การซื้อซาลาเปาทำให้เสียเวลาไปบ้าง ยามออกจากประตูเมืองทิศเหนือ คาราวานวาณิชก็ออกเดินทางแล้ว
เห็นเพียงเงาทิ้งไว้บนถนนซึ่งอยู่ไกลออกไป
"พวกเรามาช้าไปใช่หรือไม่" เซวียเสี่ยวหรั่นเปิดประตูกวาดมองไปโดยรอบ
"ต้าเหนียงจื่อ มิต้องกังวล คาราวานพ่อค้าไปได้ไม่เร็วนัก พวกเราตามทันอยู่แล้วขอรับ"
อู๋โจวสะบัดแส้เร่งตะบึงอาชา
"ปิดประตูแล้วนั่งดีๆ" เหลียนเซวียนตวัดสายตามาที่นาง
"ข้าแค่กลัวตามไม่ทัน" เซวียเสี่ยวหรั่นกลอกตา แต่ก็ยอมปิดประตูแต่โดยดี
"ออกมาข้างนอก อย่าจู้จี้ขี้บ่นนักเลย ไม่มีความเป็กุลสตรีสักนิด"
เหลียนเซวียนไม่เคยนึกว่าวันหนึ่งถ้อยคำของหญิงชราทำนองนี้จะออกมาจากปากของตนเอง
ดวงตากลมโตของเซวียเสี่ยวหรั่นเบิกกว้างมองเขาอย่างไม่อยากเชื่อ
"ข้าขี้บ่นตรงไหน? ข้าก็เป็กุลสตรีที่ดีงามมาโดยตลอดเลยนะ"
กุลสตรี? เหลียนเซวียนคิ้วกระตุก ประเสริฐ หนังหน้ายังหนาได้อีก
"ข้าทำงานได้ทุกอย่าง ทั้งต้อนรับแขก เข้าครัวทำอาหาร สานรองเท้าฟาง ถักเสื้อไหมพรม ทำสิ่งใดก็คล่องแคล่ว ความรู้ดุจตำราห้าคันรถ [1] แล้วก็..."
ดวงตาล้ำลึกสุดหยั่งถึงฝั่งตรงข้ามจดจ้องใบหน้าของเธอไม่ขยับ เซวียเสี่ยวหรั่นหัวเราะเจื่อนๆ พูดต่อไม่ออก
"อืม ที่แท้เ้าก็มีข้อดีเยอะเพียงนี้" เหลียนเซวียนแทบปั้นสีหน้าเคร่งขรึมไม่อยู่ ต้องหลุบตาซ่อนเร้นรอยยิ้ม "ว่าต่อสิ"
ต่ออะไรกันล่ะ? ฮึ! เซวียเสี่ยวหรั่นหันไปชูกำปั้นใส่เขา
"แฮ่ม สรุปว่าเื่ที่ข้าทำเป็มีมากมายนัก"
"ใช่มีมากมาย แต่สิ่งเ่าั้หาได้แสดงถึงความเป็กุลสตรี" เหลียนเซวียนจงใจยอกย้อน
"กุลสตรีคืออะไร อ่อนโยนมีคุณธรรม เคร่งครัดในกฎเกณฑ์ ประพฤติตนเหมาะสมน่ะหรือ? สิ่งเ่าั้ล้วนไม่ใช่ข้า" เซวียเสี่ยวหรั่นไม่ชอบชีวิตที่ต้องผูกติดอยู่กับระเบียบแบบแผนทุกฝีก้าว
เหลียนเซวียนมองนางด้วยแววตาสงบนิ่ง นาง้าแสดงถึงสิ่งใด?
"อีกอย่าง จอมยุทธ์อย่างท่านพึงพอใจกับเื่บุญคุณความแค้น ทะนงตน รักอิสรเสรี เห็นธรรมเนียมทางโลกไร้ความหมาย เหตุใดถึงถูกข้อบังคับเ่าั้ผูกมัดได้เล่า" เซวียเสี่ยวหรั่นเริ่มโจมตีกลับบ้าง
เหลียนเซวียนอึ้งงัน เม้มริมฝีปาก
"ข้าไม่ใช่จอมยุทธ์"
เขาปฏิเสธเรียบๆ
"หา?" เซวียเสี่ยวหรั่นเบิกตากว้าง เธอนึกว่าเขาเป็ยอดฝีมือด้านการต่อสู้ เป็จอมยุทธ์ถือกระบี่ท่องยุทธภพมาโดยตลอด
เธอเข้าใจผิดไปเองหรือนี่
"ไม่ใช่จอมยุทธ์ แล้วเหตุใดถึงถูกคนทรมานจนกลายเป็เช่นนั้นเล่า"
ไม่ใช่ถูกศัตรูตามมาล้างแค้นหรอกหรือ?
