ตัดฉากมาที่ห้องหนังสือของนายท่านหนี...
เมื่อเมฆดำเข้าปกคลุมจันทร์กระจ่าง ยามค่ำคืนจึงมืดมิด มีเพียงแสงตะเกียงและเทียนสีเหลืองเข้มเท่านั้น ที่ยังคงส่องสว่าง
น้ำที่หยาดหยดลงมา ไหลรินไปตามขั้นบันไดหินอ่อน ทำให้ผืนปฐีชุ่มฉ่ำ กลิ่นไอดินอบอวลอยู่ในอากาศ
ท่ามกลางสายฝนโปรยปราย มีเสียงฝีเท้ามุ่งหน้ามายังห้องหนังสืออย่างเงียบงัน มือที่ยื่นออกมาจากเสื้อกันฝน เอื้อมไปเปิดประตู จนหยดน้ำสาดกระเซ็นเข้ามา แล้วประตูก็ถูกงับลงเบาๆ...
โจวชิงหวารีบก้าวเข้ามาในห้องจากอีกทางหนึ่ง พลางลอบมองผ่านม่านบังตาออกไป จนพบเข้ากับบุคคลปริศนา จึงจับจ้องไปยังอีกฝ่าย
คนผู้นั้นกำลังยืนถอดเสื้อฟางอยู่ข้างประตู เผยให้เห็นชุดสีขาวนวลด้านใน ซึ่งไม่ต่างจากแสงจันทร์เสี้ยวบนท้องนภา
ผู้หญิง?
จากนั้น สตรีที่ถูกเข้าใจว่าเป็บุรุษ ก็ไล่นิ้วเรียวดุจหยกไปตามสันหนังสือทีละเล่ม หยิบออกมาพลิกดู แล้ววางกลับไปตามเดิม
แต่พอหันมาสบเข้ากับคนที่อยู่อีกด้าน ก็มีท่าทีใ ก่อนจะเห็นใบหน้าอีกฝ่าย... ชายหนุ่มผู้มีคิ้วเรียวยาว ดวงตาเฉียบคม กำลังจับจ้องมาจากหลังโต๊ะนิ่งๆ
และแล้วโจวชิงหวาก็ย่นคิ้ว
... เสี่ยวเอ๋อร์! จะเป็ไปได้อย่างไร?
ขณะที่เดินผ่านห้องหนังสือ เขาเห็นคนสวมชุดฟางกันฝนมีท่าทีน่าสงสัย จึงติดตามมา ไม่คิดเลยว่าจะเป็หนีเจียเอ๋อร์ไปเสียนี่
ชายหนุ่มยังคงนิ่งงัน ระหว่างที่ตนไม่อยู่ นางกลับมีความลับมากมายซุกซ่อนเอาไว้เช่นนี้
...
หนีเจียเอ๋อร์มองไปยังกล่องเก็บจดหมาย ก่อนจะนำมันออกมาเปิดหาเบาะแส ทว่าไม่พบสิ่งผิดปกติ จึงค้นดูทุกลิ้นชัก แต่ผลยังคงเหมือนเดิม
หญิงสาวนิ่วหน้าพลางบ่นพึมพำ นางอุตส่าห์มาถึงนี่ ก็เพื่อค้นหาเบาะแส ซึ่งทำให้ครอบครัวถูกสังหารไปในชาติที่แล้ว
บิดาของนางเป็คนใจกว้าง เมตตาต่อผู้อื่นเสมอ ความบาดหมางจากหน้าที่การงานในกรมก็ไม่มี ดังนั้น สาเหตุน่าจะเกิดจากความแค้นส่วนตัว หรืออีกฝ่ายอาจจะมุ่งหวังบางสิ่ง ไม่ก็บิดาอาจจะกุมความลับบางอย่างเอาไว้
ซึ่งหากจะให้ไปสอบถามท่านพ่อโดยตรง เกรงว่าจะมิได้รับคำตอบ ทางออกเดียวของนาง คือต้องสืบหาด้วยตัวเอง
ห้องหนังสือนี้ เป็สถานที่ซึ่งบิดามักจะมาขลุกทำงานอยู่บ่อยๆ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็จดหมายหรือเอกสารสำคัญ ล้วนอยู่ที่นี่ทั้งสิ้น แต่ดูเหมือนจะไม่มีเบาะแสที่้า... แล้วมันจะไปอยู่ไหนได้?
หนีเจียเอ๋อร์พยายามค้นหาอีกครั้ง แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงัก
แอ๊ด!
เสียงใครบางคนเปิดประตู...
