เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น บ่าวไพร่ในจวนทุกคนต่างอกสั่นขวัญผวา
เมื่อคืนเกิดเื่ใหญ่ขึ้น ไม่รู้ว่ามีโจรขึ้นจวนยามราตรีได้อย่างไร ได้ยินว่าเข้าไปถึงเรือนหลีหวาของฟางอี๋เหนียง ทั้งยังเกือบจะทำร้ายผู้เป็เ้าของเรือน ต่อมานายท่านพาคนบุกเข้าไปช่วยเหลือจึงขับไล่โจรผู้นั้นไปได้ แต่ก็ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดนายท่านจึงบันดาลโทสะกับสาวใช้ประจำตัวของฟางอี๋เหนียง เล่ากันว่าเป็เพราะปรนนิบัติขาดตกบกพร่อง
มีคนคาดเดาว่าฟางอี๋เหนียงได้รับความสำคัญจากนายท่านเช่นนี้ เื่ยกขึ้นเป็นายหญิงของจวนคงไม่ใช่ปัญหา
แต่เมื่อดูจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกลับไม่เป็เช่นนั้น มีคำสั่งลงโทษสาวใช้ประจำตัวของฟางอี๋เหนียงอย่างสายฟ้าแลบ แล้วส่งคนเข้ามาแทนที่สองสามคน แต่ดูแล้วเหมือนให้มาเฝ้าจับตามองพฤติกรรมมากกว่ามาปรนนิบัติ เพราะแต่ละคนใบหน้าบอกบุญไม่รับ ท่าทางห้าวหาญหลังเสือเอวหมีแค่เห็นก็ไม่กล้ามีเื่ด้วย
เรือนหลีหวาเกิดเื่ โม่เสวี่ยิ่ผู้เป็บุตรสาวด้านหนึ่งก็เกิดความแคลงใจ อีกด้านก็เพื่อแสดงความกตัญญู ต่อหน้าผู้คนนางวางตัวเป็กุลสตรีมีคุณธรรม นุ่มนวลอ่อนโยน พอทราบเื่ก็แล่นมาที่เรือนหลีหวาอย่างร้อนใจ มาได้ครึ่งทางก็พบกับโม่เสวี่ยฉงโดยบังเอิญ
นับั้แ่มีเื่สับเปลี่ยนตัวกับโม่เสวี่ยิ่คราที่แล้ว โม่เสวี่ยฉงก็ทำตัวสงบเสงี่ยมมาโดยตลอด แม้จะมีการตกลงกันกับจวนเจิ้นกั๋วโหวไว้แล้ว แต่เมื่อเวลาถูกยืดออกไปยาวนานก็ยิ่งรู้สึกไม่พึงพอใจ คิดว่าหากตนเองไม่ต้องรับเื่งามหน้าแทนพี่สาวบุตรอนุภรรยาผู้นี้ อย่างไรก็ต้องได้แต่งไปในฐานะภรรยาเอก ไหนเลยจะต้องยอมรับฐานะอนุภรรยาที่จะสูงก็ไม่สูงจะต่ำก็ไม่ต่ำเหมือนเช่นตอนนี้
โม่เสวี่ยิ่ไม่มีอารมณ์มาไร้สาระกับคนไร้สมองผู้นี้ จึงเพียงทักทายธรรมดาสองสามประโยค แล้วเลี่ยงไปยังเรือนหลีหวา ทันทีที่เข้าไปถึงก็สังเกตได้ถึงความเปลี่ยนแปลงภายใน ไม่เพียงแต่บ่าวรับใช้ที่เฝ้าประตูจะเปลี่ยนเป็หญิงร่างใหญ่เอวกลมไหล่หนา ยังมีหญิงรับใช้าุโเพิ่มเข้ามาอีกสองคน แม้ว่าแม่นมหลี่ กุ้ยเยวี่ย และกุ้ยหวาจะยังอยู่ แต่กลับมีท่าทางกลัวหัวหดอยู่ตลอดเวลา
เห็นได้ชัดว่าผิดปรกติอย่างยิ่ง
เมื่อมาถึงในห้อง ฟางอี๋เหนียงยังมิได้ลุกจากเตียง กุ้ยเยวี่ยประคองนายหญิงขึ้นมานั่ง ผมเผ้าของนางยุ่งเหยิง ดวงตาทั้งสองข้างบวมแดงเหมือนคนที่ร้องไห้จนไม่ได้นอน
