ที่แท้ความรู้สึกที่ชอบผู้ใดสักคน เป็เช่นนี้นี่เอง
มีความสุขก็เพราะเขา มิมีความสุขก็เพราะเขา ตื่นเต้นก็เขา เศร้าโศกผิดหวังก็เขา รักและคิดถึงเขา แต่ก็ไม่ชอบเขา
ชิมผลแห่งความรักไปแล้ว กัดเข้าไปพลันหวานถึงหัวใจ ทว่ากัดคำต่อไปกลับเปรี้ยวถึงกระดูก
นางรู้สึกหลงทาง สับสน หนักใจ ถึงกับคิดว่าเหตุใดหรงซิวถึงเป็คนเช่นนี้?
ทั้งๆ ตอนที่เขาปฏิบัติต่อนางอย่างอ่อนโยน เขาจริงจังและจริงใจมากแท้ๆ
ในชั่วพริบตาเขากลับเดินตามสตรีผู้อื่นไปโดยมิหันหลังกลับมาเลย ไม่ได้กลับมาทั้งคืนทั้งยังมิบอกกระไรกับนางเลย
ในใจของบุรุษ จะมีสตรีอยู่กี่คนกัน?
อวิ๋นอี้มิมีคำตอบ
นางคิดว่า บางทีนางอาจไม่เคยเข้าไปในใจเขาเลยจริงๆ ก็เป็ได้ มิเช่นนั้นเขาจะเปลี่ยนไปอย่างปุบปับได้อย่างไร?
คิดว่าจะออกมาเดินเล่น ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นมองไปข้างหน้ากลับมาถึงโรงเตี๊ยมเกาเซิ่ง
จ่างกุ้ยเห็นนางมาั้แ่ไกล จึงรีบออกมาทักทาย เมื่อเห็นว่านางสีหน้าไม่ดีดูราวกับมีอารมณ์เศร้า เขาจึงพูดอย่างระมัดระวังว่า “เชิญพ่ะย่ะค่ะพระชายา”
“อื้ม” อวิ๋นอี้พยักหน้า มิได้ยิ้มออกมา
จ่างกุ้ยแน่ใจแล้วว่าวันนี้เ้านายอารมณ์ไม่ดี
ท่าทีของเขาเริ่มระมัดระวังและใส่ใจมากขึ้น เขาลองพูดถามว่า “ท่านอยากจะเข้ามานั่งหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? โรงเตี๊ยมได้จ้างพ่อครัวคนใหม่ อาหารที่เขาทำอร่อยมาก ข้าให้เขาทำอาหารมาให้ลองดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“ได้”
อย่างไรเสียเพลานี้นางก็มิอยากกลับจวน ทั้งไม่รู้ว่าจะไปที่ใดได้
ตอนที่ออกมา นางเอาแต่โกรธมิได้ทานอาหารใดๆ เมื่อจ่างกุ้ยพูดก็ดูเหมือนว่าตัวหนอนตะกละในท้องของนางจะถูกกระตุ้น นางถึงได้รู้สึกหิวมาก
จ่างกุ้ยต้อนรับอวิ๋นอี้ไปที่ห้องชั้นบน และให้นางสั่งอาหาร
รายการอาหารของโรงเตี๊ยมถูกเพิ่มอีกครา อวิ๋นอี้พลิกดู อาหารใหม่ส่วนใหญ่นางยังมิเคยทาน จึงให้เขาแนะนำมาสองอย่าง
“ปลากรอบจานนี้ทำจากปลาตะเพียนสดพ่ะย่ะค่ะ ทำให้มันแห้ง แล้วใส่ลงในน้ำมัน ทอดด้วยไฟกลาง…”
อวิ๋นอี้ฟังก็ทำเอาน้ำลายไหล จึงพูดขัดจังหวะ “เอาอันนี้แหละ ยังมีกระไรอีกหรือไม่?”
“หน่อไม้หน้าหนาวแช่เช้าจานนี้ ต้องแกะเปลือกหน่อ...”
“อืม จานนี้แหละ”
หลังจากถูกขัดจังหวะสองคราติดต่อกัน จ่างกุ้ยพลันเหมือนจะเข้าใจแล้ว จึงได้แต่ยิ้ม "พระชายาทานอาหารคนเดียว ข้าน้อยจะเตรียมทัง[2] ให้นะพ่ะย่ะค่ะ คิดว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?"