ใบไม้สั่นไหว สายฝนจากข้างนอกสาดซัดเข้ามา หญิงสาวจึงรีบไปหลบอยู่หลังม่านบังตา ไม่กล้าปริปาก
คนผู้นั้นก้าวเข้ามา พลางจับจ้องไปที่โต๊ะ แล้วแสยะยิ้ม
โจวชิงหวาซึ่งเดินไปซ่อนตัวอยู่ระหว่างชั้นหนังสือ เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ ด้วยไม่คิดว่าคนผู้นั้นจะเอ่ยขึ้น “น้องหญิง ยังไม่ออกมาอีกหรือ?”
หนีจวิ้นหว่าน?
โจวชิงหวาละมือขวาออกมา แล้วหรี่ตามองละครตรงหน้า
“น้องหญิง ข้าเห็นเ้าแล้ว ยังจะหลบซ่อนอีก ต้องให้ข้าะโดังๆ เพื่อให้คนอื่นรู้ ว่าเ้ามาแอบอยู่ที่นี่หรืออย่างไร?” หนีจวิ้นหว่านข่มขู่ พร้อมเดินไปที่โต๊ะ
หนีเจียเอ๋อร์หลับตาลง แล้วก้าวออกมา
“ไม่ทราบว่าพี่หญิงมีธุระอันใด ถึงได้มาตามหาข้า?” นางยังคงยิ้มอย่างไว้ตัว แม้จะถูกจับได้ซึ่งๆ หน้า
หนีจวิ้นหว่านแสยะยิ้ม พลางพูด “วันนี้ ไม่มีเวรยามกะกลางคืนหรืออย่างไร น้องสาวข้าจึงต้องออกมาเดินสำรวจตรวจตราเองเช่นนี้ เ้าหาอะไรอยู่? ทำไมไม่ลองบอกพี่หญิงดู เผื่อข้าจะช่วยได้!”
“ไม่รบกวนพี่หญิงดีกว่า” หนีเจียเอ๋อร์สั่นศีรษะ
หนีจวิ้นหว่านเงยหน้าขึ้น แล้วกล่าวเสียดสี “ข้าไม่รู้ ว่าเ้ามาทำอะไรที่นี่ และก็ไม่อยากรู้ด้วย แต่หากเป็ท่านพ่อ ก็ไม่แน่...” นางหยุดครู่หนึ่ง ก่อนเผยรอยยิ้มอันงดงาม
“ห้องหนังสือแห่งนี้เป็ที่ทำงานของท่านพ่อ ย่อมมีเอกสารลับมากมาย น้องหญิงคนดีของข้า เ้าช่างกล้านัก ถึงได้เข้าออกเป็ว่าเล่น”
“พี่หญิงล้อเล่นแล้ว ข้าจะทำเื่เช่นนั้นได้อย่างไร” หนีเจียเอ๋อร์ปฏิเสธ และโต้กลับ “แล้วพี่หญิงมาที่ห้องหนังสือกลางดึกเช่นนี้ มีเื่อะไรหรือเ้าคะ?”
หนีจวิ้นหว่านมุ่นคิ้ว แล้วสวนกลับทันทีอย่างไม่รีรอ “ข้าแค่นอนไม่หลับ เลยออกมาเดินเล่น จึงเห็นเ้าทำท่าทีลับๆ ล่อๆ อย่างไรเล่า!”
“เมื่อพี่หญิงพูดเช่นนี้ ข้าก็เชื่อนะเ้าคะ แต่เกรงว่าคนอื่นอาจจะไม่เชื่อ” หนีเจียเอ๋อร์หัวเราะ
“ข้าไม่กลัวหรอก เช่นนั้นก็ไปคุยกับท่านพ่อ ให้ท่านพ่อเป็คนตัดสินใจก็แล้วกัน” หนีจวิ้นหว่านกล่าวเสียงหยัน
“คุณหนู ไม่ทราบว่าท่านหาสมุดบัญชีเจอหรือยังขอรับ?” จู่ๆ ก็มีเสียงดังมาจากนอกประตู
ทั้งสองจึงหันไปมอง พบว่าเป็โจวชิงหวา ที่กำลังถอดชุดฟางกันฝน แล้วก้าวเข้ามาในห้อง
หนีจวิ้นหว่านกลอกตา พลางซักถาม “สมุดบัญชีอันใด?”
