเสียคน ฟังสุ่ยเย่ว์หรูเฟิงตำหนิไม่พอใจยิ่งนัก แม้ว่าสุ่ยเย่ว์หรูเฟิงจะเป็องค์ชายใหญ่ ทว่าไป๋จิ่นอวี้ไม่ได้เห็นเขาอยู่ในสายตา ชายที่เขาหมายปองก็คือองค์ชายสาม...สุ่ยเย่ว์หรูหวา หากมิใช่เพราะแม่ของเขาพยายามบังคับให้เขาและสุ่ยเย่ว์หรูเฟิงได้อยู่ด้วยกัน และบอกเกี่ยวกับข้อดีของป่าเหมยหลิน เขาคงไม่มาดูดอกเหมยอะไรนี่ในที่ห่างไกลเช่นนี้
ได้ฟังคำพูดของไป๋จิ่นอวี้ ทั้งสามคนดึงสายตากลับมา ต่างกลั้นยิ้มให้กับสุ่ยเย่ว์หรูเฟิง ด้วยใบกรุ้มกริ่มที่คิดว่าเขาช่างโชคร้าย
สามคนนี้คือหยุนจั่นเฟยแห่งตระกูลหยุน หานเฟิงจากตระกูลหาน เพื่อนร่วมเดินทางอีกคนคือจินเหลียงเจิ้น พวกเขาสามคนกับสุ่ยเย่ว์หรูเฟิง รวมถึงไป๋จิ่นอวี้ เป็ศิษย์ในสำนักชิ่งหวา พวกเขาสี่คนเข้าสำนักมาด้วยกัน อายุเท่ากัน นอกจากจินเหลียงเจิ้น พวกเขาสามคนล้วนมาจากตระกูลใหญ่ของเมืองเย่ว์เซียน ก่อนที่พวกเขาจะเข้าสำนัก ต่างรู้จักกันมาก่อน ดังนั้นคนเหล่านี้จึงกลายเป็เพื่อนรักกัน ความพัวพันระหว่างตระกูลก็มิได้ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา
เห็นท่าทางกรุ้มกริ่มที่คิดว่าเขาช่างโชคร้าย สุ่ยเย่ว์หรูเฟิงพูดไม่ออก เขาไม่เข้าใจเื่รักๆ ใคร่ๆ อะไรอยู่แล้ว ได้พบไป๋จิ่นอวี้ที่เป็เช่นนี้เขาก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร “เ้าจะฟ้องก็ฟ้องเถอะ” สุ่ยเย่ว์หรูเฟิงพูดอย่างไม่แยแส แต่เดิมพวกเขาอยากเห็นท่าทางออดอ้อนขอสุ่ยเย่ว์หรูเฟิง ได้ฟังประโยคนี้ เป็อย่างที่คิดไว้ หากสุ่ยเย่ว์หรูเฟิงอดอ้อนใครเป็ คงเมื่อตอนดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกละมั้ง
“เ้า...เ้ารอดูข้า กลับไปข้าจะฟ้องท่านแม่ว่าเ้ารังแกข้า ให้พวกเขาขจัดความคิดเื่ให้ข้าแต่งงานกับเ้า” ไป๋จิ่นอวี้พูดอย่างแค้นเคือง กล่าวจบก็สะบัดตัวหันกลับไปเต้นท์ของตัวเอง เมื่อเขามาถึงเต็นท์ เขาโยนข้าวของ ก่อนจะนั่งลงอย่างไม่พอใจ
“เ้าปฎิบัติต่อเขาเช่นนี้ไม่ดีนะ” หานเฟิงเอ่ยกับสุ่ยเย่ว์หรูเฟิง องค์ชายสามพร้ะคลุบดั่งพญาเสือ สุ่ยเย่ว์หรูเฟิงตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่ากังวล ชาติกำเนิดของท่านแม่ของสุ่ยเย่ว์หรูเฟิงนั้นเป็เพียงสามัญชน หากได้รับการสนับสนุนจากตระกูลไป๋ ฐานะของสุ่ยเย่ว์หรูเฟิงย่อมดีขึ้น