“ไปจัดการเถิด” อวิ๋นอี้โบกมือไล่เขาออกไป
ให้บอกชื่ออาหารก็บอกชื่อสิ จะบอกวิธีทำไปทำไม ทำเอานางอยากทานจนเกือบลืมความโศกเศร้าในใจไปเลย
จ่างกุ้ยผู้นี้มิรู้ว่าตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ
ห้องที่อวิ๋นอี้อยู่คือที่ที่นางมาทำงานบ่อยๆ ระหว่างรออาหาร นางก็นั่งหลังโต๊ะและเปิดบัญชีดู
หากจะมีสิ่งใดที่ทำให้นางมีความสุขได้ นั่นก็คือตัวเลขที่เขียนไว้อย่างหนาแน่น
หลังจากที่ชื่อเสียงของโรงเตี๊ยมเกาเซิ่งดังออกไป ตราบใดที่การบริการด้านอื่นๆ ทำได้ดี การดำเนินธุรกิจก็ไม่เป็ปัญหา ซึ่งเห็นได้จากรายได้รายวันที่มั่นคง
นางพอใจกับผลลัพธ์นี้มาก จะมีผู้ใดไม่ชอบว่าหาเงินได้เยอะๆ บ้างเล่า?
แม้ว่าอวิ๋นอี้จะเคยเป็นักวางแผนการตลาด ทว่าความรักในเงินของนางนั้นไม่น้อยไปกว่านักธุรกิจผู้ทะเยอทะยาน
ไม่นานมานี้ ลู่จงเฉิงกล่าวถึงที่ตั้งของร้านใหม่ มิรู้ว่าเพลานี้เป็อย่างไรบ้าง?
มีเวลาคิดว่าจะไปหาเขา
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก!”
นางดูบัญชีอย่างจดจ่อ ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตู
อวิ๋นอี้คิดว่าเป็จ่างกุ้ย นึกว่าอาหารพร้อมแล้วจึงรีบลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะกลมแล้วพูดว่า "เข้ามา"
ประตูถูกผลักเปิดออก ทว่าผู้ที่ปรากฏต่อหน้านางกลับเป็ลู่จงเฉิงคนที่เพิ่งพูดถึง
พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มาจริงๆ [1] ...
อวิ๋นอี้ลุกขึ้นและพยักหน้าให้ลู่จงเฉิง "ท่านมหาเสนาบดีลู่"
แววตาของเขาเป็ประกายขึ้นเล็กน้อยและพยักหน้า "ท่านมาแล้ว"
นางตอบด้วยรอยยิ้มว่า “เ้าค่ะ เดินมาที่นี่จึงมาดู ท่านว่างวันนี้หรือเ้าคะ?”
เท่าที่นางรู้ ผู้ที่อยู่ข้างหน้านางนั้นจิตใจแน่วแน่
เขาเปิดหน้าร้านสองแห่งด้วยความตั้งใจ การทำเงินหรือไม่นั้นเป็เื่รอง มันมิได้ส่งผลต่อจิตใจของเขาอยู่ดี
หากมิใช่เพราะนางรีบไปให้คำแนะนำแก่เขา ร้านของเขาคงจะตายมิตายแหล่เป็แน่
ต่อมานางทำสิ่งต่างๆ ให้ ร้านทั้งสองดำเนินกิจการได้ ในฐานะเถ้าแก่ใหญ่อย่างเขา ยังคงไม่ค่อยปรากฏตัวในร้านมากนัก
เห็นเขาในเช้าตรู่เช่นนี้ ใไม่น้อยเลยจริงๆ
“ข้าว่างมาตลอด" ลู่จงเฉิงยืนอยู่ที่ประตู เสียงของเขายังพูดไม่จบ เสียงฝีเท้าและเสียงของจ่างกุ้ยพลันดังมาจากข้างหลังเขา "โอ้ เถ้าแก่อยู่ด้วยหรือขอรับ? ข้านำอาหารมาให้พระชายา”
อาหารสองอย่างและทังหนึ่งถ้วยถูกวางบนโต๊ะ สีกลิ่นหอมและรสชาติล้วนดูดี ดูน่ารับประทานมาก
หนอนตะกละในท้องอวิ๋นอี้ดูเหมือนจะกระฉับกระเฉงขึ้น นางพยายามจะไล่คนออกไปอย่างสุภาพ นางเงยหน้าขึ้นพลันเห็นสายตาของลู่จงเฉิงมองตรงไปที่ปลากรอบ
เอ่อ
นางถอนหายใจแล้วถามอย่างเคารพ “ท่านมหาเสนาบดีลู่มาั้แ่เช้าตรู่ คงจะยังมิได้ทานข้าวใช่หรือไม่เ้าคะ? ทานด้วยกันไหมเ้าคะ?”