“อี๋เหนียงนี่มันเกิดอะไรขึ้น ไฉนจึงกลายเป็แบบนี้ได้เล่า ในท้องของท่านยังมีบุตรของท่านพ่ออยู่นะ ไม่ใส่ใจดูแลตนเองเช่นนี้ได้อย่างไร” โม่เสวี่ยิ่นั่งลงข้างเตียง ท่าทางอ่อนโยนคล้ายเอาใจใส่ยิ่ง
“ไม่ใช่ข้า แต่เป็ท่านพ่อของเ้าต่างหากที่ไม่ใส่ใจ” ฟางอี๋เหนียงสีหน้าแข็งกร้าว ร้องไห้ไปก็พร่ำรำพันไปด้วยความขุ่นเคือง
ถึงตอนนี้นางก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อวานพอโม่ฮว่าเหวินบุกเข้ามาก็รื้อข้าวของระเนระนาด แม้แต่เตียงของนางก็ยังไม่เว้น ท้ายที่สุดก็ค้นจนเจอถุงหอมที่ใส่ตราประทับหยกจากเตียงของนาง หลังจากนั้นก็ไม่พูดอะไรสักคำ เพียงสะบัดแขนเสื้อพาคนออกไปทันที หลังจากออกไปก็พาสาวใช้ขั้นสองสองคนและหญิงรับใช้าุโผู้จัดการความเรียบร้อยภายในเรือนคนหนึ่งของเรือนตนออกไปด้วย
ดึกดื่นค่อนคืนก็ส่งบ่าวหญิงร่างใหญ่มาสองคน มองอย่างไรก็รู้สึกอึดอัด
ส่วนอีกสองคนที่ยืนเฝ้าอยู่ใต้ชายคาด้านนอก กล่าวว่าเป็คนที่นายท่านส่งมาสั่งสอนและควบคุมพฤติกรรมของแม่นมหลี่ กุ้ยเยวี่ยและกุ้ยหวา ฟางอี๋เหนียงอยู่ในห้องเหมือนดั่งหัวใจถูกบีบคั้นจนเ็ป ไหนเลยจะหลับได้ลง ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็ธรรมและเสียใจสุดประมาณ จึงร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็สายเื มิได้หลับได้นอน
บัดนี้เมื่อได้ยินโม่เสวี่ยิ่เอ่ยถาม น้ำเสียงจึงแหบแห้งแทบฟังไม่ได้
“มีโจรเข้ามาในจวน ท่านพ่อก็ร้อนใจจึงบุกเข้ามา ได้เวลานอนแล้วไฉนอี๋เหนียงจึงไม่สวมอาภรณ์ให้หนาหน่อยเล่า กลางเหมันต์อากาศหนาวจัดเยี่ยงนี้ไม่กลัวเป็อันตรายต่อสุขภาพหรือไร” นางรู้มาจากคำบอกเล่าของพวกบ่าวไพร่ ว่าเมื่อคืนยามที่บิดาตามมาจับโจร ฟางอี๋เหนียงสวมเพียงเสื้อผ้าบางๆ ชั้นเดียว ดูไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง จึงคิดว่าบิดาน่าจะลุโทสะด้วยเหตุนี้ แต่ก็มิได้เก็บมาใส่ใจ รู้สึกเพียงว่าฟางอี๋เหนียงสติปัญญาตื้นเขินนัก
ตั้งครรภ์อยู่เยี่ยงนี้ ยังจะคิดถึงเื่อย่างว่าอยู่อีก แล้วจะมิให้ผู้อื่นดูแคลนได้อย่างไร
แค่อนุภรรยาต่ำต้อยคนหนึ่ง ไม่มีความรู้ ไม่รู้จักมารยาทและความเหมาะสม แต่ไหนแต่ไรนางก็ไม่เคยเห็นฟางอี๋เหนียงอยู่ในสายตาอยู่แล้ว แต่ต่อหน้าก็ยังต้องแสดงความห่วงใย เพราะถึงอย่างไรฟางอี๋เหนียงก็มีความจำเป็สำหรับตนเองอยู่ หรืออาจกล่าวได้ว่ายังจำเป็ต้องใช้เด็กในท้องของนาง
ฟางอี๋เหนียงฟังวาจาแล้วก็ทั้งอับอายและโมโหจนหน้าแดงก่ำ ตอบโต้กลับไปทันที “นี่คือคำพูดที่ผู้เป็บุตรสาวสมควรกล่าวออกมาหรือ กลางค่ำกลางคืนใครบ้างไม่สวมเสื้อผ้าให้น้อยชิ้นลงเพื่อความสบายไม่อึดอัด อยู่ในห้องของตนเองมิได้ไปตากลมตากฝนที่ไหน ไฉนพวกเ้าสองพ่อลูกต้องมาตั้งแง่รังเกียจข้าด้วย”