โจวชิงหวาเงยหน้าขึ้น เมื่อสบเข้ากับอีกฝ่าย ดวงตาของเขาก็ฉายแววฉงน “คุณหนูใหญ่ก็อยู่ด้วยหรือขอรับ? นายท่านสั่งให้คุณหนูรองมาเอาสมุดบัญชี ข้าเห็นว่าคุณหนูยังไม่ออกมาเสียที เลยเข้ามาดู”
หนีจวิ้นหว่านเอ่ยเสียงเย็น “นี่มันดึกดื่นค่อนคืนแล้ว ท่านพ่อจะสั่งให้นางมาเอาสมุดบัญชีได้อย่างไร? ข้ออ้างชัดๆ!”
โจวชิงหวาถอนหายใจ ส่ายหน้า ก่อนพูดยิ้มๆ “หากคุณหนูใหญ่คิดว่านี่เป็ข้ออ้าง” เขาหลุดเสียงหัวเราะ “แล้วการที่ท่านบอกว่าตัวเองออกมาเดินเล่นยามค่ำคืน จะไม่เรียกว่ามีพิรุธยิ่งกว่าหรือขอรับ?”
หนีจวิ้นหว่านสะอึก วาจาของอีกฝ่ายช่างจี้ใจดำนัก ไม่ต้องพูดถึงหนีเจียเอ๋อร์ ไม่ว่าผู้ใดได้ยินย่อมอดสงสัยมิได้ อีกทั้งคงจะไม่มีใครคาดคิด ว่าโจวชิงหวาจะลำเอียงเช่นนี้ ขืนนางเอาเื่นี้ไปฟ้องท่านพ่อ ต้องถูกเข้าใจผิดด้วยเป็แน่
หญิงสาวกัดฟันแน่น คิดว่าครานี้จะจับผิดหนีเจียเอ๋อร์ได้ แต่กลับต้องปล่อยไปเสียนี่
เมื่อเห็นเช่นนั้น หนีเจียเอ๋อร์จึงไกล่เกลี่ยว่า “สรุปแล้ว คืนนี้ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นนะเ้าคะ?”
หนีจวิ้นหว่านจึงไม่มีทางเลือก จำใจต้องล่าถอย “หนีเจียเอ๋อร์ อย่าพลาดอีกล่ะ!”
ทว่า หนีเจียเอ๋อร์กลับไม่ใส่ใจวาจาอาฆาตมาดร้ายนั้น ซ้ำยังหัวเราะอีกต่างหาก
โจวชิงหวาคลี่ยิ้ม ขณะใช้มือม้วนปลายผมของหนีเจียเอ๋อร์อย่างหยอกล้อ “วันนี้ ข้าช่วยคุณหนูเอาไว้ ไม่คิดจะขอบคุณสักหน่อยหรือ?”
หนีเจียเอ๋อร์ปัดมือเขา แล้วถากถางว่า “ข้าไม่เคยเห็นบุรุษคนอื่น จะมาร้องขอของกำนัลจากสตรีเช่นนี้มาก่อน”
“ข้าหาใช่บุรุษคนอื่น ถึงจะมิใช่พี่ชายแท้ๆ ของเ้า แต่ก็เติบโตมาด้วยน้ำนมเต้าเดียวกันมิใช่หรือ?”
โจวชิงหวามองเส้นผมอ่อนนุ่มและเรียบลื่น ที่พันไปตามข้อนิ้วของตน พลางเงยหน้าขึ้นมาพูด “เสร็จงานแล้ว จ่ายพี่ชายท่านนี้มาเสียดีๆ”
หนีเจียเอ๋อร์ฟาดใส่มือซุกซนของเขาอีกครั้ง “ั้แ่กลายเป็พ่อค้า นับวันเ้ายิ่งขี้เหนียวขึ้นทุกที!”
“หากมีเงินมากมาย เ้าไม่คิดว่าเป็เื่น่ายินดีหรอกหรือ?” โจวชิงหวาคลี่ยิ้ม เดินไปที่กล่องจดหมาย แล้วหยิบมันขึ้นมาโบก
หนีเจียเอ๋อร์หัวเราะ และปรามว่า “อย่าไปยุ่งกับจดหมายนั่น เดี๋ยวพรุ่งนี้ท่านพ่อจะรู้เข้า”
“บอกมาสิ ว่าเ้ามาค้นหาอะไรในยามดึกเช่นนี้?” โจงชิงหวานั่งพิงเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน พลางถามด้วยรอยยิ้ม
“ข้าบอกมิได้” หนีเจียเอ๋อร์ส่ายหน้า
โจวชิงหวาลุกขึ้นยืน สูดหายใจ แล้วพ่นลมร้อนๆ ใกล้หู “ตอนแรก ยังปฏิบัติต่อข้าดั่งพี่ชายคนสนิท แต่ตอนนี้ กลับหันหน้าหนี มีความลับอะไรอย่างนั้นหรือ?”