“ไม่เป็ไร ตระกูลของเ้าและเ้าสามผิดใจกัน แรงกดดันของข้าก็น้อยลง เ้าสามไม่มีเวลามาหาเื่ข้าหรอก ได้ยินว่าบัดนี้เขาตั้งใจแต่งงานกับหญิงพลเรือนในฐานะจักรพรรดินี จักรพรรดิและพระมารดาของเขาไม่เห็นด้วย ตอนนี้กำลังวุ่นวาย” สุ่ยเย่ว์หรูเฟิงรู้ว่าเพื่อนของเขากังวลอันใด บัดนี้ตระกูลหานและเ้าสามผิดใจกัน ถือเป็เื่ดีสำหรับเขา หานเฟิงไม่ต้องทำตัวไม่ถูก เพราะก่อนนี้ตระกูลจะสนับสนุนองค์ชายสาม
“หรูเฟิงปฎิบัติต่อไป๋จิ่นอวี้เช่นนี้ เ้าควรดีใจมิใช่หรือ?” จินเหลียงเจิ้นพูดล้อหานเฟิง หานเฟิงชอบสุ่ยเย่ว์หรูเฟิง นอกจากตัวสุ่ยเย่ว์หรูเฟิงที่ไม่รู้ พวกเขาต่างรู้กันหมด พวกเขามักมองว่าหานเฟิงเป็บุรุษ คิดไม่ถึงว่าแท้จริงแล้วเขาเป็ซวงเอ๋อร์ หากมิใช่เพราะหานเฟิงดื่มจนเมามายและพูดเื่ตัวเองออกมา พวกเขาคงมองไม่ออกจริงๆ ว่าหานเฟิงคือซวงเอ๋อร์ ทั้งสูงกว่าและมีใบหบ้าที่เป็บุรุษมากกว่าพวกเขา ซ้ำยังต่อสู้ได้ดุดันกว่าพวกเขาเสียอีก
ซวงเอ๋อร์บนแผ่นดินชางหลานจะมีสัญลักษณ์รูปพระจันทร์เสี้ยว คนส่วนใหญ่จะปรากฏตรงหว่างคิ้ว ใครเห็นก็รู้ได้ทันที หานรุ่ยก็มีตรงหว่างคิ้วเช่นกัน ดังนั้นถึงแม้ว่าภายนอกเขาจะดูเป็บุรุษมาก ทว่าคนอื่นก็รู้ว่าเขาคือซวงเอ๋อร์ แต่สัญลักษณ์รูปพระจันทร์เสี้ยวของหานเฟิงขึ้นตรงหน้าอก ตระกูลหานก็ไม่ได้วางแผนให้เขาแต่งออกไปกับใคร แต่วางแผนให้เขาหาภรรยามาแต่งด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เปิดเผยเื่ที่เขาเป็ซวงเอ๋อร์ ตระกูลหานมีความลับที่คนอื่นไม่ล่วงรู้ ก็คือซวงเอ๋อร์ของตระกูลหานส่วนใหญ่จะมีหน้าตาเหมือนบุรุษ รวมทั้งสัญลักษณ์รูปพระจันทร์เสี้ยวจะอยู่ตรงหน้าอก ดังนั้นพวกเขาจะเดิมตามทางแนวทางของบุรุษ เป็สาเหตุที่ครอบครัวหานมีซวงเอ๋อร์น้อยลง
“อย่าพูดไร้สาระ ข้าดีใจอะไร” หานเฟิงกล่าวจบพลางมองสุ่ยเยาว์หรูเฟิง เห็นสุ่ยเย่ว์หรูเฟิงมีสีหน้าเป็ปกติ หานเฟิงถอนหายใจ เขารู้สึกเศร้าเล็กน้อย จริงๆ แล้วครั้งนั้นที่หานเฟิงเมามายเกิดจากความตั้งใจ ที่จะพูดเื่ซวงเอ๋อร์ของตนเองออกไป เพราะเขาชอบสุ่ยเย่ว์หรูเฟิง ไม่อยากเป็เพียงเพื่อนกับเขา แต่้าเป็คนรักของเขา
