บรรยากาศในศาลาไม้ไผ่ตึงเครียด มีเพียงกลิ่นชาหอมอบอวล
บางครั้งเราไม่ควรสงสัยการตัดสินใจของคนคนหนึ่ง โดยเฉพาะคนที่ไม่สนใจความเป็ความตาย
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เหมยซิ้งหงหัวเราะอย่างสบายใจ เขากล่าวทำลายความอึดอัด “นิสัยของสหายน้อยจั๋วพวกข้าเคยได้ยินมาบ้าง แต่พวกข้ามิได้มีเจตนาจะข่มขู่แต่อย่างใด เมื่อครู่เ้าเกาะจวงแค่ล้อเล่นกับสหายน้อยเท่านั้น”
“ไม่เป็ไร”
จั๋วอวิ๋นเซียนโบกมือพลางกล่าวอย่างใจกว้าง “ผู้น้อยรู้ว่าท่านเ้าเกาะกำลังลองเชิงข้า และรู้ว่าเ้าเกาะทุกท่านไม่เชื่อใจข้า แต่ไม่เป็ไร...สาเหตุที่ข้าเลือกเกาะสามเซียนมิใช่เพราะคิดว่านิสัยเ้าเกาะทั้งสามเป็คนดีมีคุณธรรมแต่อย่างใด แต่เป็เพราะที่นี่เหมาะสมกับข้าก็เท่านั้น”
“……”
หวู่อันถงหางตากระตุก เขาแอบเช็ดเหงื่ออยู่ในใจ กลัวว่าเ้าเกาะทั้งสามจะโมโหเผลอตบจั๋วอวิ๋นเซียนตาย!
ไม่คิดว่านิสัยดีมีคุณธรรม...กล่าวเช่นนี้เหมือนตบหน้ากันชัดๆ
ถึงแม้จะเป็เื่จริง ทว่าการพูดออกมาต่อหน้าเ้าเกาะทั้งสาม จะตรงเกินไปหรือไม่?
ดังคาดสีหน้าของเ้าเกาะทั้งสามเปลี่ยนไปทันที ยังดีที่การฝึกฝนหลายปีมานี้ทำให้พวกเขาควบคุมอารมณ์ได้ดี จึงมิได้ฉีกสีหน้าทันที
กงหยางอวี่ซ่านเค้นเสียง “เ้าหนู เ้าพูดให้ดีๆ นะ เหตุใดเ้าถึงคิดว่าเกาะสามเซียนเหมาะสมกับเ้า? หากเ้าบอกเหตุผลที่ดีมิได้ อย่าหาว่าข้าไร้เมตตาแล้วกัน!”
“ได้”
จั๋วอวิ๋นเซียนไม่รอช้า ค่อยๆ กล่าวออกมา “ข้อแรกข้ามีประวัติขาวสะอาด มีสถานะและจุดยืนชัดเจน ข้ากับราชวงศ์ต้าถังเป็ศัตรูกันและไม่มีความรู้สึกดีกับราชวงศ์อื่นด้วย โดยเฉพาะการต่อสู้ที่ท่าเรือหลงหยาครั้งนั้น เกรงว่าราชวงศ์ทั้งห้าจะเอาชื่อข้าขึ้นประกาศจับแล้ว...ดังนั้นต่อให้เ้าเกาะทั้งสามไม่ต้อนรับข้า แต่ก็มิได้รังเกียจข้านัก อย่างมากก็แค่รู้สึกว่าข้าพูดจาสามหาว เป็เด็กที่ไม่รู้เื่ราวอะไร”
เ้าเกาะทั้งสามพยักหน้ายอมรับคำพูดนี้ อีกทั้งพวกเขาตรวจสอบภูมิหลังของจั๋วอวิ๋นเซียนมาอย่างชัดเจนดีแล้ว ไม่มีทางเป็ไส้ศึกที่ขั้วอำนาจอื่นส่งมาแน่ๆ
“ข้อสอง ข้ามีคุณค่า”
จั๋วอวิ๋นเซียนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ได้ยินมาว่าตอนนี้เกาะสามเซียนกำลังแย่งชิงเหมืองแร่กับเกาะเซวียนิอยู่ พลังของทั้งสองฝ่ายเท่ากัน จึงทำให้สถานการณ์หยุดชะงัก ถ้าปล่อยให้เวลายืดยาวอาจจะถูกขั้วอำนาจอื่นเข้ามาแทรกได้...”
“โอ้?” จวงซวี่เหยากล่าวพลางหัวเราะ “วาจาโอ้อวดเช่นนี้ใครก็ทำได้ หรือว่าเ้ามีวิธีควบคุมสถานการณ์เช่นนั้นหรือ?”
