นับั้แ่เช้าตรู่ เสียงประทัดก็ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย และยังมีเสียงหัวเราะดังแว่วมาเป็ระยะ
กู้เจิงทนอยู่แต่บนเตียงไม่ไหวแล้วจริงๆ นางมองชุนหงที่จ้องนางอย่างเอาเป็เอาตาย ก่อนจะค่อยๆ ยื่นเท้าลงจากเตียง
“ไม่ได้นะเ้าคะ” ชุนหงรีบมาจับเท้าของนางยกกลับขึ้นไปบนเตียงตามเดิม
“นี่ก็ตั้งหลายวันแล้ว ข้าน่าจะเดินได้แล้ว” หลายวันมานี้นางอยู่แต่บนเตียงตลอดเวลา กู้เจิงรู้สึกว่าร่างกายตนเองใกล้จะเป็ง่อยเต็มที “อาการของข้าดีขึ้นมากแล้วด้วย”
“ยังไม่ได้เ้าค่ะ เมื่อก่อนขาของคุณหนูขาวเนียน แต่ตอนนี้ยังบวมแดงอยู่เลย” ชุนหงนึกขึ้นมาก็รู้สึกไม่สบายใจ “ผิวที่ขาของคุณหนู ท่านหมอบอกว่ามีโอกาสสูงที่หนังจะลอกออก ถ้าอยากจะกลับไปมีผิวเรียบเนียนเหมือนแต่ก่อนต้องใช้เวลาหลายเดือนเ้าค่ะ”
กู้เจิงไม่สนใจขาตนเองแม้แต่น้อย ในยุคนี้นางต้องใส่กางเกงข้างใต้กระโปรงอยู่แล้ว ขาของนางจะเป็อย่างไรก็ไม่มีใครสามารถมองเห็นได้ยกเว้นเสิ่นเยี่ยนคนเดียว
พอนึกถึงเสิ่นเยี่ยน กู้เจิงก็นึกขึ้นได้ว่าหลังจากคืนนี้นางก็จะอายุสิบเจ็ดปีเต็มแล้ว นางนึกถึงเื่ร่วมหลับนอนกับเสิ่นเยี่ยน
“คุณหนู เป็อะไรหรือเ้าคะ?” ชุนหงเห็นใบหน้าของกู้เจิงแดงระเรื่ออย่างน่าประหลาด
“ขาข้าเป็เช่นนี้ช่างดูน่าเกลียดจริงๆ” กู้เจิงพึมพำ
“ใช่ไหมล่ะเ้าคะ” ชุนหงถอนหายใจ
“คิดเรื่อยเปื่อยไปไกลแล้ว” กู้เจิงดึงจิตใจที่เตลิดไปกลับมา นางมองชุนหงพร้อมกล่าวว่า “ถึงแม้จะไม่น่ามอง แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการเดินเสียหน่อย อาการบวมก็น้อยลงมากแล้ว การเดินก็ช่วยได้นะ”
“ไม่ได้เ้าค่ะ ต้องหายดีเสียก่อนถึงจะค่อยลุกเดินได้ ไม่อย่างนั้นถ้าซู่เหนียงรู้เข้า จะต้องปวดใจแน่เ้าค่ะ”
“เื่นี้ ต่อให้ตายก็ให้ซู่เหนียงรู้ไม่ได้ เข้าใจไหม?” ั้แ่ตอนที่เกิดเื่มาจนถึงตอนนี้ ซุ่เหนียงไม่รู้อะไรเลย หากนางรู้ว่ากู้เจิงไปพบเจออะไรมา นางจะต้องทำอะไรให้มันยุ่งยากกว่าเดิมแน่ ไม่เพียงแค่ซู่เหนียงที่ไม่รู้เื่ แต่ญาติทางฝั่งสกุลเสิ่นก็ไม่รู้เื่เช่นกัน
“บ่าวทราบแล้วเ้าค่ะ” ชุนหงอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าเสียงของนายหญิงเสิ่นดังขึ้นจากด้านนอกเสียก่อน “ทำไมท่านถึงซื้อประทัดและดอกไม้ไฟมามากมายขนาดนี้”
นายท่านเสิ่นกล่าวตอบว่า “คืนนี้ต้องอยู่ฉลองส่งท้ายปีเก่า ข้าเลยซื้อมาให้ลูกชายและลูกสะใภ้ด้วย”
“พวกเขาไม่ใช่เด็กๆ แล้วที่จะมาเล่นประทัด อีกอย่างเท้าของอาเจิงก็ยังไม่หายดี”
“น่าจะลุกเดินจากเตียงได้แล้วกระมัง”
กู้เจิงที่อยู่ในห้องได้ยินดังนั้นก็รีบเปิดผ้าห่มทำท่าก้าวขาลงจากเตียงด้วยความตื่นเต้น นางพูดกับชุนหงว่า “รีบเอาเสื้อผ้ามาให้ข้าเร็วเข้า ข้าจะไปจุดดอกไม้ไฟเล่น”
“ไม่ได้นะเ้าคะ คุณหนู เท้าของท่าน...”
