หลังจากที่เดินแยกออกมาได้สักระยะหนึ่ง หนิงอ้ายยังคงรู้สึกได้ถึงสายตาของอีกฝ่ายที่มองตามหลังของเขามาอย่างไม่ลดละ ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มจะััไม่ได้ถึงความมุ่งร้ายของอีกฝ่ายได้เลยก็ตาม หากกล่าวตามความจริงคือพลังจิตของหนิงอ้ายนั้นไม่สามารถััได้ถึงคลื่นอารมณ์หรือความนึกคิดของอีกฝ่ายได้เลยแม้เเต่น้อย
นั่นหมายความว่าหากอีกฝ่ายไม่ได้ของวิเศษระดับสูงที่สามารถป้องกันการรุกล้ำเหล่านี้ได้ เช่นนั้นเเล้วชายหนุ่มคงมีจิตที่กล้าเเข็งที่มากเพียงพอจึงทำให้เนตรแห่ง์ของหนิงอ้ายนั้นไม่สามารถล่วงรู้ได้ถึงอารมณ์หรือความนึกคิดของอีกฝ่ายได้นั่นเอง
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้หนิงอ้ายรู้สึกหงุดหงิดและรำคานใจอยู่บ้างเช่นกัน ด้วยเพราะว่าเนตรแห่ง์ของเขานั้นมีการพัฒนาเพิ่มขึ้นจากเดิมอยู่หลายเท่า อีกทั้งยังสามารถพลิกเเพลงนำมาใช้ได้อย่างหลายหลายดั่งใจนึกคิด หนิงอ้ายมักจะใช้ทั้งสัญชาติญาณ ไหวพริบควบคู่กันอยู่เสมอ เผื่อว่าหากสิ่งใดเกิดขึ้นเขาจะได้รับมือได้อย่างทันท่วงทีและมีแผนสำรองเพื่อที่จะทำให้ตนไม่เป็ฝ่ายที่เพลี้ยงพล้ำ
เหตุการณ์ต่าง ๆ หรือสิ่งที่ได้เกิดขึ้น หากว่าอยู่นอกเหนือการควบคุมหรือการรับรู้ที่เขาสามารถคาดเดาได้เเต่ครั้งเเรกมักจะทำให้เด็กหนุ่มนั้นรู้สึกไม่สบายใจสักเท่าไหร่ อย่างเช่นในตอนนี้ที่หนิงอ้ายนั้นไม่สามารถล่วงรู้สิ่งอื่นเพิ่มเติมที่เกี่ยวกับศิษย์พี่ตงหยางคนนี้ได้อย่างแน่ชัดนั้นจึงทำให้เด็กหนุ่มมีอคติและตั้งกำแพงในใจกับอีกฝ่ายไปมากเลยทีเดียว…
จากนั้นอีกหนึ่งเค่อหนิงอ้ายก็เดินมาถึงซุ้มประตูทางเข้าของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาเเล้ว ตลอดเส้นทางเดินจากตลาดนั้นได้มีกลุ่มศิษย์สายใน ศิษย์สายนอกชายหญิงที่ต่างมองมายังเด็กหนุ่มด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย บ้างก็ชี้นิ้วด้วยความตื่นเต้น บ้างก็กระซิบกระซาบพูดคุยกัน ซึ่งเสียงนั้นดังพอที่จะทำเขาได้ยินรับรู้ได้ว่าเื่ราวในตลาดที่เขาได้ต่อปากกับเฉินหลานในตอนนี้เป็ที่รับรู้กันไปทั่วทั้งสำนักศึกษาเเล้ว
เเต่ถึงอย่างไรก็ตามเเต่หนิงอ้ายก็ไม่ได้สนใจสักเท่าไหร่นักเพราะไม่ว่าจะเป็ผู้คนในยุคสมัยใดการซุบซิบนินทามักจะเกิดขึ้นอยู่เสมอไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้อยู่เเล้วเด็กหนุ่มจึงปล่อยผ่านในเื่นี้ไปได้อย่างง่ายดายไม่คิดมาก