“พ่ะย่ะค่ะ”
จากที่ทานคนเดียว กลับกลายเป็สองคน
จ่างกุ้ยรู้ความ จากนั้นบนโต๊ะก็เต็มไปด้วยอาหาร
อย่างไรเสีย เถ้าแก่ใหญ่มิได้เข้ามาบ่อย เมื่อเขามาต้องถือโอกาสแสดงออกดีๆ
อาหารเช้าของอวิ๋นอี้ทำให้นางอิ่มเอมใจ
อาหารอร่อยมากจริงๆ หากมิใช่เพราะว่าท้องตึงไปหมดแล้ว นางคงก้มหน้าทานต่อไปอีก
จ่างกุ้ยมาเก็บโต๊ะ ทั้งสองเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างเกียจคร้านเล็กน้อย อวิ๋นอี้เหลือบมองลู่จงเฉิง ราวกับว่าเขามิได้ตั้งใจจะออกไป
หากเขาไม่ไป นางก็ไม่ควรไล่
หลังจากนั่งบนเก้าอี้อยู่นาน อวิ๋นอี้ก็คิดเื่ที่ตั้งของร้านใหม่ได้ จึงถามขึ้น
“ทุกอย่างกำลังดำเนินการ ใน่นี้อากาศดี คนงานรีบเร่งทำงาน หากวันใดท่านว่าง ข้าจะพาไปดูพ่ะย่ะค่ะ” เขาพูดด้วยสีหน้านิ่ง
อวิ๋นอี้ต้องตกลงแน่นอนอยู่แล้ว จากนั้นจึงถามรายละเอียดบางอย่าง เมื่อเห็นว่ามิมีกระไรจะพูดแล้ว ในที่สุดลู่จงเฉิงก็ลุกเดินออกไป
ขอบคุณพระเ้า
ทันทีที่เขาจากไป ห้องพลันว่างเปล่า เหมือนกับหัวใจที่ว่างเปล่าของนาง
อวิ๋นอี้มิอยากนึกถึงหรงซิวจึงฝังตนเองอยู่กับงานที่ยุ่ง
บัญชีของโรงเตี๊ยมกำลังรอให้นางตรวจสอบและทบทวน ในตอนที่ยุ่งๆ เวลาจะผ่านไปเร็ว
ใน่โพล้เพล้ ท้องของนางร้องโครกคราก
อวิ๋นอี้เงยหน้าขึ้น ก็ใที่เวลาเย็นเช่นนี้แล้ว
นางลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว พลันรีบวิ่งออกไปข้างนอก หากนางไม่รีบกลับหรงซิวน่าจะเป็ห่วงแล้ว เขาเป็คนคิดเล็กคิดน้อย จะต้องว่านางแน่
เมื่อคิดเช่นนี้นางก็ยิ่งตื่นตระหนก ทว่าผู้ใดจะรู้ว่านางถูกมุมโต๊ะสกัดไว้ เกือบจะล้มลงจึงรีบใช้มือพยุงให้ร่างมั่นคง
อวิ๋นอี้มึนเล็กน้อย แต่หลังจากที่รู้ตัว ใบหน้าของนางก็เย็นเยียบเสียดสีตนเอง
เพลานี้เขาสนใจนางที่ใดกัน?
หากเป็เมื่อก่อน กลางวันไม่กลับบ้าน ตอนบ่ายก็ยังไม่กลับ เขามาตามตั้งนานแล้ว
ทว่าทันทีที่หว่านฉือปรากฏตัว ตอนนี้เย็นเสียเช่นนี้แล้ว แต่เขากลับเพิกเฉย
บางทีเขาอาจจะยังไม่กลับจวนเสียด้วยซ้ำ มิรู้ด้วยซ้ำว่านางมิได้อยู่ที่นั่น?
ความรู้สึกอิจฉาริษยาและความเศร้าเกิดขึ้นอีกครา ทำให้ใจของนางเ็ป
เชิงอรรรถ
[1] พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา 说曹操曹操到 หมายถึง เพิ่งจะพูดถึงใครไปหยกๆ ก็ได้เจอทันที
[2] ทัง 汤 แปลว่าซุป
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้