“เ้าไม่อยากเล่นแน่หรือ?”
ชุนหงอ้าปากค้างแล้วหลับตาลง นางเองก็อยากเหมือนกัน แต่เท้าของคุณหนู นางส่ายหน้า กล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ไม่อยากเ้าค่ะ”
กู้เจิง “...” นางจับมือชุนหงแล้วพูดอย่างน่าสงสาร “แค่ครึ่งชั่วยามเอง ยืนสักครึ่งชั่วยามคงไม่เป็ไร”
ในที่สุดคนที่ยอมประนีประนอมย่อมเป็ชุนหง
เมื่อเสิ่นเยี่ยนกลับมาถึงบ้าน เขาก็ได้เห็นภรรยากำลังนั่งอยู่ที่หน้าประตูบ้าน มีชุนหงกำลังถือเตาถ่านคอยจุดประทัดให้กู้เจิงเล่นสนุก
“คารวะท่านบุตรเขยเ้าค่ะ” ชุนหงรีบทำความเคารพเมื่อหันมาเห็นเสิ่นเยี่ยนกลับมาบ้านแล้ว
“วันส่งท้ายปีเก่า ทางสำนักราชเลขาจึงให้เลิกงานเร็วน่ะ” เสิ่นเยี่ยนตอบเมื่อเห็นสายตาที่ส่งคำถามมาของกู้เจิง
กู้เจิง “...”
หลังจากเล่นประทัดที่พ่อสามีซื้อมาให้จนหมด กู้เจิงถึงได้ยอมกลับเข้าบ้าน
เสิ่นเยี่ยนอุ้มกู้เจิงขึ้นมาแนบอก ชุนหงก็ยกเก้าอี้เดินตามเสิ่นเยี่ยนเข้าประตูมา เมื่อเข้ามาในบ้านทั้งสามคนก็เห็นนายหญิงเสิ่นกำลังตั้งชามอาหารไว้ที่ข้างบ่อน้ำพอดี ส่วนนายท่านเสิ่นก็กำลังจุดเทียนอยู่
“ท่านพ่อท่านแม่ พวกท่านกำลังทำอะไรหรือเ้าคะ?” กู้เจิงถามด้วยความประหลาดใจ
“ขอพรท่านเทพแห่งบ่อน้ำน่ะ ขอให้น้ำในบ่อปีหน้าสะอาดบริสุทธิ์ และที่สำคัญคืออย่าได้แห้งแล้ง” นายหญิงเสิ่นตอบ “อีกเดี๋ยวยังต้องเชิญเทพแห่งเตาไฟ”
กู้เจิงเบิกตาโตอย่างสนใจ ประเพณีของคนในสมัยนี้ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก แม้นางจะไม่ได้เชื่อเื่เทพเ้า แต่นางก็เคารพต่อขนบธรรมเนียมประเพณีของที่นี่
หลังจากทุกคนในตระกูลเสิ่นเซ่นไหว้บรรพบุรุษเสร็จแล้วก็เริ่มกินเลี้ยงกันอย่างเป็ทางการ กู้เจิงเห็นแม่สามีเตรียมเตาถ่านเอาไว้บนโต๊ะนางก็ร้องอุทานอย่างยินดี นายหญิงเสิ่นเอาสันในวัวและหมูสามชั้นที่ตัดแล่เป็ชิ้นบางๆ ออกมา ท้องของกู้เจิงเริ่มร้องโครกคราก อาหารทุกอย่างช่างน่ากินเหลือเกิน