ทว่ากลับมีสิ่งที่รบกวนเขาอยู่ตอนนี้ นั่นคือการเห็นชายหนุ่มผู้เป็ว่าที่เ้าสำนักคนต่อไปที่กำลังเดินตามมาอยู่ไปไม่ไกล้ไม่ไกลสักเท่าไหร่ ตลอดทางเดินนั้นอีกฝ่ายได้พูดคุยกับศิษย์สายใน ศิษย์สายนอกเหล่านี้ที่ทักทายทำความเคารพตนด้วยท่าทางสุภาพอ่อนโยนสมกับฐานะของอีกฝ่าย เมื่อรวมกับความสูงของชายหนุ่มที่คาดว่าน่าจะมากถึงร้อยเก้าสิบบวกกับหน้าตาที่หล่อเหลาชวนให้หลงไหลได้อย่างง่ายดายนั้น
สามารถพิสูจน์ได้จากสายตาของเหล่าสตรีที่มองอีกฝ่ายด้วยสายตาหยาดเยิ้ม นั่นจึงทำให้หนิงอ้ายที่เห็นท่าทางเ่าั้จึงรู้สึกว่าอีกฝ่ายช่างเสแสร้งจอมปลอมชวนให้รู้สึกหมั่นไส้เสียจริง ไม่นับรวมไปถึงสายตาที่มองมาทางเขาพร้อมกับรอยยิ้มที่ส่งมานั่นคืออะไรกัน ยิ่งเห็นอีกฝ่ายนานเท่าไหร่หนิงอ้ายยิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากเท่านั้น แม้ว่าภายนอกเด็กหนุ่มจะยังคงไว้ซึ่งใบหน้านิ่งสงบก็ตาม ก่อนที่หนิงอ้ายจะเลิกสนใจเ้าศิษย์พี่บ้าคนนี้ก่อนที่จะก้าวเท้าเข้าประตูตำหนักของตนด้วยความรวดเร็วชวนให้รู้สึกขบขันในสายตาของชายหนุ่มที่มองอยู่อย่างไม่คลาดสายตา…
ทางฝั่งของตงหยางที่เดินตามมาส่งร่างบางที่ตอนนี้ได้ยืนอยู่ไปไม่ไกลนั้น เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มได้หายเข้าไปในตำหนักของตนเเล้ว ชายหนุ่มจึงเอ่ยลากับเหล่าศิษย์ร่วมสำนักชายหญิงที่อยู่รายล้อมตนด้วยท่าทางเสียดาย ก่อนที่จะออกปากกับทุกคนในที่นี้ว่าหากมีโอกาสในครั้งหน้าสามารถเข้ามาพูดคุยทักทายกับตนได้เสมอ
ก่อนที่ตงหยางจะขอเเยกตัวไปหาท่านเ้าสำนักตามที่ได้นัดหมายกันไว้ก่อนหน้า เพียงเเค่ร่างกายอันสูงใหญ่ของชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของบุรุษเพศได้หายไปจากครรลองสายตาของทุกคนเเล้วนั้น เสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นอย่างแ่เบาได้ดังขึ้นจากสตรีกลุ่มนี้ ที่ต่างพูดคุยถึงศิษย์พี่ท่านนี้ด้วยความหลงไหล บ้างก็มีความเห็นที่ตรงกันว่าก่อนหน้านี้ศิษย์พี่ตงหยางถือว่าเป็คนที่พูดน้อยและเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่ไม่น่าเข้าใกล้สักเท่าไหร่นัก
หลังจากภารกิจในครั้งนั้นที่อีกฝ่ายได้รับการมอบหมายของท่านเ้าสำนักเมื่อราว ๆ หนึ่งปีที่ผ่านมาหลังจากที่อีกฝ่ายกลับมาถึงสำนักศึกษาหลังจากที่เสร็จสิ้นภารกิจ สิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจนั่นคือท่าทางเ็าและนิสัยที่ไม่น่าเข้าหาของอีกฝ่ายในก่อนหน้านั้นต่างหายไปสิ้นเหมือนกับว่ามีบางสิ่งอย่างที่น่าดึงดูดน่าเข้าหามากยิ่งขึ้นหลายเท่า
ใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่ายจากเดิมที่เต็มไปด้วยความเ็า แม้ว่าจะเป็รอยยิ้มเพียงเล็กน้อยก็ส่งเสริมให้อีกฝ่ายนั้นหล่อเหลามากขึ้น รวมไปถึงท่าทางที่ไม่ถือตัวเช่นเดิมของชายหนุ่มได้ส่งเสริมให้ภาพลักษณ์ของอีกฝ่ายไม่ต่างไปจากบุรุษในฝันที่เพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติที่ครบถ้วนหาได้ยากยิ่ง อีกทั้งตำแหน่งว่าที่เ้าสำนักคนต่อไปนั้นช่างเป็สิ่งที่ต่างดึงดูดให้ทุกคนเข้าหาอีกฝ่ายด้วยจุดประสงค์ที่หลากหลายอย่างเเท้จริง
เมื่อเข้ามาในเขตของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาเเล้ว อาจจะด้วยเพราะปราณฟ้าดินบริสุทธิ์ที่ไหลเวียนโดยรอบจึงทำให้ร่างกายของหนิงอ้ายที่ถูกเคี่ยวกรำอย่างยิ่งยวดด้วยเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาจึงทำให้ร่างกายของเด็กหนุ่มสามารถชักนำลมปราณบริสุทธิ์เหล่านี้เข้าสู่ร่างกายของตนด้วยความรวดเร็วแม้จะไม่ต้องสั่งการก็ถาม ถึงแม้ว่าจะมีความเร็วที่ค่อนข้างมากก็จริงเเต่ทว่าลมปราณเ่าั้ต่างถูกบีบอีดให้มีความบริสุทธิ์ที่มากเพิ่มขึ้นไปอีกด้วยพลังแห่งสายเืที่ไหลเวียนอยู่ในเด็กหนุ่มนั่นเอง
ก่อนหน้านั้นจากการที่ได้คุยกับท่านผู้เฒ่าในครานั้นที่ทำการปลุกพลังทางสายเืได้สำเร็จ ทำให้หนิงอ้ายได้รับรู้มาเพิ่มเติมว่าสำหรับการยกระดับความเข้มข้นของสายเืนั้นจะเพิ่มขึ้นผันแปรไปตามจำนวนครั้งหลังจากที่ทำการปลุกพลังสายเืได้สำเร็จ
ยุคสมัยรุ่งเรืองเมื่อหลายพันปีก่อนท่านผู้นำตระกูลในสมัยนั้น ถึงกับยกระดับพลังสายเืนี้ได้สูงสุดถึงขั้นต้นกำเนิดซึ่งทำให้ตระกูลหวังอยู่ใน่ที่รุ่งโรจน์ยาวนานหลายพันปีเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าหลังจากพลังแห่งสายเืนี้จะค่อย ๆ เสื่อมถอยมาจนถึงปัจจุบันนี้ สาเหตุท่านผู้เฒ่ายังไม่ได้เอ่ยให้เขาได้รับรู้มากเท่าไหร่นัก เเต่ถึงอย่างไรก็ตามหนิงอ้ายก็จะทุ่มเทด้วยทุกสิ่งนี้เขามีเพื่อที่จะหาคำตอบในเื่นี้ให้จงได้
หนิงอ้ายยังคงเดินสาวเท้ามุ่งตรงไปยังเรือนพักของตนในขณะเดียวกันก็ครุ่นคิดเื่ราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในตอนนี้และสิ่งที่คาดว่าอาจจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า ในขณะที่เด็กหนุ่มกำลังอยู่ในสมาธิของตนนั้นก็มีเสียงดังขึ้นจากทางด้านหลังของตน
''ศิษย์น้องหนิงอ้ายกลับมาแล้วเช่นนั้นรึ? ศิษย์พี่กำลังจะไปหาเ้าที่เรือนพักอยู่พอดี..." ไป๋เหลียนฮวาเอ่ยทักเด็กหนุ่มขึ้นด้วยน้ำเสียงร่าเริง
''ศิษย์พี่ไป๋มีธุระกับข้าหรืออย่างไรขอรับ?'' หนิงอ้ายหันหลังและถามไปด้วยความสงสัย
''ศิษย์พี่จะพาเ้าไปที่อาคารส่วนกลางของตำหนักเรายามเมื่อเ้า้าเบิกสิ่งของทรัพยากรอื่น ๆ ล้วนต้องไปดำเนินการที่นั่น..."
