“ท่านอ๋องอันใด เสี่ยวหานเ้าอย่าได้คิดยกท่านอ๋องมาข่มขู่ข้า ข้ากินข้าวไม่ลงเกี่ยวอันใดกับท่านอ๋อง เ้ารีบยกอาหารออกไปได้แล้ว” มู่จื่อหลิงบิดเอวอย่างหมดความอดทน แขนรองใบหน้าพลางพึมพำอย่างอารมณ์ไม่ดี
ทุกครั้งที่นางทำเื่เสื่อมเสียฐานะ เสี่ยวหานล้วนนำหลงเซี่ยวอวี่ออกมาพูด ครั้งนี้แม้แต่นางกินข้าวไม่ลง ก็ยังสามารถยกหลงเซี่ยวอวี่ออกมาได้ เสี่ยวหานที่เป็เช่นนี้นับวันถูกนางชินชาเสียจนไร้ความหวาดเกรงขึ้นเรื่อยๆ
“บ่าวคารวะท่านอ๋อง” เสี่ยวหานเหลือบมองมู่จื่อหลิงอย่างกังวล จากนั้นรีบทำความเคารพหลงเซี่ยวอวี่ที่เข้าประตูมาแล้ว
“เสี่ยวหานถ้าเ้ายังเรียกไร้สาระอีก ข้าจะโมโหจริงๆ แล้วนะ ยามนี้ยังกล้า...อ่า” มู่จื่อหลิงเห็นเสี่ยวหานยังไม่ยอมแพ้ ยังกล้าข่มขู่นาง ก็ทำท่าจะเงยศีรษะขึ้นมาต่อว่าเสี่ยวหานด้วยความไม่พอใจ
เพียงแต่ยังมิทันพูดจบ ก็ใกับสายตาของเงาร่างสูงใหญ่เบื้องหน้า ทั้งคนและเก้าอี้ก็ส่งเสียง ‘ตุบ’ หนักๆ ล้มหงายหลังไป มือเท้าชี้ไปกลางอากาศ ท่าทางเช่นนี้คิดว่าขบขันเท่าใดก็ยิ่งขบขันมากไปกว่านั้น
ใบหน้าของหลงเซี่ยวอวี่ในยามนี้ยังคงมีใบหน้าเฉยชาถือดี แท้จริงแล้วยามที่มู่จื่อหลิงตกลงไปนั้น หลงเซี่ยวอวี่สามารถหยุดยั้งไว้ได้ ทว่าเขายังอยู่เช่นเดิมไม่ไหวติง แล้วมองมู่จื่อหลิงตกลงไปอย่างไร้ภาพลักษณ์ด้วยสายตาเย็นเยียบ
กระทั่งมู่จื่อหลิงหงายลงไปบนพื้นอย่างแรง คิ้วกระบี่ราวน้ำหมึกของหลงเซี่ยวอวี่ขมวดน้อยๆ
สตรีโง่เขลาผู้นี้!
“นายน้อย ท่านไม่เป็ไรใช่หรือไม่” เสี่ยวหานร้องขึ้นมาอย่างตื่นตระหนก รีบร้อนวิ่งเข้าไปพยุงมู่จื่อหลิงขึ้นมา
นายน้อยไม่ระมัดระวังเช่นนี้ได้อย่างไร เหตุใดพบท่านอ๋องจึงลุกลี้ลุกลนยิ่งกว่านางเสียอีกเล่า
ยามนี้มู่จื่อหลิงมีความคิดอยากตายขึ้นมาแล้ว หากรู้ว่าตนเองจะล้มไปด้านหลัง นางจะต้องแสดงท่าทางที่สวยงามกว่านี้ล้มลงไปเป็แน่
ถุยๆ ถ้ารู้ก่อนว่าจะเป็เช่นนี้ นางคงตระหนักได้ั้แ่ที่เสี่ยวหานเรียกก่อนหน้านี้แล้ว
มู่จื่อหลิงใช้สายตาขุ่นเคืองเหลือบมองเสี่ยวหานที่กำลังห่วงใยนาง ราวกับกำลังพูดว่า เ้าดูสิ หงายหลังจนตกอยู่ในสภาพนี้ จะไม่เป็ไรหรือ เหตุใดเ้าไม่เตือนข้าให้เร็วกว่านี้ ทำร้ายข้าจนหงายหลังอย่างน่าเวทนา!
