ความมืดยามค่ำคืนปกคลุมไปทั่วทั้งป่าเขา สัตว์หากินยามกลางคืนยืดเหยียดและคืบคลานออกมาหาอาหาร หิ่งห้อยส่องตะเกียงที่ก้นเพื่อให้แม่หนอนเปิดงานเลี้ยงท่ามกลางขุนเขาและท้องฟ้า ผีูเาในชุดลายพรางดิจิตอลสีดำล้มลุกคลุกคลานจนฝูงสัตว์แตกตื่น เขากระเสือกกระสนไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็ว เขาเองก็ลนลาน ไม่สงบนิ่งเหมือนก่อนหน้า แต่การเคลื่อนไหวนั้นยังคงเงียบกริบ
แหวกผ่านพุ่มไม้ ผีูเาสะดุดและตกลงไปในโพรงต้นไม้สูงตระหง่านขนาดห้าคนโอบ เขายกผ้าพรางตัวที่ปากโพรงต้นไม้ขึ้น ผ้าซึ่งกั้นโลกภายในและภายนอกออกจากกัน
ผีูเานั่งอยู่บนรากเหง้าโดยใช้หลังพิงโพรงต้นไม้ไว้ เขาหยิบพลุเตือนภัยออกมาจากกระเป๋าด้วยความลำบาก หลังจากที่จุดไฟแล้ว มันก็ถูกแทรกลงไปในช่องว่างข้างๆ โพรงต้นไม้ขนาดใหญ่สว่างขึ้นทันตา ด้านในนั้นเหมือนกับโลกใบใหม่
รอบกำแพงเต็มไปด้วยรูปถ่ายของเพื่อนแต่ละคน ด้านในกล่องเหล็กสนิมที่มุมผนังมีลูกแก้วสีใส ภาพวาดต่างประเทศเป็คราบเหลือง และลูกดิ่งซึ่งแตกพัง...
ผีูเาหอบหายใจพลางถอดอุปกรณ์ เขาฉีกเครื่องแบบทหารซึ่งมีรูที่หน้าอกออก หน้าอกอันแข็งแกร่ง กล้ามเนื้อเป็มัด บริเวณกล้ามเนื้อที่ด้านหน้าเป็รอยฟกช้ำและเริ่มมีสีเขียวคล้ำ เืไหลออกมาจากรูขุมขน
เพื่อที่จะแบกอุปกรณ์ได้มากขึ้น ผีูเาจึงไม่ได้สวมเสื้อเกราะ ควรจะบอกว่า ด้วยการคาดการณ์ของเขาเป็ไปไม่ได้ที่จะพบกับมือปืนที่สามารถยิงเขาได้
แต่ในขณะนี้ เขาไม่เพียงแต่พบมือปืนผู้นั้น ชายคนนั้นถึงกับสอนวิธีการเป็ลูกผู้ชายให้เขาด้วยการพกปืนจากสมัยาโลกครั้งที่ 2 มา? อสุรกายเช่นเสิ่นินั้นใช้สัญชาตญาณในการยิงและเกือบจะสังหารเขาได้ หากไม่ได้เกราะคันฉ่องซึ่งปกป้องหัวใจจากบรรพบุรุษช่วยเอาไว้ เขาคงได้ตายตกไปแล้ว
“ซี่โครงหัก...ไอ้ฉิบหาย มันทำะุเจาะเกราะเองได้จริงๆ ด้วย” ผีูเาจับซี่โครงที่หน้าอกด้วยนิ้วมือและมันบิดกลับเข้าที่ด้วยมือเปล่า เขากัดกรามอดทนต่อความเ็ปที่แสนสาหัส กระทั่งเหงื่อไหลซึมไปทั่วร่างกาย
หลังจากที่ผีูเาจัดซี่โครงและพันแผลแล้ว เปลวไฟจากพลุสัญญาณก็ถูกบดขยี้ ปล่อยให้โพรงต้นไม้กลับคืนสู่ความมืดมิด ลมหายใจราบรื่นหลังจากฉีดยาแก้ปวด ผีูเาเหนื่อยล้าเป็อย่างมาก เขาปล่อยให้ร่างกลายเป็ส่วนหนึ่งของความมืดและถูกกลืนหายไปจากโลกนี้
แต่แมลงจอมซนบางตัวก็ยังสามารถพบเขาได้อยู่เสมอ หิ่งห้อยกลุ่มหนึ่งลอดผ่านผ้าพรางตัวเข้าไปในโพรงไม้ สำหรับพวกมันแล้ว เขาก็เป็ ‘คนนอก’ ใช่ไหมล่ะ?
