“ลั่วเอ๋อร์ ได้ยินพ่อบ้านจี้บอกว่าวันนี้เรือนโฉวงจี๋ของเ้าเริ่มตกแต่งซ่อมแซมแล้วใช่หรือไม่?” แม้ว่าหลี่ลั่วจะเป็เ้าของจวนโหวแห่งนี้ แต่เ้าบ้านฝ่ายหญิงของจวนโหวคือหลี่หยางซื่อ ข้ารับใช้ทุกคนในจวนโหวล้วนเป็หูเป็ตาให้กับหลี่หยางซื่อทั้งสิ้น อีกทั้งการตกแต่งซ่อมแซมนี้ยังเกี่ยวพันกับเื่การใช้เงิน แม้ว่าห้องทรัพย์สินส่วนตัวของหลี่ลั่วจะมีเงินที่ฝ่าาประทานมาให้จำนวนแปดพันตำลึง แต่พ่อบ้านจี้กลับมาถามหลี่หยางซื่อเกี่ยวกับเงินที่ใช้ในการตกแต่งซ่อมแซม หลี่หยางซื่อสั่งการให้พ่อบ้านจี้ไปเบิกเงินจากกองกลาง เงินของกองกลางเป็ของจวนโหว หลี่ลั่วคือท่านโหว ไม่ว่าหลี่ลั่วจะมีทรัพย์สินส่วนตัวมากน้อยเพียงใด หลี่หยางซื่อย่อมรู้ดีว่าควรจัดการในเื่นี้เช่นใดให้เหมาะสม แม้ว่านางจะมีความคิดบางอย่างต่อเด็กอายุห้าขวบที่ถือเงินจำนวนแปดพันตำลึงอย่างหลี่ลั่ว ทว่านางมิสามารถเอ่ยอันใดได้
หลี่ลั่วเป็เด็กคนหนึ่ง เด็กย่อมไม่เข้าใจถึงความสัมพันธ์ที่คำนึงถึงผลประโยชน์ หากวันนี้หลี่หยางซื่อได้ทำเื่อันใดลงไป วันรุ่งขึ้นก็อาจจะกลายเป็ข้ออ้างให้ผู้อื่นนำไปใช้หาผลประโยชน์เอาได้ หากวันนี้นางให้หลี่ลั่วมอบเงินแปดพันตำลึงนั้นแก่นาง พรุ่งนี้ก็จะต้องมีคนลือกันออกไปว่านางที่เป็มารดาใหญ่ปฏิบัติทารุณกับหลี่ลั่วที่เป็เสี่ยวโหวเหฺยเช่นนี้
อีกประการหนึ่ง จวนโหวแห่งนี้ต่อไปย่อมตกเป็ของหลี่ลั่ว เงินกองกลางก็เช่นกัน อย่างมากเมื่อบุตรชายคนโตแต่งสะใภ้นางอาจจะให้มากหน่อย บุตรสาวคนโตออกเรือนนางก็ให้มากหน่อย ดังนั้นนางจึงไม่คิดทำตัวเป็คนเขลาที่จะไปเปลี่ยนความคิดของหลี่ลั่ว “หากเริ่มตกแต่งซ่อมแซมวันนี้ มิสู้วันนี้เ้าย้ายไปอยู่ที่เรือนพี่ใหญ่เ้า พวกเ้าสองพี่น้องจะได้ทำความรู้จักซึ่งกันและกันให้มากขึ้น”
“แล้วแต่มารดาเห็นควรขอรับ” หลี่ลั่วเดิมทีก็มีความตั้งใจเช่นนี้
ในเวลาถัดมา คนทั้งหมดไปทานอาหารเช้าพร้อมกันที่เรือนหยวนเซ่อ เรือนโฉวงจี๋จะเริ่มงานตกแต่งซ่อมแซมวันนี้ ห้องครัวเล็กจึงไม่เปิดครัว
