อ๋าวหรานรู้สึกว่าเราไม่ควรแช่น้ำร้อนนานเกินไป ตอนนี้เขารู้สึกอ่อนเปลี้ยเหมือนจะเป็ลม ศีรษะก็มึนๆ นานๆ ครั้งก็จะมีใบหน้าที่แต้มรอยยิ้มชั่วร้ายของจิ่งฝานโผล่เข้ามาในหัว ชวนให้คนใจสั่น
กลับจากบ่อน้ำร้อน อ๋าวหรานก็ถูกจิ่งฝานลากไป ‘ช่างฉือจาย’
‘ช่างฉือจาย’ ก็คือสถานที่กินข้าว เป็สถานที่ที่ค่อนข้างพิเศษของตระกูลจิ่ง
ตระกูลจิ่งมีสมาชิกมาก บิดามารดาของจิ่งฝานกำลังอยู่ระหว่างการท่องเที่ยว กำลังใช้ชีวิตอยู่ในโลกส่วนตัวสองคน ว่ากันตามหลักแล้วตระกูลจิ่งมีกิจการใหญ่โต ผู้นำตระกูลไม่อยู่ดูแลจัดการเื่ราวในหมู่บ้านมีเวลาว่างพาภรรยาไปเที่ยวได้อย่างไร? เหตุผลหลักก็มาจาก การที่มีผู้สืบทอดที่แสนจะสมบูรณ์แบบอย่างจิ่งฝาน เด็กหนุ่มอายุเพียงสิบแปดปี แต่ความสามารถเกินพวกท่านลุงท่านอาไปมากโข ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกลูกหลานรุ่นเล็ก ความสามารถที่หมายถึงนี้ไม่ใช่เพียงแค่ทักษะทางการแพทย์ แต่ยังรวมถึงความสามารถในการจัดการและการเป็ผู้นำที่ดีเลิศของเขา แน่นอนว่าหลังจากผ่านเหตุการณ์ที่บ่อน้ำร้อนมา อ๋าวหรานก็เชื่อว่าเหตุผลอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญก็คือ ความแข็งแกร่ง
บิดาของจิ่งฝาน จิ่งเหวินเหอ [1] มีพี่น้องหญิงชายไม่รวมตนเองทั้งหมดห้าคน พี่ชายหนึ่ง พี่สาวหนึ่ง น้องชายสอง น้องสาวหนึ่ง
พี่ชายคนโตจิ่งเหวินซาน มีอายุเกินครึ่งร้อยไปแล้ว มีลูกสี่คน ลูกชายคนโต จิ่งเคอ ลูกสาวคนเล็กจิ่งฉี ลูกอีกสองคนหนังสือไม่ได้กล่าวถึง พี่สาวคนโต จิ่งเหวินเยว่ น้องชายคนรอง จิ่งเหวินหยุน น้องชายคนที่สาม จิ่งเหวินหยู่ น้องสาวคนเล็ก จิ่งเหวินซิง
เหตุที่อ๋าวหรานคิดถึงเื่พวกนี้ ก็เป็เพราะ ‘ช่างฉือจาย’
‘ช่างฉือจาย’ ของตระกูลจิ่งมีลักษณะคล้ายกลับห้องอาหารขนาดใหญ่ คือมีคนมากินข้าวรวมกันเป็จำนวนมาก แต่สิ่งที่แตกต่างจากห้องอาหารทั่วไปก็คือ ห้องอาหารเปิดให้คนทั่วไปเข้ามารับประทาน มีเป้าหมายคือการหากำไร แต่ช่างฉือจายของตระกูลจิ่งจะมีแค่คนตระกูลจิ่งหรือไม่ก็แขกของคนตระกูลจิ่งถึงจะเข้าได้ มีเป้าหมายคือการพัฒนาความสัมพันธ์ ช่างฉือจายของตระกูลจิ่งมีแค่โต๊ะทรงกลมโล่งๆ ขนาดใหญ่มากอยู่หนึ่งตัว สามารถนั่งได้กว่าร้อยคนโดยไม่มีปัญหา
โต๊ะกลมขนาดใหญ่นี้ไม่ได้วางไว้เล่นๆ ทุกๆ สิบห้าวัน ตระกูลจิ่งจะจัดให้มีงานเลี้ยงรับประทานอาหารขนาดใหญ่ร่วมกันในครอบครัว ญาติพี่น้องทั้งหมดในตระกูลจิ่งจะต้องเข้าร่วม ถึงแม้จะไม่ได้เป็การบังคับเสียทีเดียว แต่คนตระกูลจิ่งทั้งเด็กและผู้ใหญ่ก็ให้ความสำคัญกับงานนี้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเด็กๆ เพราะนี่ถือเป็โอกาสที่จะได้แสดงออกต่อหน้าผู้หลักผู้ใหญ่ในตระกูล
