เสียงหัวเราะเบาๆ ดังสลับกับเสียงคลื่น ความผ่อนคลาย ความกล้าแสดงออก และเสรีภาพของร่างกายไหลเวียนอยู่ในอากาศ เหมือนโลกทั้งใบมีเพียงพวกเขาเท่านั้น
มารตีเดินเคียงข้างวรเมธ มือของเธอถือเปลือกหอยชิ้นหนึ่งที่เธอเพิ่งเก็บได้ มันวาวและมีลวดลายเฉพาะเหมือนกับความรู้สึกที่เธอพยายามซ่อนเอาไว้ไม่ให้ใครเห็น
วรเมธเหลือบตามองเปลือกหอยในมือเธอแล้วหัวเราะเบาๆ “มันเหมือนลายเส้นตอนคุณยิ้มเลยนะ”
“หืม?” มารตีหัวเราะบ้าง แม้จะยังรู้สึกว่าเสียงหัวเราะตัวเองนั้นเบาเกินกว่าจะเป็ธรรมชาติจริงๆ “ถ้ารตีเป็เปลือกหอยก็คงจะกลิ้งไปกับคลื่นเรื่อยๆ เลยละ ไม่อยู่นิ่งสักที”
“แต่ผมว่าคุณน่าจะเป็ทะเลมากกว่านะ” วรเมธว่า ขณะยื่นมือมาแตะแผ่นหลังของเธอเบาๆ ความร้อนจากปลายนิ้วเขาไหลผ่านผิวเปลือยช้าๆ “ลึก...และซ่อนบางอย่างเอาไว้ข้างใน”
หญิงสาวไม่ตอบอะไร เพียงแค่ยิ้ม ก่อนจะชะงักเล็กน้อยเมื่อพบว่าสายตาของปพนต์และจิรภาก็หันมาทางพวกเธอพอดี ทั้งคู่ยิ้มให้ อบอุ่นและจริงใจ
เธอพยักหน้ารับ แล้วเดินนำพวกเขาทั้งหมดไปยังมุมหาดที่มีทรายละเอียดและนุ่มราวกับแป้ง... เด็กหญิงในร่างหญิงสาวผู้เปี่ยมด้วยความลุ่มหลงและสับสนในตัวเองพลันปรากฏขึ้น เธอนั่งลงกับพื้นทราย กำเปลือกหอยในมือแน่น แล้วเริ่มปั้นทรายให้กลายเป็ฐานเล็กๆ
“เรามาสร้างปราสาททรายกันไหมคะ?” เสียงเธอสดใสกว่าที่ใจรู้สึก “เหมือนตอนเด็กๆ ไง...”
วรเมธพยักหน้า หัวเราะแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เธอทันที จิรภาและปพนต์ก็เดินมาสมทบ โดยที่จิรภาหยิบกะลามะพร้าวเปล่ามาช่วยเป็แม่พิมพ์ ส่วนปพนต์แค่ยืนกอดอกยิ้มมองพวกเขาเหมือนครูเวรดูแลเด็กอนุบาลซนๆ
ปราสาททรายเล็กๆ ค่อยๆ เป็รูปเป็ร่างขึ้นจากมือของมารตีและวรเมธ สาวสวยพยายามหยอดมุกตลกเล็กน้อยขณะทำงาน “นี่ๆ วรเมธ ถ้ารตีเป็เ้าหญิงในปราสาทนี้ คุณอยากเป็อัศวินหรือัดีล่ะ?”
“ผมขอเป็ทรายใต้เท้าคุณดีกว่า จะได้อยู่กับคุณตลอดเวลา” เขาตอบพลางยิ้มตาหยี
เธอหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะนั้นจริงใจขึ้นเล็กน้อย...แต่แล้วจู่ๆ เธอก็หยุด มือลูบทรายช้าๆ กลบปราสาทที่สร้างได้ครึ่งเดียว เสียงคลื่นซัดเข้าฝั่งดัง “ซู่...” เหมือนเสียงของหัวใจเธอที่สั่นอยู่ลึกๆ เธอไม่ได้กลบทรายเพราะความไม่พอใจ แต่เพราะไม่อยากให้มันเสร็จสมบูรณ์ เพราะเมื่อมันสมบูรณ์...มันก็จะถูกทำลาย
วรเมธมองเธออย่างไม่เข้าใจนัก แต่ไม่ได้ถามอะไร เขานิ่ง เฝ้ามองเธอด้วยสายตาอ่อนโยนแบบที่คนรู้ว่า “บางความเศร้าไม่ควรถามออกมาเป็คำพูด”
จิรภาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายภาพอย่างอารมณ์ดี ปพนต์เข้าไปโอบจากด้านหลัง จูบเบาๆ ที่หลังคอเธอ จิรภาหลับตาลง พึมพำกับเขาเบาๆ ว่า “เธอกำลังคิดถึงเขาอยู่...ใช่ไหม?”