"เ้าตามศิษย์พี่มาเถิดจะได้ไม่เป็การเสียเวลาไปมากกว่านี้..." ไป๋เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นอีกครั้งก่อนที่จะเดินนำเด็กหนุ่มในทันที
"ขอรับศิษย์พี่..." หนิงอ้ายตอบรับคำด้วยความนอบน้อมก่อนที่จะเดินตามศิษย์พี่ของตนไป
ทั้งสองคนได้เดินตรงไปยังส่วนกลางตำหนักที่เป็อาคารส่วนกลางของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา ไป๋เหลียนฮวาได้บอกกับเด็กหนุ่มให้ได้รับรู้ว่าอาคารส่วนกลางหลังนี้นั้นมีผู้าุโนั่งประจำการอยู่สองคน ซึ่งต่างใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึงจุดหมายเสียแล้ว
ตัวอาคารส่วนกลางของตำหนักนี้นั้นยังคงรักษาแบบแผนเหมือนกับทุกสิ่งก่อสร้างที่อยู่ในตำหนักแห่งนี้ นั่นคือการผสมผสานและเป็หนึ่งเดียวกันกับธรรมชาติที่แม้จะดูโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมที่งดงามแปลกตาเเต่ทว่ากลับดูไม่ขัดแย้งซึ่งสามารถใช้คำว่าส่งเสริมได้อย่างพอดีเ เละสำหรับตัวอาคารส่วนกลางนี้นั้นแบ่งออกเป็ทั้งหมดสี่ชั้น แบ่งออกเป็ดังนี้
ชั้นแรกจะเป็พื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ไว้สำหรับการติดต่อประสานงานทั้งคนในตำหนักที่้าเบิกรับทรัพยากรและศิษย์นอกตำหนักที่้าติดต่อหรือไหว้วานเด็กในตำหนักศาสตร์แห่งการรักษานี้ให้ทำภารกิจบางอย่าง ดังนั่นจึงต้องเริ่มต้นจากจุดนี้เป็ลำดับเเรกสำหรับแจ้งวัตถุประสงค์ที่้าและจดบันทึกเป็ลายลักษณ์อักษรที่ชัดเจน
ชั้นที่สองจะเป็ชั้นที่เต็มไปด้วยตำราโอสถไม่ว่าจะเป็ตำรารักษา ตำราที่เกี่ยวกับสมุนไพร ตำราเกี่ยวกับการปรุงโอสถและยังมีตำราอื่น ๆ อีกมากมายที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์แห่งการรักษานี้ ที่ว่ากันว่าตำราเกือบทุกเล่มบนชั้นสองนี้ทั้งหมดนั้นเป็ฝีมือของเหล่าบรรพชนผู้ก่อตั้งตำหนักแห่งนี้ทั้งสิ้นจากรุ่นสู่รุ่น