ตระกูลจิ่งโดยปกติแล้วถึงแม้จะไม่ได้มีกฎระเบียบที่เคร่งครัดถึงขนาดต้องคุกเข่ากราบไหว้ แต่ผู้ใหญ่ก็มีความน่าเกรงขามของผู้ใหญ่ เด็กๆ จึงประพฤติตนใด้ดี ไม่กล้าบ้าบิ่นจนเกินไป แต่ทว่าในงานเลี้ยงรับประทานอาหารที่จัดขึ้นทุกๆ สิบห้าวันนั้น จะไม่พูดถึงอายุหรือความาุโใดๆ เด็กเจอผู้ใหญ่ก็ไม่ต้องแสดงความเคารพ ยิ่งไม่ต้องกังวลว่าจะกล่าวอะไรแสดงถึงความไม่เคารพออกไปแล้วจะถูกลงโทษ ทุกคนเป็ครอบครัวเดียวกัน คำนึงถึงแค่ความปรองดองของคนในครอบครัวก็เพียงพอแล้ว
สรุปก็คือ ‘ช่างฉือจาย’ คือที่รับประทานอาหารร่วมกันของครอบครัว
ใน่ที่อ๋าวหรานมาอยู่ที่นี่ ตระกูลจิ่งก็จัดงานรับประทานอาหารเช่นนี้ไปหลายรอบแล้ว แต่ตอนนั้นอ๋าวหรานอยู่ในสภาพผู้ป่วยติดเตียง ไม่สามารถมาร่วมงานได้
ในฐานะคนนอก แท้จริงแล้วอ๋าวหรานไม่ได้อยากมาเข้ารวมเลย หนึ่ง เพราะอ๋าวหรานไม่ใช่แขกของตระกูลจิ่ง ถ้าหากหมู่บ้านสกุลอ๋าวยังอยู่ละก็ เขาก็ยังนับได้ว่าเป็คุณชายคนหนึ่ง ถือว่ามีคนคอยสนับสนุนอยู่เื้ั ต่อให้เป็ตระกูลจิ่งที่ใหญ่โตก็ยังต้องเกรงใจเขาอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เขาถูกฆ่าล้างตระกูลไปแล้ว ไม่มีผู้สนับสนุนก็ช่างเถิด แต่ยังมีปัญหาติดตัวมาด้วยอีกต่างหาก เป็ตัวซวยอย่างแท้จริง คาดว่าเดินไปไหนก็คงมีแต่คนรังเกียจ สอง เป็เพราะเื่ราวตามต้นฉบับ ตอนนั้นเ้าของร่างเดิมก็มาเข้าร่วมเหมือนกัน ท่านลุงใหญ่ของจิ่งฝานปกติก็ไม่ค่อยถูกกับบิดาของจิ่งฝานอยู่แล้ว แล้วตอนนี้ยังมีอ๋าวหรานที่เปรียบเสมือนดาวมหันตภัย ที่อาจจะนำภัยสังหารมาให้ได้ทุกเมื่อโผล่มาอีก
จิ่งเหวินซาน ไม่มีทางที่จะพลาดโอกาสที่จะสร้างความลำบากให้จิ่งฝานอยู่แล้ว พูดอย่างมีเหตุมีผลว่าถ้าอ๋าวหรานไม่จากไป ก็ต้องบอกเหตุผลที่ถูกฆ่าล้างตระกูลมา และเอาของที่ทำให้ประสบเคราะห์นั้นออกมาด้วย
เ้าของร่างคนก่อนเป็คนหยิ่งยโสแต่กลับมีจิตใจคับแคบ และยังเป็คนที่ภายนอกดูร้ายกาจแต่ภายในใจกลับอ่อนแอ ตอนนี้ยังถูกคนพูดแทงใจถึงเื่ราวที่เ็ป และยังถูกรังเกียจอีก ทำให้เขารู้สึกเหลือเกินจะรับได้ เขาแตกต่างจากอ๋าวหรานคนใหม่ตรงที่อ๋าวหรานคนใหม่นี้อยากออกไปจากหมู่บ้านสกุลจิ่ง แต่เ้าของร่างเดิมกลับไม่อยากจากไป เขาอยากขอความคุ้มครองจากตระกูลจิ่ง โดนคนอื่นขับไล่อย่างชัดเจน แต่ไม่อาจโกรธแล้วสะบัดมือจากไปได้ ทำได้เพียงอดทน ความโกรธเปลี่ยนเป็ความแค้น เป็การหยั่งรากลึกไปสู่การทรยศตระกูลจิ่งในเวลาต่อมา
แน่นอน อ๋าวหรานในตอนนี้ไม่มีทางมีอารมณ์แบบนั้น ที่เขากังวลก็คือไม่รู้จะรับมือกับการซักไซ้ไล่เรียงของจิ่งเหวินซานอย่างไรดี
“ท่านพี่ อ๋าวหราน มากันแล้วหรือ!” เด็กสาวตรงหน้าประดับรอยยิ้มสว่างกระจ่างตา พุ่งเข้ามา ดูสดใสน่ารัก อ๋าวหรานมองแล้วใจเต้นไม่เป็จังหวะ หน้าตาของพี่น้องคู่นี้นี่มันจะมากเกินไปแล้ว!