สุ่ยเย่ว์หรูเฟิงมิได้ไม่รู้สึกรู้สาอย่างที่แสดงออก เขารับรู้ความรู้สึกของหานเฟิงแต่แรก แต่เขามิได้คิดต่อหานเฟิงเช่นนั้น ก็ไม่แน่... แค่เขาไม่อยากให้หานเฟิงเข้ามาพัวพันกับการต่อสู้แย่งชิงอำนาจ ไม่อยากทำให้หานเฟิงและตระกูลต้องลำบากใจ แม้ว่าบัดนี้ตระกูลหานจะตัดขาดกับราชวงค์ ทว่าคงไม่อาจสนับสนุนองค์ชายที่ไร้อำนาจไร้กำลังเช่นเขา อย่างที่แม่ของเขาพร่ำบอกอยู่ตลอด หากสักวันเขาขจัดสระน้ำวนนี้ได้ เขาจะตามจีบหานเฟิง ตราบใดที่เขาไม่ถอดใจเขาเสียก่อน ฉะนั้นเวลานี้เขาทำได้เพียงแสร้งไม่รู้ และทำให้เพื่อนๆ คิดว่าเขาไม่เข้าใจเื่รักๆ ใคร่ๆ อีกอย่าง บัดนี้ยังมีไป๋จิ่นอวี้อีก ซึ่งยัง้าให้เขาแก้ปัญหา
พฤติกรรมของหานเฟิง หยุนจั่นเฟยเก็บไว้ในสายตา ทว่าทั้งสองคนเป็เพื่อนกัน เขาไม่รู้ว่าจะพูดยังไง ทั้งมีผลประโยชน์ของตระกูลพัวพัน หยุนจั่นเฟยพูดกับหานเฟิงว่า “ฟังท่านลุงเล็กบอกว่า หานรุ่ย น้องห้าของเ้าฟื้นตัวแล้ว ก่อนนี้ยังไปคฤหาสน์ของเขาครั้งหนึ่ง”
“มีเื่นี้ด้วยรึ เหตุใดข้าถึงไม่รู้ ท่านปู่และท่านพ่อมิได้บอกข้า” หานเฟิงพูดด้วยความประหลาดใจ หานเฟิงออกจากตระกูลั้แ่อายุ 6 ขวบ หานรุ่ยเพิ่งจะอายุไม่กี่เดือน หานเฟิงจากไป 10 ปี จากนั้น 10 ปีต่อมา หานเฟิงกลับตระกูลครั้งหนึ่ง ก็พลาดกับหานรุ่ย ดังนั้น เขาจึงไม่รู้ว่าหานรุ่ยหน้าตาเป็อย่างไร เื่ราวของหานรุ่ยก็ทราบเมื่อครั้นท่านปูมอบหมายให้เขาหายาให้หานรุ่ย น่าเสียดายที่สำนักชิ่งหวาก็ไม่มียาิญญาหรือยาวิเศษที่รักษาอาการาเ็นั้นได้
“บางที แม้แต่ท่านปู่ของเ้าก็ไม่ทราบ! ได้ยินท่านลุงเล็กเล่าว่า สามปีก่อน ท่านปู่ของเ้าพาหานรุ่ยไปส่งอย่างลับๆ ไปส่งที่ใดก็ไม่มีใครทราบ ทั้งเขายังแต่งงาน ได้ยินว่าชายคนนั้นเป็บุคคลที่มากความสามารถ พลังปราณก็ไม่เลวทีเดียว ซ้ำยังให้กำเนิดบุตรซวงเอ๋อร์สองคน ชายคนนั้นก็คือคนของตระกูลจุนแห่งเมืองอวี้หวา นามว่าจุนห่าว เมื่อสามปีก่อน ท่านปู่ของเ้าอาจจะให้หานรุ่ยแต่งงานกับจุนห่าวอย่างลับๆ บัดนี้เขาดีขึ้นแล้ว ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงไม่บอกท่านปู่ของเ้า” หยุนจั่นเฟยเล่าข่าวคราวที่ได้ยินมากับหานเฟิง ที่เขาได้ยินมามิได้มีเท่านี้ เพียงแต่เป็ความลับของท่านลุงเล็ก เขาจึงไม่อยากบอกคนอื่น
“ดูเหมือนว่าท่านปู่ได้ทำร้ายจิตใจหานรุ่ยเสียแล้ว ดังนั้นเมื่อหานรุ่ยดีขึ้นจึงไม่บอกครอบครัวเกี่ยวกับสถานการณ์ของเขา” หานเฟิงกล่าว ได้ฟังคำพูดของหานเฟิง ทุกคนต่างเงียบสงัด หากพวกเขาต้องเจอสถานการณ์เช่นเดียวกับหานรุ่ย เดาว่าคงตัดขาดจากตระกูลเช่นกัน