“อี๋เหนียงอย่าเพิ่งโมโห ิ่เอ๋อร์ก็แค่กล่าวในสิ่งที่สมควร ก็ขอให้เื่ยุติเท่านี้เถิด ถึงเวลาที่อี๋เหนียงคงต้องเปลี่ยนแผนใหม่แล้วกระมัง โอกาสก็ผ่านไปแล้วนี่” โม่เสวี่ยิ่ถามถึงข้อเสนอของนางครั้งก่อนด้วยท่าทางเปิดเผยตรงไปตรงมา ฟางอี๋เหนียงไม่อาจทำอะไรนางได้แล้ว ได้แต่ต้องใช้บุตรในครรภ์ของตนเองมาเป็หมากในกระดาน
ฟางอี๋เหนียงหนาวสะท้านไปถึงหัวใจ เอามือกุมท้องด้วยสัญชาตญาณ นิ่งอึ้ง ริมฝีปากสั่นระริก ทว่าไม่มีถ้อยคำใดหลุดออกจากปาก ไม่ว่าอย่างไรเด็กในท้องก็คือเืเนื้อเชื้อไข นางตัดใจไม่ลงจริงๆ
โม่เสวี่ยิ่แสร้งหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดหน้าแสดงบทโศก ก่อนจะแอบกระซิบเตือนฟางอี๋เหนียงด้วยน้ำเสียงเ็า “อี๋เหนียงพักผ่อนชดเชยสักครู่ก่อนเถิด หลับให้สบาย อย่าให้ท่านพ่อวิตกกังวล เื่เมื่อวานผ่านไปแล้ว มองไปข้างหน้าจึงจะมีหนทาง ข้ากับพี่ชายล้วนมีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน พวกเราสองคนต่างต้องพึ่งพาอี๋เหนียงด้วยกันทั้งสิ้น”
หากเอาเด็กคนนี้ไว้ ก็จะไม่มีนางกับโม่อวี่เฟิง ดูสิว่าฟางอี๋เหนียงจะเลือกผู้ใด
“ได้ ตามใจเ้า” เสียงตอบลอดไรฟันออกมา
ฟางอี๋เหนียงนอนคิดมาทั้งคืนก็ตัดสินใจว่าจะสละบุตรในครรภ์คนนี้ เื่เมื่อวานมาคิดดูแล้วเพราะตนเองเป็อนุภรรยาจึงได้รับความไม่เป็ธรรมเยี่ยงนั้น ิ่เอ๋อร์กล่าวมาไม่ผิด ต่อไปนางยังมีบุตรอีกได้ หากไม่รีบจัดการให้ได้รับแต่งตั้งขึ้นเป็ภรรยาเอก รอจนโม่ฮว่าเหวินแต่งภรรยาใหม่เข้ามา ตนเอง ิ่เอ๋อร์และเฟิงเอ๋อร์ก็จะกลายเป็ที่รำคาญตา เปรียบเสมือนหนามยอกอกของผู้อื่น
ยิ่งไปกว่านั้นนางก็ไม่ยินดีให้แผนการชิงตำแหน่งนายหญิงของจวนที่ตนเองเพียรวางมาตลอดหลายปีจนใกล้จะสำเร็จอยู่รอมร่อ ต้องมาถูกผู้อื่น่ชิงไปต่อหน้าต่อตา นี่คือสิ่งที่นางไม่มีวันยอมรับได้ ที่นางแสดงท่าลังเลใจเมื่อครู่ ก็เพราะยังอาลัยอาวรณ์อยู่นั่นเอง แต่เพื่อฐานะของตนเองในภายภาคหน้า แค่เด็กเพียงคนเดียวนางย่อมสละได้
นางคิดไปถึงขั้นว่าถ้าไม่มีเด็กคนนี้แล้ว โม่ฮว่าเหวินจะต้องทั้งปวดใจและละอายใจ ทั้งยังสามารถถอนรากความโปรดปรานที่โม่ฮว่าเหวินมีต่อโม่เสวี่ยถงได้ในคราวเดียวกัน หากได้เช่นนี้แล้วจะมีอันใดที่ไม่น่ายินดีเล่า