อดไม่ได้ที่จะนึกถึงท่าทางทรงเสน่ห์ของจิ่งฝานที่บ่อน้ำร้อน เขามีรูปร่างที่สมบูรณ์แบบ กล้ามหน้าท้องแปดลูกดูแข็งแรงมีพลัง ผมดำยาวโดนน้ำจนเปียกชื้นพาดอยู่บนร่าง ทั้งร่างถูกปกคลุมไปด้วยละอองน้ำ ยกริมฝีปากโค้งเป็รอยยิ้มที่ดูร้ายกาจ ปีศาจชัดๆ! ปีศาจ!
โดยเฉพาะประโยคนั้น “เ้าอยากลวนลามข้าหรือ?” เสียงแหบต่ำแสนดึงดูด อ๋าวหรานรู้สึกโชคดีที่ตนเองมีรสนิยมทางเพศคือชอบเพศตรงข้าม ไม่อย่างนั้นคงอยากขึ้นเตียงด้วยทุกนาทีแน่ๆ
จิ่งเซียงมองดูอ๋าวหราน ถามด้วยความสงสัยว่า “เ้ากำลังคิดอะไรอยู่ จริงจังขนาดนั้น ทำไมถึงหน้าแดงล่ะ?”
อ๋าวหรานใ “ไม่มีอะไร! เพิ่งแช่น้ำร้อนเสร็จรู้สึกร้อนนิดหน่อย!”
ขณะที่พูดคุยกันอยู่ทั้งสามก็มาถึง ‘ช่างฉือจาย’
ตระกูลจิ่งนี่ร่ำรวยจริงๆ แค่สถานที่กินข้าวยังสร้างเสียดูดีขนาดนี้ ไม่ได้ดูดาษดื่น ไร้รสนิยมแบบฟุ้งเฟ้อ แต่ให้ความรู้สึกโออ่ามีรสนิยม คำว่า ‘ช่างฉือจาย’ สามคำบนแผ่นป้ายโลหะยิ่งดูยิ่งใหญ่อลังการ ทำให้คนรู้สึกว่าที่นี่ไม่เหมือนสถานที่กินข้าว แต่เหมือนเวทีประลองวรยุทธ์มากกว่า
“อักษรนี้บรรพบุรุษของข้า จิ่งสือเจา เป็คนเขียน ได้ยินมาว่าท่านเป็คนดุดันอย่างยิ่ง มักจะเขียนอักษรออกมาโอ่อ่าใหญ่โตเช่นนี้เสมอ กฎที่ให้คนในตระกูลจิ่งของเรามารวมกันที่ช่างฉือจาย ทุกๆ สิบห้าวันก็เป็ท่านที่เป็คนตั้ง”
จิ่งฝานอธิบายให้อ๋าวหรานฟังคร่าวๆ เกี่ยวกับต้นกำเนิดของ ‘ช่างฉือจาย’ ซึ่งไม่ได้ต่างจากที่อ๋าวหรานอ่านมาจากในหนังสือเท่าไรนัก แต่ถึงกระนั้นอ๋าวหรานก็ยังตั้งใจฟัง
ตอนที่ทั้งสามคนเข้าไป ภายในก็มีคนอยู่เยอะแล้ว หลังจากจิ่งฝานเข้ามาก็มีคนมาทักทายเต็มไปหมด ถึงแม้จะบอกว่าตอนนี้จิ่งฝานยังไม่ได้เป็ผู้นำตระกูลจิ่งอย่างเป็ทางการ แต่จริงๆ ก็ขาดแค่พิธีการเท่านั้น ตระกูลจิ่งในตอนนี้เรียกได้ว่ามีจิ่งฝานเป็คนจัดการดูแลทั้งหมด
เชิงอรรถ
[1] จิ่งเหวินเหอ (景文河) ตัวอักษรสุดท้ายตัว “เหอ” (河) เขียนคนละแบบกับ ตัว “เหอ”(和) ที่เป็ชื่อบรรพบุรุษผู้เขียนคัมภีร์ “หมื่นตำรับ” แต่ออกเสียงเหมือนกัน