ในใจเสี่ยวหานพลันรู้สึกไม่ยุติธรรมทั้งน้อยเนื้อต่ำใจยิ่ง นางเตือนนายน้อยไปตั้งนานแล้ว ทั้งๆ ที่นายน้อยไม่เชื่อเอง แล้วจะมาโทษนางได้อย่างไร
มู่จื่อหลิงกุมก้นที่กระแทกจนเจ็บยิ่งนัก ปีนขึ้นมาจากพื้นอย่างเชื่องช้า ใบหน้าเล็กที่บิดเบี้ยวนั้นอยากจะร่ำไห้โดยไร้น้ำตา
แต่ว่าหลงเซี่ยวอวี่หมอนี่เหตุใดวันนี้ตอนเดินจึงไม่มีเสียงแม้แต่น้อย ทำให้นางคิดว่าเมื่อครู่เสี่ยวหานหลอกนาง นางถึงได้ใโดยมิทันตั้งตัว ตกลงไปโดยไร้ภาพลักษณ์ปานนี้ น่าขายขี้หน้าจริงๆ
หลังจากที่มู่จื่อหลิงถูกเสี่ยวหานพยุงขึ้นมาใบหน้าก็แดงก่ำด้วยความอับอาย ปัดฝุ่นขี้ดินตามตัว ทำความเคารพหลงเซี่ยวอวี่ “หม่อมฉันคารวะท่านอ๋อง”
ไม่ว่าอย่างไรมู่จื่อหลิงในขณะนี้ก็มิกล้าเงยหน้าขึ้นมองคนเบื้องหน้าอีก และนางก็มิกล้ามองว่าหลงเซี่ยวอวี่ในขณะนี้ทำสีหน้าเช่นใด ณ ขณะนี้นางแทบทนไม่ไหวที่จะหารูบนพื้นมุดเข้าไป
จบสิ้นแล้ว ยามนี้ภาพลักษณ์สาวงามมากคุณธรรมล้วนไม่มีแล้ว อับอายขายขี้หน้าถึงเพียงนี้ หกล้มต่อหน้าหลงเซี่ยวอวี่ แล้วยังล้มได้น่าสมเพชเช่นนี้
“เ้าถอยออกไป!” เสียงทุ้มต่ำทรงอำนาจของหลงเซี่ยวอวี่ดังขึ้น ั์ตาเย็นเยียบมองไปยังมู่จื่อหลิง แต่ว่าวาจากลับพูดกับเสี่ยวหาน
“เ้าค่ะ บ่าวขอตัวลา” เสี่ยวหานเอ่ยปากขอตัวด้วยความเงอะงะ
ท้ายสุดก็ยังคงเหลือบมองมู่จื่อหลิงที่กำลังลูบก้นอย่างกังวล นายน้อย ท่านรักษาตัวดีๆ นะ!
มู่จื่อหลิงไหนเลยจะไม่รู้สายตาที่เสี่ยวหานมองนาง ถลึงตาใส่เสี่ยวหานอย่างดุร้าย ก็แค่ล้มจนทำลายภาพลักษณ์ มีอันใดกัน
หรือว่าหลงเซี่ยวอวี่จะยังต่อว่านางเพราะเื่หยุมหยิมนี้ได้อีก นอกจากนี้เมื่อครู่นางก็ขายหน้าต่อหน้าหลงเซี่ยวอวี่ ที่แห่งนี้ไม่มีผู้อื่น ภาพลักษณ์ของฉีหวางเฟยก็ยังอยู่ดี
หลังจากเสี่ยวหานจากไป หลงเซี่ยวอวี่ก็ก้าวตรงไปยังที่นั่งหลักแล้วนั่งลงอย่างสง่างาม เสมือนว่าเมื่อครู่นี้ไม่เห็นเื่น่าขบขันเช่นเื่ที่มู่จื่อหลิงล้มลง
แม้จะขายหน้าก็ขายหน้า มู่จื่อหลิงก็ยังกลับคืนสู่ปกติอย่างฉับไว นางจึงดึงมือที่กุมก้นกลับมา มองหลงเซี่ยวอวี่ที่นั่งอยู่บนที่นั่งหลักเต็มตา ถามด้วยความสงสัย “ท่านอ๋องมีธุระใดกับหม่อมฉันหรือไม่เพคะ?”