หนีเจียเอ๋อร์หน้าร้อนผ่าว ผลักร่างของเขาออกไป แต่ชายหนุ่มก็มิได้ขุ่นเคือง เพียงเอนกายพิงชั้นหนังสือ คล้ายคนอ่อนแรง
“ถ้าขอสิ่งตอบแทน เ้าก็คงมิใช่พี่ชายข้าแล้ว” หนีเจียเอ๋อร์ยิ้ม อดมิได้ที่จะดึงแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดหู
ยิ่งเห็นโจวชิงหวายังไม่ละสายตาจากใบหูตน ซ้ำยังทำท่าทางเ้าชู้ ก็อดนิ่วหน้ามิได้ “อีกทั้งสิ่งที่เ้าทำ มันก็ไม่ถูกต้อง มาจับมือถือแขนกันเช่นนี้ หากมีใครพบเข้า คงไม่ดีต่อเ้าเป็แน่!”
ได้ยินเช่นนั้น ชายหนุ่มจึงโน้มตัวเข้ามาหา “ไม่ดีต่อข้า? คิดเช่นนั้นหรือ!”
หญิงสาวพยายามรั้งมือกลับ แต่ก็ทำอันใดมิได้ นอกจากจ้องตาอีกฝ่าย “อย่าเอาเล่ห์เหลี่ยมที่ฝึกจากหอเฟิงเยวี่ย มาใช้กับข้านะ!”
“หอเฟิงเยวี่ยไหนกัน?” โจวชิงหวารีบบอกปัด
เมื่อเห็นสีหน้าที่ดูเหมือนจะไม่เชื่อของนาง เขาก็เบือนหน้าหนี รีบแก้ตัว “ข้าแค่ไปดื่มสุรา ฟังเสียงดนตรีที่หอเฟิงเยวี่ย ไม่เคยทำอะไรนอกเหนือจากนั้นเลยนะ”
หนีเจียเอ๋อร์ยังคงนิ่งเงียบ แสดงท่าทีชัดเจน ว่าหาได้เชื่อคำปฏิเสธแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นเช่นนั้น โจวชิงหวาก็หันมากอดอีกฝ่าย
สุ้มเสียงกระวนกระวายใจเหนือศีรษะ ยิ่งทำให้หนีเจียเอ๋อร์พูดอย่างฉุนเฉียว “เอาละๆ ข้าเชื่อก็ได้ ปล่อยข้าก่อน”
โจวชิงหวาเป็บุตรของแม่นม จึงเติบโตมาด้วยกันกับนาง ไม่ต่างจากพี่ชาย
หญิงสาวได้แต่หรี่ตามองท่าทีลุกลี้ลุกลน และหน้าแดงเถือกลามไปถึงหูของอีกฝ่าย
ชายหนุ่มจึงเอ่ย “ข้ารู้ว่าเ้าไม่เชื่อ จะให้ข้าสาบานก็ได้!”
“อย่าเลย” หนีเจียเอ๋อร์ปฏิเสธ รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่า่นี้อีกฝ่ายเป็อะไร ถึงทำตัวแปลกๆ อยู่บ่อยครั้ง
ทั้งสองยังคงกอดกันอยู่ เมื่อมีเสียงผู้เฝ้ายามกะกลางคืนมาตรวจตราที่ด้านนอก โจวชิงหวาก็ฉวยโอกาสอุ้มหญิงสาว ทะยานออกไปนอกประตู
“ชุดฟางนั่น...” หนีเจียเอ๋อร์เตือน
“ไม่เป็ไร ไว้ข้าจะมาเก็บกวาดทีหลัง”
ลมหายใจอุ่นๆ ช่างขัดกับเสื้อผ้าซึ่งชุ่มฝนไปทุกตารางนิ้ว ทำให้หนีเจียเอ๋อร์ที่อยู่ในอ้อมแขนของชายหนุ่ม เริ่มมีอาการง่วงงุน
โจวชิงหวาอุ้มสตรีในอ้อมแขนเข้าไปในห้อง ก่อนถอนหายใจยาว วางนางลงบนเตียง คลุมผ้านวม คลายมวยผม เพื่อให้อีกฝ่ายนอนอย่างสบายตัวยิ่งขึ้น เขาลอบมองดวงหน้าเกลี้ยงเกลาอยู่พักหนึ่ง แล้วผละจากไปอย่างไม่ใคร่จะเต็มใจนัก
(จบฉาก)
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้