ปพนต์ไม่ตอบในทันที แต่พยักหน้าช้าๆ แล้วหันไปมองมารตีที่กำลังก้มหน้าเขียนอะไรบางอย่างลงบนผืนทราย เธอใช้ปลายนิ้วลากเส้นเป็ตัวอักษรทีละตัว
“N-U-T…” เธอรีบใช้มือกลบทันที เมื่อรู้ว่ามีคนกำลังมอง...
วรเมธที่นั่งข้างเธอเงียบไปสักพัก ก่อนจะส่งเปลือกหอยกลับมาให้เธอ “อย่ากลบเลยครับ เขาอาจไม่ได้อยู่ที่นี่ตอนนี้...แต่คุณมีสิทธิ์คิดถึง”
มารตีเงยหน้ามองเขา แววตาสั่นไหว...น้ำตาไม่ได้ไหลออกมา แต่แววตานั้นเศร้าพอจะทำให้ใครบางคนเจ็บตามไปด้วย ลมทะเลยังคงพัดคลื่นเข้าหาฝั่งอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เหมือนหัวใจที่ยังคงโหยหาโดยไม่รู้ว่าจะหยุดลงเมื่อไหร่
เสียงนกทะเลดังห่างออกไป ขณะทั้งสี่คนนั่งเงียบอยู่ด้วยกัน ร่างเปลือยภายใต้ชุดบางเบาไม่มีใครเขินอายอีกแล้ว เพราะทั้งหมดเปิดใจมากพอ...พอที่จะไม่ตัดสินกัน...บางคนหลงรักใครคนใหม่...บางคนยังรักใครคนเก่า...บางคนเลือกอยู่กับความจริง...บางคนเลือกอยู่กับความหวัง และมารตี...นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างทุกสิ่ง
มารตียิ้มน้อยๆ ขณะปล่อยให้คลื่นซัดมาถึงปลายเท้า แล้วพูดเสียงเบาเหมือนคุยกับตัวเอง “บางที...ทะเลก็สอนให้เราเข้าใจว่าทุกสิ่งมาแล้วก็ไป แต่คลื่นลูกใหม่ก็ยังมาเสมอ” วรเมธยื่นมือมาแตะหลังมือเธอเบาๆ “และคุณยังยืนอยู่ตรงนี้…”
เสียงคลื่นซัดกระทบหินริมสระเบาๆ ขับกล่อมยามค่ำคืนให้เหมือนถูกคลุมด้วยม่านน้ำเงินเข้มละมุน แสงไฟจากเทียนลอยน้ำสะท้อนผิวน้ำ ริบหรี่ ล้อแสงกับผิวเนื้อเปลือยเปล่าของทั้งสี่คนที่นั่งล้อมวงอยู่ตรงขอบสระ ไม่มีใครสวมใส่เสื้อผ้า และไม่มีใครมีอะไรจะปิดบังอีกต่อไป
จิรภาเอนตัวพิงปพนต์ ขณะที่วรเมธนั่งชิดมารตี มือทั้งสองวางไว้บนต้นขาของเธออย่างเบามือ ทว่าอบอุ่นลึกซึ้ง
“ฉันชอบคืนนี้นะ” จิรภาเอ่ยขึ้นก่อน ยิ้มตาหยี “มันเหมือนเราทุกคน...เข้าใจกันมากขึ้น”
“เข้าใจตัวเองด้วย” วรเมธเสริม “และไม่ต้องซ่อนอะไร ร่างกายก็แค่เปลือก ความรู้สึกต่างหากที่มันอยู่ลึกกว่า”
มารตีก้มลงจิบไวน์ แก้วบางที่อยู่ในมือสั่นไหวเล็กน้อย เธอยิ้มรับคำพูดของวรเมธ แต่ไม่สามารถละสายตาจากปพนต์ได้ ปพนต์มองมาทางเธอเช่นกัน สีหน้าอ่อนโยน ไม่ใช่แบบสามีผู้ แต่เหมือนใครบางคนที่ยอมรับ และเข้าใจลึกถึงภายในของเธอ
“พี่ปพนต์...” เสียงหญิงสาวเบาจนเกือบไม่เป็เสียง “ถ้า...รตีมีบางอย่างในใจ...ที่อาจไม่ได้เกี่ยวกับคืนนี้...”