แสงริบหรี่จากหิ่งห้อยสะท้อนบนภาพถ่ายที่เป็คราบเหลืองๆ บนผนัง เป็การค้นพบอันแปลกประหลาด ภาพถ่ายเหล่านี้ล้วนบอกเล่าถึงเื่ราวของเด็กหญิงตัวเล็กและเด็กชายตัวน้อย มันให้ความรู้สึกถึงอารมณ์ซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติอย่างภาพยนตร์ “Love Me If You Dare”
“เหวิน...มันใกล้แล้ว ใกล้มากแล้ว ผมกำลังจะไปพบคุณ” ผีูเายิ้มที่มุมปาก ก่อนจะค่อยๆ ผล็อยหลับไป
อีกฟากหนึ่ง สองมือที่ชุ่มเืของไพร หลังจากที่เสิ่นิทายาให้อย่างงกๆ เงิ่นๆ แล้วนั้น เขาก็แบกหญิงสาวขึ้นหลังและเดินกลับไปที่หมู่บ้าน
ไพรไม่ชอบความรู้สึกที่หน้าอกของตนเบียดอยู่บนแผ่นหลังของเสิ่นิ แรงเบียดนั้นเปลี่ยนรูปร่างของลูกชิ้นขนาด 34E ทั้งสองลูก เสื้อผ้าบางเบา แรงเสียดทานทำให้ใบหน้าของเธอเป็สีแดงก่ำในความมืด เธอพยายามดันร่างออกด้วยมือของตนเอง แต่าแที่มือและพิษงูที่ยังไม่หลุดออกจากร่างกายอย่างสมบูรณ์นั้น ทำให้เธอไร้เรี่ยวแรงเกินจะฝืน
“ไม่ขยับโอเคไหม? เดี๋ยวจะตก” ในที่สุดเสิ่นิก็ “สุดจะทนไหว” ไพรขยับตัวมากเกินไป ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังถูกลูบไล้ “เสิ่นิน้อย” ชวนลุกขึ้นยืนอย่างไร้ยางอาย
“ช่วยฉันทำไม?” ไพรเลิกขัดขืน หญิงสาวนอนแนบไปบนแผ่นหลังของชายหนุ่มเบื้องหน้า เธอรู้สึกได้ถึงความมั่นคง เหมือนอยู่กับผู้เป็พ่อ
“ก็คุณเป็คู่หู”
“ฉันเป็คู่หูที่ถูกส่งมาตาย หน้าที่ของนายคือฆ่าเขา” ไพรตำหนิอย่างไม่ลดละ
“ะุนัดปลิดชีพของผมถูกขัดขวาง เขาหนีไปแล้ว บางทีหากตามไปได้ทัน ณ ตอนนั้น ก็อาจสังหารเขาได้ แต่คุณจะต้องตายแน่ๆ ผมเลือกที่จะช่วยคุณ ดังนั้นคุณต้องอยู่ต่อไป ยังไงเสียอยู่ต่อก็คุ้มกว่าอยู่แล้ว?” เสิ่นิวิเคราะห์อย่างใจเย็น
“คุ้มกว่าตรงไหน พวกเราทาสตระกูลเฝิงนั้นตายั้แ่แรกเกิดแล้ว ชีวิตไม่สำคัญสำหรับเรา การปฏิบัติตามคำสั่งเป็สิ่งที่สำคัญกว่า” ไพรถอนหายใจเบาๆ “ทาสในเรือนอย่างฉัน มีมากมายเหลือคณาในตระกูลเฝิง หากฉันสิ้นชีพในวันนี้ พรุ่งนี้ก็จะมีคนมาเป็จตุปีศาจพสุธาของนายน้อยเฝิงแทนฉันเอง ดังนั้นความตายจึงไม่ใช่เื่ที่น่าเสียดาย”
“ชีวิตเป็สิ่งที่ยุติธรรมที่สุดในโลกแล้ว ไม่ว่าคุณจะเป็กษัตริย์ ราชินี หรือเป็ขอทานข้างถนน หัวใจ สมอง...จุดตายเหมือนกันทุกคน คนอื่นอาจรู้สึกว่าไม่น่าเสียดายที่คุณตาย แต่ถ้าคุณเองก็คงจะคิดอย่างนั้น มันจะไม่น่าเสียดายจริงๆ ที่คุณตาย” เสิ่นิก้าวข้ามโขดหิน