หลายครั้งก่อนหน้านี้หลงเซี่ยวอวี่ล้วนมาหานางโดยไม่มีที่มาที่ไป ยามนี้นางมิกล้ายืนยันว่าที่หลงเซี่ยวอวี่มาหานางวันนี้มีธุระหรือไม่
แต่ว่านี่ก็เย็นมากแล้ว ดูท่าทีเช่นนี้ของหลงเซี่ยวอวี่นั้นดูเหมือนว่าจะไม่คิดพูดสองสามประโยคก็จากไป คงจะมีธุระกับนางจริงๆ
“เ้ามีความสามารถด้านกู่?” หลงเซี่ยวอวี่เอ่ยขึ้นมาทันที ประโยคไร้สาระสักประโยคก็ไม่ยอมพูด
มู่จื่อหลิงอึ้งตะลึงไปในชั่วพริบตานั้น ทว่ามีการตอบสนองกลับทันที เปิดปากตามความจริง “หม่อมฉันไม่มี”
ที่นางพูดนั้นเป็ความจริง นางไม่มีความสามารถด้านกู่อันใดจริงๆ นั่นเป็เื่ที่ระบบซิงเฉินทำได้ นางจะไม่คุยโวโอ้อวดอย่างอวดดีว่าตนเองแข็งแกร่งเพียงใด ไม่หาเื่ใส่ตัว ถ่อมตนเล็กน้อยคงเป็เื่ดีกว่า
มู่จื่อหลิงรู้ว่าต้องเป็เพราะหนที่แล้วนางมองหนอนกู่ควบคุมใจในรังนกออก หลงเซี่ยวอวี่จึงถามเช่นนี้ ว่าแต่ทำไมหลงเซี่ยวอวี่ต้องถามนางเช่นนี้ด้วย?
ดวงตาของหลงเซี่ยวอวี่ทอประกายความสงสัยสายหนึ่ง ไล่ถามต่อไป “เช่นนั้นเ้ารู้ได้อย่างไรว่าในรังนกเป็กู่ควบคุมใจ”
ครานี้มู่จื่อหลิงถูกถามจนอับจนวาจา นางรู้ว่าคงมิได้ง่ายดายเพียงนั้น หลงเซี่ยวอวี่มาหานางเพราะเื่กู่ควบคุมใจ แต่นางก็ไม่สามารถพูดได้นี่ว่าเป็ระบบซิงเฉินตรวจสอบออกมา
นอกจากนี้เื่นี้ก็ผ่านมานานหลายวันแล้ว หลงเซี่ยวอวี่ยังคิดถามไปทำอันใด หนอนกู่เป็สิ่งมีชีวิตที่น่ากลัว ทั้งยังเป็สิ่งที่ฮองเฮาจัดการขึ้นมา หลงเซี่ยวอวี่คิดสืบหาจากนางหรือ แต่ว่าหลงเซี่ยวอวี่มาหาผิดคนแล้ว นางนอกจากรู้ว่าเป็กู่ชนิดใด นางก็ไม่รู้อันใดเลย
ทว่าในเมื่อหลงเซี่ยวอวี่ถาม นางจะไม่ตอบก็มิได้
“วันนั้นในวังหม่อมฉันเพียงััได้ว่ารังนกมีความผิดปกติ แต่หาอย่างไรก็หาไม่พบว่าผิดปกติอย่างไร ภายหลังจึงได้นึกถึงหนอนกู่ขึ้นมา ก่อนนี้หม่อมฉันเคยได้ยินอาจารย์พูดความรู้เกี่ยวกับหนอนกู่มาบางส่วน หม่อมฉันอ้างอิงจากสภาพภายในรังนก จึงยืนยันได้ว่าเป็หนอนกู่ควบคุมใจ” มู่จื่อหลิงพูดอย่างไม่ประหม่าด้วยสีหน้าจริงจัง ทำให้ผู้อื่นจับสังเกตปัญหาใดไม่ได้