โม่เสวี่ยิ่คาดการณ์ไว้นานแล้วว่าฟางอี๋เหนียงจะต้องตอบตกลง ด้วยนิสัยเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจของนาง จึงแค่พูดไปอย่างนั้นเอง สิ่งที่แสดงออกไปก่อนหน้าก็ล้วนเป็เพียงการเล่นแง่เท่านั้น นางไม่เคยชอบฟางอี๋เหนียงมาแต่ไหนแต่ไร รู้สึกว่านางเป็เพียงอนุภรรยาผู้ต่ำต้อยที่ทำให้ตนเองต้องลำบาก เมื่อเห็นเป้าหมายสัมฤทธิ์ผลก็ไม่รั้งตัวอยู่ต่อ แอบยัดแผ่นกระดาษใส่มือของฟางอี๋เหนียง
ท่านพ่อจัดการคนรับใช้ที่นี่ใหม่ทั้งหมด เห็นได้ชัดว่าโกรธเคืองฟางอี๋เหนียงอยู่ นางไม่กล้าทำให้โม่ฮว่าเหวินไม่พอใจในเวลานี้ แม้ว่าเื่ก่อนหน้านั้นจะจบไปแล้ว แต่โม่ฮว่าเหวินก็ยังเห็นโม่เสวี่ยถงสำคัญกว่านาง แม้ว่าจะไม่ตำหนิใดๆ แต่ก็ต้องไม่พึงพอใจ สองสามวันมานี้จึงไม่มาหานางเลย
แล้วยามนี้นางจะยอมให้ท่านพ่อยิ่งห่างเหินเ็ากับตนเองเพราะเื่ฟางอี๋เหนียงได้อย่างไร
เมื่อไม่มีคำใดจะพูดแล้ว ก็กลับไปยังเรือนของตน
…
ในเรือนชิงเวย
โม่เสวี่ยถงกลับล้มป่วยขึ้นมาจริงๆ เดิมทีาแที่ได้รับพอใส่ยาแล้วก็ไม่น่าจะเกิดปัญหาอะไรอีก แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงล้มหมอนนอนเสื่อได้ จู่ๆ ร่างกายก็สะบัดร้อนสะบัดหนาวแทบลุกจากเตียงไม่ไหว มีลมหายใจแต่กลับไร้กำลังวังชา ยาที่ส่งเข้ามานางล้วนตรวจสอบแล้วทั้งสิ้น ก็ไม่พบว่ามีปัญหาแต่อย่างใด เหล่าไท่ไท่ยังคงให้รักษาระเบียบไปคารวะยามเช้า เวลาอื่นๆ ไม่ต้องออกไปไหน ให้พักผ่อนอยู่แต่ในเรือนชิงเวย
ไม่มีโม่เสวี่ยิ่กับโม่เสวี่ยฉงมากวนใจ วันเวลา่นี้ก็นับว่าสงบสุขดี
“โม่เยี่ย เ้าไปนำกำยานนี้มาจากไหน ทำไมจึงไม่เหมือนกับทุกทีเล่า” โม่เสวี่ยถงวางผ้าปักลายในมือลง แล้วช้อนตามองโม่เยี่ยที่เพิ่งเดินเข้ามา ทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยหิมะ สองวันมานี้อากาศไม่ค่อยดีนัก มีหิมะตกเป็พักๆ
โม่เยี่ยปัดหิมะออกจากตัว หยิบกำยานออกมาแล้วเดินไปหาโม่เสวี่ยถงก่อนส่งให้ถึงมือ พลันกดเสียงต่ำแล้วกล่าวว่า “คุณหนู ท่านอ๋องบอกว่ากำยานนี้มีปัญหา”
นี่เป็ข้อสงสัยเพียงข้อเดียวที่โม่เสวี่ยถงคิดได้ จึงให้โม่เยี่ยนำไปให้เฟิงเจวี๋ยหร่านช่วยตรวจสอบ
“มีพิษหรือ” โม่เสวี่ยถงรับมาถือไว้ ตนเองใช้กำยานนี้เพียงอย่างเดียวมา่ระยะเวลาหนึ่ง เหมันตฤดูอากาศหนาวจัด แต่ภายในห้องกลับอบอุ่นและมีกลิ่นหอมเย็นอ่อนๆ แบบนี้ นางรู้สึกชอบเป็พิเศษจึงใช้มาโดยตลอด
โม่เยี่ยอยู่เบื้องหน้าของโม่เสวี่ยถง แต่หันหลังให้นาง ใช้สมาธิจดจ่ออยู่ภายในเรือนว่ามีเสียงของผู้ใดแอบแฝงอยู่หรือไม่ เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่มีจึงกระซิบตอบเสียงเบา “ท่านอ๋องบอกว่ามีส่วนผสมบางอย่างในกำยานนี้ หากคุณหนูสูดกลิ่นร่วมกับใช้สมุนไพรบางตัวในยาที่คุณหนูดื่มจะทำให้รู้สึกง่วงงุน ด้านอื่นๆ ก็มิได้มีผลร้ายอันใด แต่ในนี้มีส่วนผสมของกลิ่นชะมดเช็ด”