พวกท่านได้ทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ สติปัญญาในการหารวบรวมข้อมูลต่างๆ สร้างสูตรโอสถอย่างมากมายที่ขึ้นชื่อในโลกยุทพภพ นอกจากนั้นแล้วยิ่งมีตำรา สูตรโอสถในการมากมายเท่าไหร่ นั่นยิ่งหมายความว่าตัวคนนั้นย่อมเป็นักปรุงโอสถระดับสูงที่ควรค่าแก่การยอมรับนับถือ เป็นักปรุงโอสถที่เเท้จริง ด้วยแนวความคิดนี้จึงมีธรรมเนียมที่นักปรุงโอสถยึดถือกันมาอย่างยาวนานกันว่าหากนักปรุงโอสถหากไม่มีตำราโอสถในนั้นก็หาใช่ผู้ปรุงโอสถอย่างเเท้จริง
ชั้นที่สามนั้นจะเต็มไปด้วยโอสถหลากหลายชนิดที่ถูกจัดสรรเเบ่งเป็ประเภทที่ชัดเจน เริ่มต้นจากโอสถระดับต่ำ โอสถระดับกลาง โอสถระดับสูง ซึ่งก็มีฤทธิ์ตั้งเเต่เป็ยาบำรุงธรรมดาจนไปถึงโอสถเฉพาะที่หากถูกจัดวางอยู่ในสายตาของคนภายนอกย่อมเกิดฝนคาวเืเป็แน่ พึงทราบว่าโอสถเหล่านี้นั้นเกือบทั้งหมดที่ถูกเก็บรวบรวมนั้นย่อมมาจากสูตรปรุงโอสถจากเหล่าบรรพชนผู้ก่อตั้งตำหนัก เ้าตำหนักในเเต่ละรุ่นตลอดหลายร้อยหลายพันปีมานี้
แม้กระทั่งจากเหล่าบรรดาสุดยอดหัวกะทิที่เป็ศิษย์ในตำหนักด้วยประการนี้เองจึงทำให้ฤทธิ์ของโอสถที่ถูกทำขึ้นจากตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็ที่ขึ้นชื่อในโลกยุทธภพเป็อย่างมาก เพราะนั่นย่อมการันตรีได้ถึงความเลิศล้ำที่แฝงอยู่ในเม็ดโอสถเหล่านี้นั่นเอง
ชั้นที่สี่หรือชั้นสุดท้ายนั้นได้ถูกสร้างขึ้นเป็ห้องสำหรับการประชุมลับที่สำคัญหรือมีไว้ในการปรุงโอสถต่างๆ ของศิษย์ในตำหนักเเห่งนี้ ด้วยเพราะว่าในการปรุงโอสถที่มีระดับสูงมากเท่าไหร่ ความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ย่อมทวีมากขึ้นเท่านั้นและเมื่อเป็เช่นนี้เเล้วในชั้นที่สี่ของอาคารส่วนกลางนี้จึงถูกจัดสรรไว้สำหรับการปรุงยาระดับสูงของศิษย์ที่้าให้ผู้าุโทั้งสองหรือท่านเ้าตำหนักเหวินหวู่นั้นคอยสังเกตและดูเเลอย่างใกล้ชิดเพื่อขอคำแนะนำโดยตรงอย่างทันท่วงที...