มู่จื่อหลิงพูดจบในใจก็ยินดีเงียบๆ มีอาจารย์ไร้ตัวตนผู้หนึ่งก็มีประโยชน์ เอะอะก็สามารถยกออกมาได้ แถอย่างไรก็ไม่มีคนหาเขาพบ ทั้งปลอดภัยทั้งพึ่งพาได้ ต่อไปพูดโป้ปดก็มิต้องแต่งเื่อีก
เพียงแต่มู่จื่อหลิงรออยู่ครู่หนึ่งก็ยังไม่เห็นหลงเซี่ยวอวี่จะเอ่ยปากอีก ทันใดนั้น จู่ๆมู่จื่อหลิงก็รู้สึกหนาวเยือกค่อยๆ ไล่ขึ้นมาจากปลายเท้า เหน็บหนาวขึ้นมาโดยพลัน
นางเงยสายตาขึ้นไปมองหลงเซี่ยวอวี่อย่างไม่ทันรู้ตัว สบเข้ากับดวงตาลุ่มลึกที่ทอประกายเย็นเยียบของหลงเซี่ยวอวี่
ใจของมู่จื่อหลิงเองก็สั่นระริกตามไปด้วย ซวยแล้ว ดูจากสายตาหมอนี่แล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อคำพูดของนาง แต่ว่านางก็พูดอย่างจริงจัง และไม่มีช่องโหว่ใดๆ
ดูเหมือนเล่อเทียนก็เดาหนอนกู่ออกมาทันที เพียงแค่เล่อเทียนไม่ได้คาดเดาว่าเป็กู่ตัวใด เช่นนั้นนางจะฉลาดกว่าเล่อเทียน เดาออกมาได้ว่าเป็หนอนกู่ในครู่เดียวมิได้หรือ ก็ไม่ได้มีอันใดแปลกประหลาด
มู่จื่อหลิงถูกดวงตาเย็นเยียบของหลงเซี่ยวอวี่มองจนเริ่มรู้สึกประหม่าขึ้นมา แต่ว่านางก็ยังกัดฟันเงียบๆ แสร้งทำเป็สงบนิ่งเผชิญหน้ากับสายตาของหลงเซี่ยวอวี่ดังเดิม ไม่แสดงอาการประหม่าแม้แต่น้อย
ใจของนางเต้นระรัวอยู่ตลอด นางก็มิได้ทำเื่เลวร้ายใด เหตุใดต้องประหม่าด้วยเล่า
ในโลกนี้ผู้ที่ยังสงบเยือกเย็นหลังจากสบสายตาลุ่มลึกของฉีอ๋องดังเดิมเช่นนี้ เกรงว่าจะมีเพียงฉีหวางเฟยเท่านั้น!
หลงเซี่ยวอวี่เป็คนฉลาดระดับใด เขาในยามนี้ไม่เชื่อเื่อาจารย์อันใดนั่นที่มู่จื่อหลิงพูดขึ้นอย่างไร้สาระโดยสิ้นเชิง และเขาก็เข้าใจว่ากู่ควบคุมใจนี้ไม่เหมือนกู่ทั่วไป
เหตุผลที่ดูสวยหรูของมู่จื่อหลิง เขาไม่เชื่อถือ แต่ว่าเขากลับกล้ามั่นใจเล็กน้อย สตรีผู้นี้เข้าใจกู่มิใช่เพียงด้านนี้แน่
หลงเซี่ยวอวี่รู้ว่าถามต่อไป คำตอบก็ต้องเหมือนกัน ดังนั้นจึงคิดว่าจะไม่ตอแยถามคำถามนี้กับมู่จื่อหลิงอีก
เพียงแต่เขาไม่คิดว่าสตรีผู้นี้จะกล้ากล่าวคำเท็จต่อหน้าเขาแล้วหน้าไม่แดงลมหายใจไม่ติดขัด ยังคงมีสีหน้าเรียบสงบดังเดิม
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด ในขณะที่มู่จื่อหลิงเกือบจะหายใจไม่ออกจนเตรียมทำลายบรรยากาศ หลงเซี่ยวอวี่จึงเอ่ยปากอย่างเรียบเฉย “รังนกล่ะ?”