“เสียดายแล้วยังไง? สมควรตายก็ไม่ต้องตายอย่างนั้นเหรอ? ฉันเปลือยเปล่าต่อหน้านาย สูญเสียพรหมจรรย์...รอกลับไปถึงตระกูลเฝิงเมื่อไร...ฉันก็ต้องตายอย่างน่าสมเพชอยู่ดี” ที่น่าแปลกมากก็คือ เมื่อไพรได้พูดถึงเื่นี้อีกครั้ง เธอกลับไม่มีความโกรธอีกแล้ว โล่งใจมากเสียด้วยซ้ำ
“มั่นใจได้ ผมรู้กฎของบ้านคุณ เื่ที่เกิดขึ้นที่บ่อน้ำพุร้อน คุณไม่พูด ผมไม่พูด ผมสาบานต่อหน้าดวงจันทร์” เสิ่นิเปิดใจ
“คิดว่าแค่นี้ฉันก็หายเกลียดนายแล้วเหรอ ชาวนิรวานและฉันมีความแค้นที่สังหารบุพการี ต่อให้นายมีบุญคุณต่อฉัน แต่ฉันก็ต้องฆ่านาย” ในขณะที่ไพรพูดออกมาเช่นนั้น เธอก็นึกเสียใจอยู่บ้าง เพราะเธอรู้ว่าความโกรธนี้คือความอาฆาต เหมือนกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่หาเื่โดยไร้เหตุผลเพราะแค่้าล้างแค้นเอากับเสิ่นิ เธอไม่อยากถูกมองว่าเป็เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ
“ต่อให้ผมตายก็ยังมีอีก 1,000 หรืออาจจะ 800 คน ที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าคุณเลยสักนิด ถ้าอยากเกลียดผมก็เกลียดไปเถอะ หากมันจะช่วยทำให้คุณอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป” เสิ่นิยิ้มหน้าตาเฉย
“นายเป็ชาวนิรวานที่แปลกมาก ทุกคนที่ตระกูลเล่าว่าชาวนิรวานคือยมทูต กลุ่มอสุรกายผู้ล่าสังหาร แต่นายกลับอยากให้คนอื่นมีชีวิตรอด?” ไพรเข้าใจเกี่ยวกับชาวนิรวานผ่านคำบอกเล่าของผู้สูงอายุ สิ่งที่ทาสในบ้านเกลียดที่สุดเมื่อต้องออกไปแทนคุณก็คือต้องออกไปพบกับชาวนิรวาน กำลังภายในของพวกเขานั้นเยี่ยมยอดและเก่งเื่อาวุธปืนทุกชนิด หากงานเกิดไปทับซ้อนกับบุคคลที่พวกเขาจำเป็ต้องปกป้อง ก็ต้องขออภัยด้วย พวกเขาจะไม่ดีล แต่จะกำจัดทิ้งทั้งหมดเลย
“ตอนนี้ผมไม่ถือว่าเป็ชาวนิรวานแล้ว ควรจะเรียกผมว่าผู้นิพพาน อาจเกี่ยวกับที่ว่าเป็บอดี้การ์ดด้วย? ก็เลยเป็สัญชาตญาณของผมที่อยากจะให้คนรอดชีวิต ขอบคุณหมอนั่นที่สวมสิ่งนี้ไว้ ไม่อย่างนั้นวันนี้ผมอาจจะแหกกฎจนฆ่าคนตายไปแล้วจริงๆ”
“นี่มัน?!” ไพรมองไปที่วัตถุทรงกลมซึ่งทำเอาดวงตาของเธอเบิกกว้าง
“คุณรู้จักเหรอ?” เสิ่นิแปลกใจ
“ฉันรู้จักแค่ตราประทับนี่ มันคือสัญลักษณ์พิเศษที่ใช้ในคฤหาสน์จักรพรรดิ” ไพรชี้ไปที่รอยเล็กๆ ตรงมุม
“ดูเหมือนว่าการคาดเดาของผมจะไม่ผิด ผีูเามาจากคฤหาสน์จักรพรรดิ” เสิ่นิถอนหายใจเบาๆ “คุณรู้ภาษาแมนจูไหม?”