บนโต๊ะมีทั้งไก่ เนื้อเป็ด กุ้งแม่น้ำ และผักสดๆ อีกหลายอย่าง กู้เจิงมองอาหารด้วยตาเป็ประกาย หลังจากทุกคนมานั่งพร้อมหน้ากันที่โต๊ะแล้ว ทุกคนในครอบครัวก็เริ่มลงมือกินอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย
มีเสียงประทัดและดอกไม้ไฟดังขึ้นประปราย
เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะภายในบ้านตระกูลเสิ่นก็ดังไม่ขาดสาย ทุกคนต่างมีความสุขกันมาก
หลังมื้ออาหาร นายหญิงเสิ่นกับชุนหงได้ช่วยกันเก็บล้างจานชาม กู้เจิงที่ยังไม่หายดี จึงทำได้เพียงนั่งอยู่บนเก้าอี้ใต้ระเบียงมองดูนายท่านเสิ่นกับเสิ่นเยี่ยนช่วยกันย้ายชั้นวางของ
“พี่ใหญ่” มีเสียงสดใสะโทักทายมาจากหน้าประตูบ้าน เป็เสียงของกู้เหยา
กู้เจิงหันมอง นางเห็นกู้เหยากำลังเดินเข้ามาในบ้านโดยมีแม่เฒ่าฉินช่วยประคอง
“คุณหนูสี่ ช้าๆ หน่อยเ้าค่ะ เท้ายังไม่หายดีนะเ้าคะ” แม่เฒ่าฉินเตือนกู้เหยาที่ดูจะตื่นเต้นเป็พิเศษ
กู้เหยาไม่สนใจ นางเดินอย่างเร็วที่สุดที่นางจะทำได้ รีบเข้าไปให้ถึงตัวกู้เจิง “พี่ใหญ่ สุขสันต์วันปีใหม่เ้าค่ะ”
“สุขสันต์วันปีใหม่ น้องสี่” กู้เจิงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“ท่านป้าเสิ่น ท่านลุงเสิ่น สุขสันต์วันปีใหม่เ้าค่ะ พี่เขยใหญ่สุขสันต์วันปีใหม่” กู้เหยากล่าวอวยพรกับทุกคนอย่างน่ารัก
สองสามีภรรยาเสิ่นนึกแปลกใจ ปกติกู้เหยาไม่ได้ร่าเริงขนาดนี้ วันนี้นางดูจะแตกต่างเป็พิเศษ
“พี่ใหญ่ เท้าของท่านยังไม่ดีขึ้นอีกหรือเ้าคะ?” กู้เหยานั่งลงข้างๆ กู้เจิง นางเห็นเท้าของกู้เจิงวางอยู่บนเก้าอี้ที่มีเบาะรองฝ้ายนุ่มๆ
“อีกไม่กี่วันก็น่าจะหายแล้ว” วันส่งท้ายปีเก่า มีครอบครัวฝั่งตนมาเยี่ยม กู้เจิงย่อมดีใจ “แล้วเ้าล่ะ? เท้าดีขึ้นแล้วหรือยัง?”