ยามนี้มู่จื่อหลิงไหนเลยจะสนใจว่าหลงเซี่ยวอวี่ถามอันใด นางขอเพียงแค่หลงเซี่ยวอวี่ไม่สงสัยอีกต่อไปก็พอ ดังนั้นหลงเซี่ยวอวี่ถามคำถามนี้นางจึงตอบออกมาโดยไม่ทันผ่านสมองคิด “กินแล้ว”
“กินแล้ว?” ดวงตาของหลงเซี่ยวอวี่จ้องกลับไปอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
มู่จื่อหลิงพลันชะงักค้าง แล้วจึงได้มีสติกลับมาว่าหลงเซี่ยวอวี่ถามสิ่งใดไปเมื่อครู่ แล้วนางตอบสิ่งใดไป จึงเปิดปากอธิบายใหม่ “คางคกพิษที่หม่อมฉันเลี้ยงไว้กินเข้าไปแล้ว”
มู่จื่อหลิงจึงสงบใจลง รังนกถูกเสี่ยวไตกูกิน รอบนี้นางพูดจริงแล้ว หลงเซี่ยวอวี่คงไม่สงสัยนางแล้วกระมัง
ไม่รู้เลยว่านางยิ่งจับยิ่งดำ ยิ่งพูดยิ่งออกทะเล
“เปิ่นหวางกลับประหลาดใจนัก คางคกพิษเช่นใดถึงสามารถดื่มรังนกได้ ทั้งยังกระหายอาหารไม่น้อย ดื่มหมดทั้งถ้วย” ภายนอกหลงเซี่ยวอวี่ราบเรียบ แต่น้ำเสียงกลับเผยให้เห็นอันตรายบางส่วน
สตรีผู้นี้นับวันยิ่งทำให้ตกตะลึง คางคกพิษยังสามารถเลี้ยงได้ ดูท่าความลับในตัวนางคงไม่น้อย!
ตอนนี้มู่จื่อหลิงแทบทนไม่ไหวที่จะกัดลิ้นตนเองทิ้งนัก เมื่อครู่ทำไมต้องพูดว่ากินแล้ว พูดไปว่าเททิ้งก็สิ้นเื่แล้ว หลงเซี่ยวอวี่ในยามนี้เห็นได้ชัดว่ากำลังสงสัยนาง
มู่จื่อหลิงในขณะนี้อยากถามหลงเซี่ยวอวี่สักประโยค นี่เป็เื่ของข้าเอง ทำไมฉีอ๋องเช่นท่านต้องถามมากมายเพียงนั้น
แต่ว่านางถูกหลงเซี่ยวอวี่ตักเตือนมาสองรอบแล้ว หากนางยังพูดอีก ว่านี่เป็เื่ของตนเอง ไม่รู้ว่าหลงเซี่ยวอวี่จะตบนางในที่นี้เลยหรือไม่
แม้จนถึงตอนนี้นางก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมหลงเซี่ยวอวี่พูดได้มากมายเพียงนี้ แต่หมอนี่อารมณ์แปรปรวน นางยั่วโทสะให้น้อยจะดีกว่า
ในคำพูดของหลงเซี่ยวอวี่มีความหมาย ที่ถามนั้นก็มิใช่ความหมายของคำถามข้างนอก ทว่ามู่จื่อหลิงกลับมิได้คิดมากมายเพียงนั้น คิดเพียงอย่างเดียวว่าหลงเซี่ยวอวี่แปลกใจเพราะเสี่ยวไตกูสามารถกินรังนกได้จริงๆ ดังนั้นนางจึงอธิบายไปอย่างโง่งม
“คางคกพิษมิได้กินรังนกได้ แต่รังนกมีหนอนกู่อยู่ในนั้น มันกินเพียงแค่หนอนกู่ หม่อมฉันแบ่งป้อนมันหลายๆ ครั้ง มิได้กินหมดในครั้งเดียว” มู่จื่อหลิงรับคำตามปกติด้วยสีหน้าจริงจังเช่นเดิม
ยามนี้นางเพียงได้แต่พูดเช่นนี้แล้ว เสี่ยวไตกูตัวเล็กเช่นนั้น หากมิใช่นางเห็นด้วยตาตนเอง นางเองก็ไม่เชื่อว่าเสี่ยวไตกูจะดื่มรังนกหมดถ้วยภายในครู่เดียว
หลงเซี่ยวอวี่สงสัยเช่นนี้นางก็ไม่แปลกใจ ลำตัวคางคกทั่วไปต่อให้ใหญ่ก็ใหญ่ไม่ถึงไหน นับประสาอันใดกับเสี่ยวไตกูที่เพิ่งหนึ่งชุ่นกัน
หลงเซี่ยวอวี่มองท่าทางแสร้งจริงจังอย่างโง่งมของมู่จื่อหลิง ในดวงตาที่ลุ่มลึกก็ทอประกายความผิดปกติที่ผู้อื่นจับสังเกตไม่ได้ ก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยคด้วยความเย็นเยียบแล้วจึงจากไป