ไม่มีผลร้ายกับนางแล้วนำมาให้นางใช้ทำไม นางไม่เชื่อว่าโม่เสวี่ยิ่จะทำเื่ที่ไม่ส่งผลประโยชน์กับตนเอง ยิ่งไปกว่านั้นกลิ่นชะมดเช็ดก็ไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับนาง ประโยชน์เพียงอย่างเดียวของมันคงใช้เพื่อทำร้ายฟางอี๋เหนียงกระมัง แต่ฟางอี๋เหนียงก็ไม่น่าจะมาที่เรือนของตนเองได้
โม่เสวี่ยิ่คิดจะทำสิ่งใดกันแน่ นางหลุบตาลงครุ่นคิด ดวงตากระจ่างใสกะพริบปริบๆ แต่ก็คิดไม่ออก รู้สึกแต่ว่าโม่เสวี่ยิ่ไม่น่าทำในสิ่งที่ไร้ประโยชน์ จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับบางอย่างเป็แน่
“คุณหนูกำยานนี้จะให้จุดหรือไม่”
“จุดสิ ทำไมจะไม่จุดเล่า เมื่อผู้อื่นอุตส่าห์วางแผนมาอย่างดีแล้ว ก็ให้แผนของพวกนางเดินต่อไปทีละก้าวเถิด”
โชคดีที่หลังจากนั้นไม่กี่วัน อาการไม่มีแรงของโม่เสวี่ยถงก็หายไปเอง พวกแม่นมสวี่จึงค่อยวางใจลง แต่โม่เสวี่ยถงก็ยังตั้งปราการป้องกันอยู่ในใจ จึงเชิญลั่วเหวินโย่วให้มาหาที่จวน ลั่วเหวินโย่วนำยามาให้มากมายบรรจุมาเต็มรถคันใหญ่ ยามคนขนของเข้ามาโม่เสวี่ยฉงเห็นแล้วก็ไม่พอใจแค่นเสียงเย็นใส่ไม่หยุด พอพวกเขาเดินพ้นไปแล้ว นางก็หมุนตัวกลับเรือนของตน
วันเวลาแห่งความสงบสุขค่อยๆ ผ่านไป และแล้วคืนนี้ก็เป็คืนส่งท้ายปี โม่อี๋เหนียงและฉิงอี๋เหนียงเป็ผู้ดูแลจัดการภายในจวน สองสามวันมานี้จึงยุ่งตัวเป็เกลียว ทั้งสองต้องช่วยกันจัดงานฉลองเทศกาลยิ่งใหญ่ ไม่ว่าอย่างไรก็จะให้ผู้อื่นมาดูแคลนมิได้
่นี้ฟางอี๋เหนียงทำตัวสงบเสงี่ยมอย่างยิ่ง ไม่สำแดงความสามารถใดๆ ทั้งสิ้น ปรกตินอกจากไปคารวะเหล่าไท่ไท่ยามเช้า ก็จะเดินเล่นอยู่ในสวน ไม่มีการหาเื่เล่นงานโม่อี๋เหนียงและฉิงอี๋เหนียง คล้ายว่าได้มอบหมายงานจัดการภายในจวนให้แก่พวกนางสองคนแล้ว ส่วนตนเองก็มีหน้าที่แค่ดูแลเอาใจใส่บุตรในครรภ์ บ่าวไพร่จากเรือนของนางเมื่อออกมาข้างนอกก็วางตัวดีมีมารยาทอย่างยิ่ง
เพียงแต่ใครๆ ต่างก็มองออกว่าโม่ฮว่าเหวินดูเหมือนจะโกรธเคืองฟางอี๋เหนียงจริงๆ ได้ยินบ่าวชายของเรือนด้านนอกคุยกันว่า คืนนั้นนายท่านดื่มสุราในห้องหนังสือจนเมามาย วันต่อมาก็ไม่ตื่นตลอดทั้งวัน หลับไปจนถึงเช้าอีกวันหนึ่งจึงลุกขึ้นมาตามปรกติ
ทว่านับแต่นั้นก็ไม่เหยียบย่างไปเรือนหลีหวาอีกเลยแม้เพียงก้าวเดียว