“ข้ามีวิธี”
จั๋วอวิ๋นเซียนพยักหน้าพลางกล่าวว่า “ท่านเ้าเกาะจวงอาจจะคิดว่าข้าเป็แค่คนพิการที่ไร้ประโยชน์ แต่ข้าสามารถสร้างะเิเพลิงอัสนี และถ้ามีวัตถุดิบเพียงพอข้ายังสามารถสร้างลูกปัดเพลิงอัสนีได้ ข้าเชื่อว่าคุณค่าของตัวข้าจะไม่ทำให้พวกท่านผิดหวังแน่”
“อะไรนะ! เ้า...เ้าสร้างลูกปัดเพลิงอัสนีเป็ด้วยหรือ?”
เ้าเกาะทั้งสามเผยสีหน้าตื่นเต้น หวู่อันถงรู้สึกตกตะลึงยิ่งกว่า ถึงแม้จั๋วอวิ๋นเซียนจะเคยมอบลูกปัดเพลิงอัสนีลูกหนึ่งให้เขา แต่เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะสร้างมันได้ เพราะมูลค่าของมันสูงเกินไป
ทว่าตอนนี้พวกเขาเข้าใจแล้ว เหตุใดนิกายเซียนโม่เหมินถึงกัดจั๋วอวิ๋นเซียนไม่ยอมปล่อย ต่อให้จั๋วอวิ๋นเซียนไม่มีมรดกสืบทอดของสำนักเทียนกง เพียงแค่วิชาการสร้างลูกปัดเพลิงอัสนีก็เพียงพอทำให้ผู้คนมากมายต้องใจสั่นแล้ว
จั๋วอวิ๋นเซียนรู้ว่าตอนนี้มิใช่เวลามาถ่อมตน จึงกล่าวออกไปตามตรง “ถึงแม้ข้าจะไม่มีมรดกสืบทอดของสำนักเทียนกง แต่ศาสตร์วิชาที่ลุงเยี่ยนทำเป็ข้าก็ทำเป็เช่นกัน รวมถึงวิธีการสร้างะเิเพลิงอัสนีกับลูกปัดเพลิงอัสนีด้วย...แต่ลูกปัดเพลิงอัสนีมิได้สร้างง่ายๆ อีกทั้งมีผลกับผู้บำเพ็ญเซียนระดับกำเนิดปราณเท่านั้น ไม่ค่อยมีประโยชน์กับยอดฝีมือระดับเปิดชีพจรมากนัก”
“เื่นี้พวกเรารู้ดี”
เหมยซิ้งหงสะกดความยินดีในใจพลางกล่าวว่า “ขั้วอำนาจต่างๆ ในทะเลล่วนซิงต่างรู้กันดี ยอดฝีมือระดับชีพจรจะคอยรักษาการณ์ มิได้ลงมือง่ายๆ แต่หากพวกเราใช้ลูกปัดเพลิงอัสนีโจมตีทีเผลอก่อน เกาะเซวียนิต้องรับได้ความเสียหาย และมีคนาเ็ล้มตายแน่ เพียงสามารถสังหารยอดฝีมือระดับกำเนิดปราณของเกาะเซวียนิได้สักสองสามคน เหมืองแร่ตรงนั้นก็จะกลายเป็ของพวกเรา!”
“มิผิด! เ้าเด็กนี่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้จริงๆ!”
จวงซวี่เหยายิ้มแย้มด้วยสีหน้าเบิกบาน ท่าทีที่มีต่อจั๋วอวิ๋นเซียนเป็มิตรขึ้นไม่น้อย
“เ้าเกาะทั้งสามท่าน ข้าขอพูดตามตรง...”