เหลียนเซวียนส่ายหน้า มองไปที่ประตูรถ ไม่มีคำตอบ
เซวียเสี่ยวหรั่นเข้าใจความหมายของเขา
"แฮ่ม จะว่าไปท่านเคยบอกว่าจะสอนข้าตกปลา อย่าลืมสัญญาเชียวล่ะ"
เพื่อป้องกันกำแพงมีหู เซวียเสี่ยวหรั่นก็ยังรู้กาลเทศะเปลี่ยนเื่คุย
"เอาไว้มีเวลาว่างก่อน" เหลียนเซวียนหันกลับมามองนาง มุมปากยกยิ้มน้อยๆ
"อืมๆ ตกลงแล้วห้ามกลับคำล่ะ" เซวียเสี่ยวหรั่นยิ้มกว้าง
"อื้ม" เมื่อเขาให้คำมั่นย่อมรักษาสัญญา
ล้อรถยังคงหมุนไปข้างหน้า เริ่มเข้าใกล้ท้ายขบวนคาราวานทีละน้อย
รถม้าของพวกเขาค่อยชะลอช้าลง
เซวียเสี่ยวหรั่นยื่นศีรษะไปทางหน้าต่าง เมื่อไม่ให้เปิดประตู เช่นนั้นมองทางหน้าต่างก็ได้
คาราวานพ่อค้ายังคงมุ่งไปด้านหน้า ทิ้งฝุ่นละอองคละคลุ้งไว้ให้พวกเขาซึ่งอยู่ด้านหลัง
ฝุ่นหนาทึบที่ปกคลุมไปทั่วทำให้เห็นทางได้ไม่ไกลนัก
ให้ตายเถอะ นี่พวกเธอต้องกินฝุ่นอยู่ท้ายขบวนไปตลอดเลยหรือเปล่าเนี่ย
"เส้นทางนี้ย่ำแย่ยิ่งนัก พอขบวนรถผ่านไป ฝุ่นก็คลุ้งไปหมด โธ่์"
เซวียเสี่ยวหรั่นบ่นพึมพำอย่างอดไม่ได้
"รู้แล้วยังเปิดหน้าต่าง" เหลียนเซวียนส่ายหน้าอย่างระอาใจ นางจะเงียบบ้างไม่ได้เชียวหรือ
"ข้าจะดูสถานการณ์ข้างนอกน่ะ" เซวียเสี่ยวหรั่นเกาะหน้าต่าง นั่งนับจำนวนรถที่อยู่ด้านหน้า
"ว้าว มีรถม้าติดตามอยู่ด้านหลังตั้งเกือบยี่สิบคันแน่ะ จิ๊ๆ ทุกคนต่างก็อยากพึ่งพาอาศัยอำนาจของพวกเขา เพื่อหลีกเลี่ยงโจรูเา"
เหลียนเซวียนนิ่งเงียบไม่เปล่งเสียงสักคำ
ติดตามขบวนพ่อค้าวาณิชมีทั้งประโยชน์และสิ่งที่น่าอึดอัด กองคาราวานขนาดนั้นตกเป็เป้าหมายได้ง่าย แต่พวกเขาก็แข็งแกร่ง หาใช่พวกถือศีลกินผัก
"โอ้โห ดูเหมือนว่าข้าจะเห็นรถม้าเวอร์วังที่อยู่ตรงกลางนั่นแล้วล่ะ" เซวียเสี่ยวหรั่นหรี่ตาจดจ้องขบวนรถที่กำลังเลี้ยวโค้ง
เวอร์วัง? นี่คงเป็คำบรรยายประหลาดอีกแล้วสินะ เหลียนเซวียนรู้สึกจนปัญญา
"ม้าสีขาวกำยำล่ำสันสองตัวลากรถม้าสี่ล้อขนาดใหญ่ รถม้าคันนั้นทาด้วยสีแดงเืหมูแลดูสะดุดตา ม่านโปร่งขาวกระจ่างดังหิมะพลิ้วไสวออกมาด้านนอก ด้านข้างดูเหมือนจะแขวนมู่ลี่หยกแถวหนึ่ง โอ๊ย เหตุใดถึงเห็นไม่ชัดเลยล่ะ"
เซวียเสี่ยวหรั่นเริ่มยื่นศีรษะออกไปนอกหน้าต่าง
"แฮ่ม นั่งดีๆ" เหลียนเซวียนทนไม่ไหว
"อื้อ" เซวียเสี่ยวหรั่นหดคอกลับมา แต่สุดท้ายก็ยังคงมองไปที่รถม้าหรูหราคันนั้น
"นึกว่าสายตาดีขึ้นมากแล้ว ระยะทางแค่นี้ยังเห็นไม่ชัดเลย เฮ่อ..." เซวียเสี่ยวหรั่นเริ่มบ่นต่อ