อาหารเช้าที่เรือนหยวนเซ่อค่อนข้างเรียบง่าย แต่อุดมสมบูรณ์มากๆ มีโจ๊กพุทราแดง ซาลาเปาไส้เนื้อ หมั่นโถว และยังมีเครื่องเคียงอีกเล็กน้อย เพียงอาหารเช้ายกขึ้นโต๊ะ หลี่หงก็ก้าวเข้ามา หลี่หยางซื่อได้ให้คนไปตามเขาเมื่อตอนที่พวกเขาออกจากเรือนว่านโซ่วนั่นเอง
คนในสมัยโบราณนั้นเมื่ออยู่บนโต๊ะอาหารจะไม่มีการพูดคุยกัน แต่ทั้งครอบครัวมีด้วยกันทั้งหมดสี่คน และยังไม่มีทั้งแขกและผู้าุโคนอื่นๆ อยู่ด้วย หากได้พูดจาถามไถ่กันบ้างจึงจะให้รู้สึกมีความอบอุ่นเป็กันเอง
“วันนี้เ้ามีธุระอันใดต้องไปจัดการหรือไม่?” หลี่หยางซื่อถามหลี่หง
“ไม่มีขอรับ วันนี้ตั้งใจจะอ่านหนังสือ จากนั้นอยู่เป็เพื่อนน้องหกขอรับ” หลี่หงตอบ “หรือท่านแม่มีเื่อื่นจะสั่งลูกหรือ?” นี่ก็คือความแตกต่าง หลี่หงและหลี่หลินเรียกหลี่หยางซื่อว่า ท่านแม่ (เหนียงชิน) หลี่ลั่วเรียกว่า มารดา (หมู่ชิน) [1]
“เรือนน้องหกของเ้าจะเริ่มตกแต่งวันนี้ เดิมทีข้าก็มีความคิดเช่นนี้ว่าจะให้เ้าอยู่เป็เพื่อนน้องหกในหลายวันนี้ ส่วนเื่ของเรือกสวนไร่นาและร้านค้าก็พักเอาไว้ก่อน” หลี่หยางซื่อกล่าว
“ขอรับ แล้วแต่ท่านแม่ ที่น้องหกตกแต่งซ่อมแซมอยู่ มีเื่อันใด้าให้ข้าช่วยเหลือหรือไม่?” ประโยคถัดมาเขาถามหลี่ลั่ว
หลี่ลั่วส่ายหน้า “พี่ใหญ่อยู่รับรองข้าในเรือนก็พอขอรับ”
หลังจากอาหารเช้าหลี่ลั่วก็กลับไปยังเรือนโฉวงจี๋
“ฮูหยิน” จี้หมัวมัวส่งหลี่ลั่วที่หน้าประตู เมื่อกลับเข้ามาก็เห็นว่าหลี่หยางซื่อได้วางตะเกียบลงแล้วเช่นกัน นางจึงเรียกให้คนเก็บอาหารเช้าออกไป “ฮูหยินวันนี้ทานอาหารได้ไม่น้อยเลยนะเ้าคะ”
หลี่หยางซื่อยิ้มบางๆ “วันนี้คำพูดประโยคนั้นของลั่วเอ๋อร์ช่างทำให้ข้ามีความสุขนัก ข้าแต่งเข้ามาในสกุลหลี่ยี่สิบกว่าปี เมื่อครั้งยังไม่แยกเรือนออกมาสิบกว่าปีที่ต้องอดทนดูสีหน้าของหญิงชราผู้นั้น กระทั่งแยกเรือนออกมาอยู่จวนโหว ใครจะรู้ได้เล่า มิถึงครึ่งปีหญิงชรานางนั้นก็ใช้เล่ห์เพทุบายย้ายเข้ามาอยู่ด้วย จากนั้นก็ย้ายเข้ามาครอบครัวแล้วครอบครัวเล่า ความโมโหในใจข้านั้น จะกล้ำกลืนลงไปได้อย่างไร?”
“ฮูหยิน รอให้คุณชายใหญ่แต่งงานมีหน้าที่การงานมั่นคง รอให้คุณหนูใหญ่ออกเรือนไปกับคนดีๆ...”