จั๋วอวิ๋นเซียนพูดแทรกเสียงหัวเราะของทั้งสามคน เขาส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า “ข้าไม่แนะนำให้ท่านเ้าเกาะทั้งสามยึดครองเหมืองแร่เพียงลำพัง ถึงอย่างไรพลังของเกาะเซวียนิก็ไม่ธรรมดา หากพวกเขาใช้ไม้แข็งจริงๆ มีแต่จะสูญเสียทั้งสองฝ่าย ปล่อยให้คนอื่นมาแย่งชิงผลประโยชน์ไปเปล่าๆ”
เหมยซิ้งหงขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่มิได้แสดงออกอะไร
จวงซวี่เหยามองเห็นคุณค่าของจั๋วอวิ๋นเซียนจึงกล่าวด้วยความอดทน “สหายน้อยจั๋ว พวกเรามิใช่ไม่เคยขอเจรจา แต่เ้าเกาะเซวียนิเป็ถึงยอดฝีมือระดับเปิดชีพจรขั้นหก พลังมากกว่าพวกเราอยู่ขั้นหนึ่ง นิสัยแข็งกร้าว ไม่ยอมเจรจา พวกเราจึงอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้”
“นั่นเป็เมื่อก่อน”
จั๋วอวิ๋นเซียนกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “พื้นฐานของการเจรจา ต้องอยู่บนพื้นฐานที่มีพลังในระดับเดียวกันถึงจะเจรจาได้ เมื่อก่อนเกาะสามเซียนตกเป็รอง เกาะเซวียนิจึงไม่ยอมปล่อยผลประโยชน์ไป แต่เมื่อมีภัยคุกคามจากลูกปัดเพลิงอัสนี หากเกาะเซวียนิไม่อยากเสียแรงเปล่า พวกเขาต้องยอมเจรจาแน่”
กงหยางอวี่ซ่านกล่าวอย่างเ็า “ไอ้หนูจั๋ว เ้าก็บอกอยู่ว่ามีลูกปัดเพลิงอัสนี พวกเราสามารถกดดันเกาะเซวียนิได้ ในเมื่อเป็เช่นนี้ทำไมพวกเราต้องเจรจาด้วย ยึดครองเหมืองแร่ไว้เองก็พอแล้ว!”
จั๋วอวิ๋นเซียนกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย “เช่นนั้นท่านเ้าเกาะกงหยางเคยคิดมาก่อนหรือไม่ว่า หากเกาะเซวียนิไม่มีส่วนร่วม เช่นนั้นมิใช่ว่าเกาะสามเซียนต้องเผชิญหน้ากับขั้วอำนาจมากมายเพียงลำพังหรือ? ยังไม่ต้องพูดถึงท่านเ้าเกาะทั้งสามจะสามารถหยุดยั้งได้หรือไม่ ต่อให้สามารถข่มขู่ทุกขั้วอำนาจได้ ก็เป็เื่ที่ยากลำบากมาก หากไม่ระวังเช่นนั้นรากฐานของเกาะสามเซียนอาจจะถูกทำลายจนสูญสิ้น...”
“กลับกันหากร่วมมือกับเกาะเซวียนิ ไม่เพียงสามารถหาพันธมิตรที่ทรงพลังได้ ยังสามารถหลีกเลี่ยงเื่ยุ่งยากโดยไม่จำเป็ได้มากมาย หากเจอปัญหาก็ยังสามารถขอให้เกาะเซวียนิช่วยเหลือได้...ถึงอย่างไรในทะเลล่วนซิงก็มิได้เพียงแค่ขั้วอำนาจของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ยังมีสัตว์ประหลาดเผ่าสมุทรอีกมากมาย มีอันตรายอยู่ทั่วหนแห่ง”
เมื่อฟังการวิเคราะห์ของจั๋วอวิ๋นเซียนจบ เ้าเกาะทั้งสามกับหวู่อันถงมองอีกฝ่ายด้วยความตกตะลึง ในใจเกิดความรู้สึกไม่อยากเชื่อ
พวกเขาคิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มอายุสิบหกปีคนหนึ่งจะมีความรู้และมีแผนการเช่นนี้ หายากยิ่งนัก! สิ่งที่หายากกว่านั้นก็คืออีกฝ่ายคิดโดยมีจุดยืนเป็เกาะสามเซียนด้วยความจริงใจ
เป็อย่างที่จั๋วอวิ๋นเซียนกล่าว หากร่วมมือกันก็ได้ผลประโยชน์มากขึ้นสองเท่า แต่หากแยกกันความเสียหายก็มากขึ้นสองเท่า หลักการเช่นนี้เ้าเกาะทั้งสามจะไม่เข้าใจได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้นก็คือถึงแม้เ้าเมืองหวู่อันถงจะมีพลังเทียบกับเ้าเกาะทั้งสามมิได้ แต่เขาปกครองเมืองซานเซียนจึงเข้าใจขั้วอำนาจต่างๆ เป็อย่างดี และมีวิสัยทัศน์ที่มองเห็นภาพรวมได้ไม่ธรรมดา เขาจึงเห็นด้วยกับคำแนะนำของจั๋วอวิ๋นเซียนอย่างมาก สำหรับความเสียหายกับความขัดแย้งของทั้งสองฝ่าย มิใช่ปัญหาเลยแม้แต่น้อย
ในทะเลล่วนซิงไม่มีศัตรูถาวร มีเพียงผลประโยชน์ที่ยั่งยืน