“นิดหน่อย”
“ช่วยแปลสิ่งนี้ให้ผมหน่อย” เสิ่นิโชว์รูปภาพตัวอักษรแมนจูซึ่งถูกสลักอยู่ที่ข้างประตูให้ดู
“ฉันกลับมาเอาชีวิตบัดซบของคุณแล้ว” ไพรแปลตามตัวอักษร
“ในคฤหาสน์จักรพรรดิ นอกจากเจิ้นถิงและพ่อบ้านไท่แล้ว ยังมีคนอื่นอยู่ด้วยเหรอ?”
ไพรจึงเล่าเื่ต่อไปนี้...
เจิ้นถิงรับ่ทำหน้าที่ผู้ใหญ่บ้านต่อเป็เวลานานนับ 40 ปี เขามุ่งมั่นที่จะทำให้หมู่บ้านเบเลอร์และสังคมสมัยใหม่ภายนอกูเานั้นเชื่อมถึงกัน ในขณะเดียวกันก็้ารักษาความสงบดั้งเดิมของหมู่บ้านเบเลอร์ไว้ให้ปราศจากสิ่งรบกวน มันแทบจะเป็ไปไม่ได้เลยที่จะทำให้มันเสร็จสมบูรณ์ได้ด้วยแรงของเจิ้นถิงเพียงลำพัง กระทั่งเมื่อเขาอายุได้ 40 กว่าปี เขาก็มีลูกชายคนหนึ่ง ซึ่งต่อไปเขาจะได้ปลูกฝังให้เข้ารับตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านต่อด้วยความรอบคอบ
เพื่อให้หมู่บ้านเบเลอร์ไม่ล้าหลังตามกาลเวลา เจิ้นถึงจึงเริ่มส่งลูกหลานในหมู่บ้านไปเรียนที่ต่างประเทศ ตอนอายุ 18 ปี ลูกชายของเจิ้นถิงถูกส่งไปยังสถาบันการศึกษาซึ่งอยู่ในอันดับท็อปของอเมริกา
แต่พอผ่านไปได้ 2 ปี ก็มีข่าวร้ายจากต่างประเทศว่า ลูกชายของเขาเสียชีวิตในการโจรกรรมปืน ณ คฤหาสน์จักรพรรดิแห่งนี้ซึ่งสืบทอดกันมาอย่างยาวนานหลายร้อยปี เขาสูญเสียทายาท เจิ้นถิงตรอมใจ แต่ภายในไม่กี่ปีน้ำตาของเขาก็สงบลง จากนั้นไม่นาน ทั้งคฤหาสน์ก็หลงเหลือแค่เพียงเจิ้นถิงและพ่อบ้านไท่
ล้มลุกคลุกคลานกันมา ในที่สุดเสิ่นิก็แบกไพรผ่านูเาลึกและป่าทึบกลับมาจนถึงคฤหาสน์จักรพรรดิจนได้ เป็เวลาเกือบรุ่งสาง เสิ่นิเคาะประตูให้พ่อบ้านไท่โทร.ตามหมอมาแต่หัววัน หลังจากจัดการกับแผลที่มือและพิษงูของไพรแล้ว ชายหนุ่มก็ตรงไปยังห้องรับแขกของผู้ใหญ่บ้านพร้อมกับใบหน้าที่เลอะกากตะกรันและเขม่าดินปืน
“เสิ่นิ นายเป็อย่างไรบ้าง?” เซี่ยวอี๋ดีใจที่เสิ่นิยังมีชีวิตอยู่ และเมื่อเธอเห็นสีหน้าอันเ็าของเสิ่นิ เธอจึงคิดว่าการฆาตกรรมในวันนี้นั้นคงเป็เื่ที่ใหญ่โต