กู้เหยาพยักหน้า “ดีขึ้นมากแล้วเ้าค่ะ ตอนข้าออกมา ซู่เหนียงรู้ว่าข้าจะมาหาท่าน นางก็อยากจะตามมาให้ได้ แต่ถูกพี่รองห้ามไว้เ้าค่ะ”
“ดีที่หยุดไว้ได้”
สองพี่น้องมองหน้ากันยิ้มๆ
“พี่ใหญ่ ขอบคุณนะเ้าคะ” ั้แ่เด็กจนโตกู้เหยาไม่เคยกล่าวขอบคุณใครอย่างจริงใจเหมือนเช่นยามนี้มาก่อน
แม่เฒ่าฉินที่ยืนคอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆ กู้เหยา เมื่อได้ยินคำพูดของกู้เหยานี้ นางก็รู้สึกว่าคุณหนูสี่ของนางได้เติบโตขึ้นแล้ว
“มีอะไรต้องขอบคุณกัน พวกเราเป็พี่น้องกันนะ” กู้เจิงตบมือน้องสาวคนนี้เบาๆ
กู้เหยาพูดอย่างเขินอายว่า “ข้าไม่เคยมองท่านในฐานะพี่ใหญ่มาก่อนเลย”
“คุณหนูสี่ ท่านพูดเหลวไหลอะไรกันเ้าคะ?” แม่เฒ่าฉินตะลึงงัน เมื่อครู่ยังคิดในใจอยู่ว่าคุณหนูสี่เปลี่ยนไปมาก
กู้เหยาหน้าแหย “ข้าไม่อยากพูดความเท็จกับพี่ใหญ่น่ะ เมื่อก่อนข้าก็แค่เรียกพี่ใหญ่ไปอย่างนั้น แต่ในใจไม่ได้คิดนับถือท่านเลย”
“ข้าทราบดี” กู้เจิงรู้จักนิสัยของกู้เหยาดี
เห็นคุณหนูใหญ่ไม่โกรธ แม่เฒ่าฉินถึงได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“แต่นับจากวันนี้ไป ข้าจะเห็นท่านเป็พี่ใหญ่จากใจจริงเ้าค่ะ พี่ใหญ่เมื่อก่อนเป็เพราะน้องไม่รู้ความ ท่านยกโทษให้ข้าเถอะนะเ้าคะ” กู้เหยาพูดออกมาจากใจจริง
กู้เจิงยิ้มยินดี “เมื่อก่อนข้าเองก็ไม่ดี พวกเรามาเริ่มกันใหม่เถอะนะ”
“ได้สิเ้าคะ” กู้เหยาพยักหน้าอย่างดีใจ
ขณะที่สองพี่น้องกำลังคุยกันอยู่นั้น ก็มีเสียงเอะอะดังขึ้นจากนอกบ้าน “ตรอกนี้จะเล็กเกินไปกระมัง แม้แต่รถม้าก็ยังเข้ามาไม่ได้”
“ใช่เพคะ องค์หญิงเดินช้าๆ หน่อย อย่าให้หกล้มนะเพคะ”
กู้เจิงกับกู้เหยามองหน้ากัน ทั้งสองทำตาโตและอ้าปากกว้างด้วยความประหลาดใจ องค์หญิงสิบเอ็ดงั้นหรือ?
องค์หญิงสิบเอ็ดสวมชุดผ้าไหมหรูหราปักปิ่นระย้าสีทองบนมวยผม นางเดินถือเตาอังมือเล็กๆ เข้ามาในบ้านตระกูลเสิ่น
“กระหม่อมคารวะองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ” เสิ่นเยี่ยนรีบเข้าไปทำความเคารพ
สองสามีภรรยาเสิ่นเห็นดังนั้นก็รีบทำความเคารพเช่นกัน
ชุนหงกับแม่เฒ่าฉินคุกเข่าอยู่บนพื้นนานแล้ว กู้เจิงกำลังจะลุกขึ้นทำความเคารพก็ถูกกู้เหยาดึงให้นั่งลง นางมององค์หญิงสิบเอ็ดด้วยสีหน้าระแวดระวัง “เ้ามาทำอะไร?”
องค์หญิงสิบเอ็ดคิดไม่ถึงว่าจะพบกู้เหยาที่นี่ นางกับกู้เหยาไม่ถูกกันั้แ่เด็กแล้ว
“คุณหนูสี่กู้ องค์หญิงมาเยี่ยมแม่นางกู้ เอ้อ มาเยี่ยมฮูหยินน้อยเสิ่นเ้าค่ะ” หมัวมัวที่ตามมารับใช้องค์หญิงกล่าวขึ้น