“นัทพงษ์เหรอ?” ปพนต์ยิ้มออกมา
มารตีชะงัก ลมหายใจขาด่ เธอไม่ได้พูดชื่อเด็กหนุ่มคนนั้นเลยตลอดทริปนี้ แต่ในใจ...มีภาพเขาทุกคืน ทุกเช้า เธอรู้สึกเหมือนโกหก แม้จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเธอกับนัทพงษ์ แต่ความรู้สึกมันพูดออกไปแล้วโดยไม่ต้องผ่านปาก
“พี่รู้ั้แ่ที่รตีเอาโทรศัพท์แนบอกแน่นๆ ตอนเช้าแล้ว” ปพนต์พูดเบาๆ น้ำเสียงอบอุ่นแต่แฝงความล้อเลียน
จิรภาหัวเราะเบา ๆ แล้วลูบแขนมารตีอย่างอ่อนโยน “เธอเป็คนที่แยกความรู้สึกกับร่างกายได้ชัดเจนนี่นา ไม่ใช่เื่ผิดหรอกถ้าเธอรู้สึกกับใครในแบบอื่น ๆ”
วรเมธเสริม “ยิ่งถ้าเขาทำให้ใจเธอสั่นมากกว่าร่างกาย ก็ยิ่งน่าสนใจนะ”
มารตีนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะปล่อยลมหายใจยาว “รตีไม่แน่ใจว่ารู้สึกแบบไหนกันแน่ รู้แค่ว่าทุกครั้งที่หัวเราะกับพวกเธอ รตีคิดถึงรอยยิ้มของเขา ทุกครั้งที่ถูกัั ก็...อยากให้มันนุ่มนวลแบบที่เขาเคยแตะแค่ปลายนิ้วของรตี”
เสียงคลื่นแ่เบาเหมือนสะท้อนเสียงหัวใจเธอในเวลานั้น ปพนต์เลื่อนตัวเข้าใกล้เธอ จับมือเธอเบาๆ แล้วจูบหลังมือนั้น “รู้มั้ย พี่ไม่ได้อยากให้รตีเป็ของพี่คนเดียว พี่อยากให้รตีได้รู้จักตัวเองแบบเต็มที่...แบบที่พี่เองก็เพิ่งได้รู้จักตัวพี่จริงๆ จากพวกเธอ”
มารตีน้ำตาคลอ ไม่ใช่เพราะเศร้า แต่เพราะรู้สึกขอบคุณจนใจตื้นตัน จนกลั้นน้ำตาไม่อยู่ “ขอบคุณนะคะ...”
จิรภาลุกขึ้น ยืดตัว เหมือนแมวที่เพิ่งตื่นนอน ผิวเนื้อสวยอวดโฉมที่งามสล้างภายใต้แสงเทียนทำให้วรเมธยิ้มมุมปากอย่างชื่นชม “ก่อนคืนนี้จะจบ ฉันว่าพวกเราควรมีอะไรพิเศษกว่านี้หน่อย”
มารตีหันไปมอง ทั้งสี่คนสบตากัน และยิ้มอย่างรู้ใจ ไม่มีคำพูด ไม่มีข้อตกลง มีเพียงการเข้าใจ และการยอมรับ แม้ร่างกายจะแนบชิด แม้ััจะเร่าร้อน แต่มันไม่ใช่แค่เื่นั้นอีกต่อไปแล้ว
คืนนี้...พวกเขาทั้งสี่คนเป็เหมือนสายน้ำที่ไหลเข้าหากันโดยไม่มีการต้านทาน ไม่รู้ทิศ ไม่รู้ทาง ส่วนหัวหันไปทางคนหนึ่ง ส่วนท้ายกลับหันไปทางอีกคนที่อยู่ด้านหลัง และแม้มารตีจะยังรู้สึกถึงเงาของใครบางคนอยู่ลึกในใจ แต่ในค่ำคืนนี้ เธอก็ยอมให้ตัวเองหลอมรวมกับปัจจุบัน ...ด้วยรอยยิ้มที่เหมือนจะเบาใจขึ้นนิดหนึ่ง
เสียงฝีเท้าของพนักงานเสิร์ฟใกล้เข้ามา ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อมองเห็นภาพตรงหน้า ร่างเปลือยของทั้งสี่คนใต้แสงเทียนที่ล้อเงาในสระน้ำ มองไม่ออกว่าใครกำลังแนบชิดกับใคร มันพัวพันสับสนไปหมด แต่ใบหน้าของทุกคนมีรอยยิ้ม...ทั้งร้อนแรง ทั้งสุขสงบ
พนักงานสาวคนนั้นกลืนน้ำลายหน้าแดงก่ำ จ้องตะลึงครู่ใหญ่ แล้วเดินถอยหลังกลับไปอย่างเงียบๆ ใจเต้นแรงราวกับได้เห็นฉากในฝัน