เหลียนเซวียนตวัดหางตามา เมื่อก่อนนางก็เคยบ่นว่าสายตาไม่ดี
"สายตาเป็อะไรไป"
"อ่านตำราเยอะเกินไป สายตาก็เลยสั้นน่ะสิ" เซวียเสี่ยวหรั่นตอบอย่างไม่นำพา
"อ่านตำราเยอะ? เ้าแน่ใจ? เหลียนเซวียนเลิกคิ้ว มุมปากคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
เซวียเสี่ยวหรั่นเห็นแล้วก็ฉุนขึ้นมาทันที "ท่านทำสีหน้าอะไรกัน ข้าพูดความจริงนะ"
"อ้อ" เหลียนเซวียนเปล่งเสียงอย่างแ่เบา
"อ้ออะไร?" เซวียเสี่ยวหรั่นเืขึ้นหน้า "อักษรของพวกเราไม่เหมือนกับของพวกท่าน ดังนั้นอักษรของพวกท่าน ข้าถึงรู้จักไม่หมดทุกตัว ฮึ"
ไม่เหมือนทั้งหมด? เช่นนั้นก็ควรค่าแก่การสืบเสาะสักหน่อยแล้ว เหลียนเซวียนมองนางอย่างล้ำลึกราวกับกำลังจะขุดคุ้ยบางอย่าง
"เมื่อเป็เช่นนี้ แคว้นของพวกเ้าอยู่ที่ใดกันล่ะ"
อารมณ์เดือดดาลจวนเจียนะเิของเซวียเสี่ยวหรั่นพลันมอดดับลงในชั่วพริบตา
"ที่ไหน... ก็ที่นั่นไงล่ะ เอ้อ เหลียนเซวียน ท่านหิวหรือยัง ซาลาเปาร้านนั้นลูกใหญ่มากเลย มีทั้งไส้เนื้อ ไส้ผัก ไส้วุ้นเส้น ท่านอยากได้อันไหน"
เซวียเสี่ยวหรั่นหยิบซาลาเปาลูกใหญ่ขึ้นมา เริ่มเปลี่ยนเื่คุย
ดวงตานิ่งลึกของเหลียนเซวียนยังคงมองนางอยู่
ประเสริฐ เขาจะดูว่านางจะหลบเลี่ยงไปถึงยามไหน
ภายในรถม้าเงียบกริบ อู๋โจวซึ่งบังคับรถอยู่ยังหันกลับมามองที่ประตูด้วยความสงสัย
ั้แ่หลางจวินกับต้าเหนียงจื่อสกุลเหลียนขึ้นรถมา ก็ได้ยินเสียงสนทนากันไม่หยุด แม้ได้ยินไม่ชัดเจนนัก แต่คนหนึ่งน้ำเสียงอ่อนหวานไพเราะ อีกคนก็เสียงทุ้มต่ำนุ่มนวล กระซิบกระซาบกันอย่างสนิทชิดเชื้อ
จนอู๋โจวเกิดความริษยาในใจ
แต่บทจะเงียบขึ้นมา ก็รู้สึกเหมือนขาดอะไรไปอย่าง
เซวียเสี่ยวหรั่นลอบมองสีหน้าไร้อารมณ์ของเหลียนเซวียน เขาไม่ตอบ เธอจะเริ่มกินเลยก็ดูไม่ดี
ก๋วยเตี๋ยวชามนั้นยังใช้พลังงานไม่หมดเลย เธอจะเอาอารมณ์มาลงที่ท้องของตนเองไม่ได้
เซวียเสี่ยวหรั่นแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เขา
หลังจากนั้นก็หยิบผ้าห่มผืนบางออกมาปูที่มุมรถ แล้วทิ้งตัวลงไปบนนั้น ปูครึ่งหนึ่งห่มครึ่งหนึ่ง
"ข้าง่วง จะนอนแล้ว หากถึงที่หมายอย่าลืมปลุกด้วยล่ะ"
จากนั้นก็เอากระเป๋าสะพายหลังของตนเองมาหนุนเป็หมอนแล้วหลับตา
ผลก็คือหลับสนิทอย่างรวดเร็ว
พอได้ยินเสียงลมหายใจยาวสม่ำเสมอของนาง เหลียนเซวียนก็ทั้งฉิวทั้งขัน
แม่อันธพาลน้อยผู้นี้ ทำอะไรนางไม่ได้เลยจริงๆ
...
[1] หมายถึง มีความรู้ล้นหลาม หรือรอบรู้ทุกเื่