"คำนับเหล่าซุนขอรับ วันนี้ข้าพาศิษย์น้องหนิงอ้ายมารับทรัพยากรบ่มเพาะของเดือนนี้..." ไป๋เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นพร้อมกับประสานมือเคารพผู้าุโชราตรงหน้า พร้อมกับระบายยิ้มที่งดงามออกมา
"ศิษย์น้องท่านนี้คือผู้าุโซุนเกา ท่านเป็หนึ่งในผู้าุโที่ดูแลอาคารส่วนกลางหลังนี้" จากนั้นหญิงสาวได้เอ่ยแนะนำชายชราท่าทางใจดีนี้ให้หนิงอ้ายได้รู้จัก
"คำนับผู้าุโซุนขอรับข้าหนิงอ้ายเป็ศิษย์ใหม่ที่พึ่งเข้าร่วมตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาในปีนี้ ขอฝากตัวด้วยนะขอรับ..." หนิงอ้ายตอบกลับไปพร้อมกับประสานมือเคารพอีกฝ่ายด้วยมารยาทตามที่ผู้เยาว์คนหนึ่งสมควรกระทำ
"คิดไม่ถึงว่าตาเฒ่าเหวินจะเลือกรับศิษย์ใหม่เข้ามาในรอบหลายปีอีกทั้งยังมอบตำแหน่งผู้สืบทอด ด้วยอายุของเ้าหลังจากนี้ไปจงอย่าหลงลืมตัวตนเล่าว่าเ้ามาจากที่ใดและทำเพื่อใคร..." ผู้าุโซุนเอ่ยขึ้นพร้อมกับหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะพูดคุยกับเด็กหนุ่มโดยตรงด้วยคำที่มีความหมายโดยนัย
"ผู้าุโซุนวางใจได้ ตัวข้าหนิงอ้ายจะทำทุกอย่างให้เหมาะสมกับตำแหน่งและภาระหน้าที่ได้รับมาขอรับ..." หนิงอ้ายที่รับรู้ได้ถึงความหมายโดยนัยในถ้อยคำที่ผู้าุโตรงหน้าเอ่ยกับตน เขาจึงตอบกลับไปด้วยความจริงใจ
"เ้าตอบรับคำเช่นนี้ข้าก็สบายใจไปได้ไม่น้อย..." ชายชราเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองเด็กหนุ่มด้วยความสนใจ
เห็นสมควรแก่เวลาเเล้วไป๋เหลียนฮวาได้บอกให้หนิงอ้ายส่งป้ายประจำตัวของตนเพื่อที่จะเบิกสวัสดิการทรัพยากรที่จำเป็ในการพัฒนาบ่มเพาะพลังิญญาที่เพียงพอสำหรับหนึ่งเดือนหลังจากนี้ ซึ่งทางฝั่งของผู้าุโซุนก็กำลังรอป้ายหยกประจำตัวจากเด็กหนุ่มอยู่นั่นเอง
"พวกเ้ารออยู่ตรงนี้สักประเดี๋ยว..." ผู้าุโซุนเอ่ยขึ้นเมื่อได้ป้ายหยกประจำตัวของเด็กหนุ่มมาอยู่ในมือของตนเเล้ว ก่อนที่ตัวคนนั้นจะหายไปทางด้านหลังเพื่อจัดการทรัพยากรบ่มเพาะให้กับหนิงอ้ายตามที่สมควรจะได้รับ
"หากเ้า้ารับภารกิจหรือรับทรัพยากรรายเดือนก็สามารถมาที่นี่ได้ทุกเมื่อ..." ผู้าุโซุนเกาเอ่ยย้ำกับเด็กหนุ่มอีกครั้งก่อนที่จะส่งมอบป้ายหยกประจำตัวให้กับเด็กหนุ่มไป
"ไป๋เหลียนฮวา แล้วพวกของโจวเซินกลับมาแล้วหรือยังเล่า?" เมื่อเสร็จสิ้นหน้าที่ของตนเเล้วชายชราจึงเอ่ยถามสตรีสาวที่อยู่ด้านหน้าของตน
"ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รองน่าจะกลับมาถึงตำหนักของพวกเราในอีกสองถึงสามวันเ้าค่ะ...เหล่าซุนมีเื่อันใดฝากไว้ให้ข้าแจ้งกับเหล่าศิษย์พี่หรือไม่เ้าคะ?" ไป๋เหลียนฮวาสอบถามกลับไป
"ไม่เป็ไร ไม่เป็ไร เดี๋ยวเ้าพวกนั้นก็ต้องมารายงานภารกิจที่นี่อยู่ดี..."
"เช่นนั้นข้าฝากบอกศิษย์พี่และศิษย์น้องของพวกเ้าที่เหลือเเล้วกัน หากมีโอสถมากพอแล้วสามารถนำมาแลกแต้มกับข้าได้" ผู้าุโซุนฝากเื่นี้เพิ่มไปอีกครั้ง
"เ้าค่ะ ข้าจะบอกกับศิษย์พี่ทุกคนให้"
"เช่นนั้นพวกเราทั้งสองคนขอตัวลาแล้วนะเ้าคะ..."