“เฮ้! นายทำอะไรน่ะ?” เฝิงเฉวียนมาถึงที่ประตูห้องของเจิ้นถิงก่อน เขาไม่ชอบสภาพของเสิ่นิในตอนนี้ ไม่ชอบทิศทางที่เขากำลังจะเดินไป เด็กหนุ่มเอาตัวเข้าไปขวางไว้โดยสัญชาตญาณ
“เฝิงเฉวียน ฉันยังไม่ลืมว่านายเป็ใคร ฉันไม่อยากเป็บอดี้การ์ดที่ทำร้ายนายจ้าง ฉันแค่มีคำถามที่อยากจะถามนายจ้าง” เสิ่นิกล่าวอย่างใจเย็น
“มีอะไรค่อยคุยกันพรุ่งนี้ ผู้ใหญ่บ้านหลับอยู่” เฝิงเฉวียนไม่ยอมให้เข้าไป ฉากตรงนั้นเริ่มตึงเครียด
และขณะนั้นเอง ไฟในห้องก็สว่างขึ้น เสียงของผู้เฒ่าเจิ้นถิงกล่าวทักทาย “คุณเสิ่นิกลับมาแล้วเหรอ? รีบเข้ามาเร็วเข้า!”
และนั่นเองคนทั้ง 3 ก็เดินเข้าในห้องนอนของเจิ้นถิง ชายชราอยู่ในชุดนอน เจิ้นถิงที่สวมเสื้อคลุมรินน้ำให้คนทั้งสาม
“คุณเสิ่นิได้เจอผีูเาหรือยัง?” เจิ้นถิงหันหลังให้ในขณะที่ถามเสิ่นิ
“ได้พบแล้ว”
“เขา...ยังสบายดีใช่ไหม?” น้ำเสียงของเจิ้นถิงสั่นเครือ
“ไม่ค่อยดีนัก เกือบถูกผมฆ่าตาย” เสิ่นิพูดพลางวางเกราะคันฉ่องอันบูดเบี้ยวลงบนโต๊ะตรงหน้า “ผู้าุโ ผมรู้ว่าบอดี้การ์ดคืองานที่ขายชีวิต ควรพูดให้น้อยและทำให้มาก นั่นคือจรรยาบรรณในวิชาชีพของเรา หากนายจ้างไม่้าเอ่ยถึง ผมก็จะไม่ถาม...แต่หากนายจ้างของผมมีแนวโน้มที่จะปกป้องฆาตกร ต่อให้เป็พระก็คงอดโมโหไม่ได้ใช่ไหม? คุณรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับผีูเา แต่ก็ปฏิเสธที่จะแบ่งปันข้อมูลให้กับผม ทำให้ผมและคนที่ปกป้องคุณต้องกลายเป็เหยื่อของผีูเา มันไม่ค่อยถูกต้องเลย ว่าไหม?”
“เฮ้อ ทั้งหมดมันเป็ความผิดของผมเอง ความเห็นแก่ตัวของผมได้ทำลายชีวิตของผู้ชายที่คอยปกป้องผม วันนี้คุณเสิ่นิและไพรตกอยู่ในอันตราย นับเป็บาปของผม” เจิ้นถิงก้มหน้ารับความผิด น้ำตาของชายชราไหลลึกในดวงตา
“ผีูเาคือใคร?” เสิ่นิ้ารู้ความจริง
“ที่จริงแล้วผีูเา...คือบุตรของผม เย่าจู่”
“ไม่จริงใช่ไหม? คุณลุง! เย่าจู่ตายไปตั้งนานแล้ว?” เฝิงเฉวียนยังจำได้ว่าพ่อของตนมาที่นี่เพื่อไว้อาลัย
“ความจริงแล้วเย่าจู่ยังไม่ตาย แต่สำหรับหมู่บ้านเบเลอร์ เขาตายและกลายเป็ผีไปแล้ว...”