“หงเอ๋อร์ทั้งชีวิตนี้ก็คงต้องเป็เช่นนี้แล้ว อย่างมากก็สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างสุขสบายอยู่บ้าง ที่ข้าหนักใจคือหลินเอ๋อร์ นางมีนิสัยยอมคนและซื่อเกินไป ซ้ำยังเป็ตี๋จั่งหนี่ว์[2]ของจวนโหว หากว่าเหล่าโหวเหฺยยังอยู่ เขาย่อมเป็รากฐานของสกุลหลี่ การจะไปทาบทามคู่ครองคนใดมีหรือจะมิกล้าเอ่ยปาก แต่ยามนี้พี่ชายเป็เช่นนี้ วันหน้าไม่สามารถเป็หลักให้นางพึ่งพิงได้ นางคงได้แต่ออกเรือนไปกับฝ่ายชายที่ฐานะด้อยกว่า[3] ออกเรือนไปเช่นนี้ก็ช่างเถิด ข้าเพียงคิดว่านางเป็คนไม่สู้รบปรบมือกับผู้ใด ขอเพียงนางมีชีวิตที่เรียบๆ ง่ายๆ ก็พอ”
บุตรสาวออกเรือนนั้น บิดาและพี่ชายในเรือนถือเป็ที่พึ่งพิงดุจขุนเขา แต่สำหรับบุตรสาวของนางนั้น บิดาได้เสียชีวิตไปแล้ว พี่ชายที่ร่างกายไม่สมบูรณ์นั้นไร้อนาคต ขุนเขาที่นางจะพึ่งพิงนั้นอยู่ที่ใดกันเล่า?
“ตามความเห็นของบ่าว เสี่ยวโหวเหฺยมิใช่คนที่ใสซื่อจนเกินไปนะเ้าคะ” หลี่หยางซื่อได้สั่งการลงไปแล้ว คนในจวนโหวต้องเรียกขานหลี่ลั่วว่าเสี่ยวโหวเหฺย ส่วนคนในเรือนสกุลหลี่จะเรียกอย่างไรนั้น นางควบคุมไม่ได้
เมื่อเอ่ยถึงหลี่ลั่ว หลี่หยางซื่อมิอาจปฏิเสธได้เลยว่า “คำพูดของเขาวันนี้ ต่อให้เป็หงเอ๋อร์หรือหลินเอ๋อร์ก็พูดออกมาไม่ได้ เ้าคิดว่าใครเป็ผู้เสี้ยมสอนเขา?”
[1] เหนียงชิน (娘亲) และ หมู่ชิน (母亲) ต่างหมายถึง แม่ ทั้งสองคำขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่ที่อาศัยอยู่ของคน แต่ในยุคสมัยโบราณนั้น ผู้ชายสามารถมี 3 ภรรยา 4 อนุได้ ดังนั้น ลูกที่เกิดจากอนุจะเรียกมารดาผู้ให้กำเนิดตนว่า เหนียง ไม่ได้ หากจะเรียกต้องเรียก เสี่ยวเหนียง (แม่เล็ก) และลูกจากอนุทุกคนต้องเรียกภรรยาเอกของบิดาว่า หมู่ชิน (แม่ใหญ่ หรือ มารดา)
[2] ตี๋จั่งหนี่ว์ (嫡长女) หมายถึง บุตรสาวคนโตที่ถือกำเนิดจากภรรยาเอก
[3] ตีเจี้ย (低嫁) คือการออกเรือนไปกับฝ่ายชายที่ชาติกำเนิดและฐานะด้อยกว่าฝ่ายของตน ซึ่งตามธรรมเนียมจีนโบราณแล้วนั้นได้กล่าวไว้ว่าการแต่งงานนั้น หญิงสาวควรแต่งให้กับฝ่ายชายที่ชาติกำเนิดและฐานะสูงกว่าตน และชายหนุ่มควรแต่งภรรยาที่มีชาติกำเนิดและฐานะที่ด้อยกว่าตนเข้ามาจึงจะดี