"คำนับเหล่าซุนเ้าค่ะ/คำนับผู้าุโซุนขอรับ" เสียงของไป๋เหลียนฮวากับหนิงอ้ายได้เอ่ยขึ้นพร้อมกัน ก่อนที่ทั้งสองคนนั้นประสานมือคำนับตามมารยาทก่อนที่จะเดินออกมา
"อีกสองวันหลังจากนี้ศิษย์น้องก็ใช้เวลาพักผ่อนเสียเถิด สำหรับอาหารเ้าสามารถไปทานที่โรงครัวในตอนเช้าที่ศิษย์พี่พาไปหรือจะทำกินเองก็ได้เช่นกัน"
"สำหรับน้ำในการใช้ในเเต่ละวันนั้นจะมีศิษย์สายนอกมาคอยเติมเต็มให้โดยการโอนแต้มคะแนนของเ้าให้อีกฝ่ายซึ่งนี่นับว่าเป็หนึ่งในภารกิจเช่นกัน หรือหากเ้าไม่้าเสียแต้มในเื่พวกนี้ก็มีลำธารไหลอยู่ตรงด้านหลังของตำหนักของเราที่อยู่ติดสวนสมุนไพร เ้าสามารถไปตักน้ำที่นั่นได้"
"ศิษย์พี่ไม่รบกวนเวลาเเล้ว หากขาดเหลือสิ่งใดสามารถแจ้งได้ทุกเมื่อ..." ไป๋เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นพร้อมกับแนะนำ กล่าวสำทับเด็กหนุ่มอีกครั้งก่อนที่นางจะเดินแยกตัวกลับไปยังเรือนพักของตนที่อยู่คนละฝั่งกับเรือนพักของหนิงอ้ายนั่นเอง
"เข้าใจแล้วขอรับศิษย์พี่"หนิงอ้ายตอบกลับไปพร้อมกับเผยรอยยิ้มอย่างมีความสุขออกมาเสียไม่ได้
ตอนนี้เขามีอาจารย์ที่น่าเคารพ มีศิษย์พี่ที่เป็ห่วงเอ็นดูและมีสหายที่ดีเช่นนี้ การอยู่ในโลกนี้ก็ไม่แย่เหมือนที่คิด นึกไปแล้วก็คิดถึงท่านเเม่ ท่านตาและท่านยายที่แคว้นเต่าดำเสียจริง เมื่อคิดได้เช่นนั้นเเล้วหนิงอ้ายจึงรีบก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังเรือนพักของตนด้วยตั้งใจว่าจะเขียนจดหมายส่งกลับตระกูลหวัง...
เวลาได้ผันผ่านไปอย่างรวดเร็วก็ถึงยามที่ดวงอาทิตย์ได้ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว ส่งผลให้ทุกสรรพสิ่งตกอยู่ภายใต้ความมืดมิด เเต่ถึงอย่างนั้นด้วยความมหัศจรรย์ของมหาค่ายกลนี้ได้ปรากฎเป็ดวงดาวน้อยใหญ่ที่ทอเเสงเปล่งประกายวิบวับงดงามไปไม่ต่างจากของจริงเสียด้วยซ้ำ…
หลังจากจัดการธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยหนิงอ้ายที่กำลังเขียนจดหมายด้วยความตั้งใจ เเต่ทว่าวิหคสอดแนมได้ส่งรูปภาพบางอย่างมาให้ตนได้รับรู้ทำเอาปากกาขนนกที่กำลังจับเขียนนั้นถึงกับชะงักไปชั่วครู่
"ตำแหน่งเ้าสำนักคนต่อไปคงไม่เหมาะสมกับท่านสักเท่าไหร่นัก รสนิยมปีนหน้าต่างเข้าห้องผู้อื่นในยามวิกาลนั่นช่างน่านับถือเสียจริง ศิษย์พี่ตงหยาง!!!"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้