“ท่านปู่!”
เมื่อชายชราปรากฏตัว จื่ออิ่งจึงโค้งคำนับด้วยความเคารพโดยไม่รอช้า ท่านปู่ของเขาเป็ผู้ฝึกยุทธ์ระดับขอบเขตลี้ลับ ด้วยการปรากฏตัวของเขาในครั้งนี้ หลินเฟิงจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
คนที่ปรากฏตัวตรงหน้าดูเหมือนอายุไม่มากนัก แต่จื่ออิ่งกลับเคารพเหมือนท่านปู่ ซึ่งเื่นี้ผู้คนก็ไม่ได้แปลกใจอะไร บนเส้นทางแห่งนักรบ หากมีการบ่มเพาะที่สูงก็ยิ่งมีอายุยืนยาว แล้วอาจทำให้ดูอ่อนเยาว์ได้เช่นกัน ผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งมาต่อให้อายุมากแล้วก็สามารถกลับไปเยาว์วัยได้ และจะยังคงสภาพไว้อย่างนั้นตลอดไป
ในทวีปเก้าสรรค์ยังมีข่าวลือว่า หากมีทักษะยุทธ์ที่สูงส่งแล้วจะไม่ตายและไม่ถูกทำลายลงได้ง่ายๆ มิหนำซ้ำยังชีวิตอันเป็นิรันดร์ ซึ่งข้อดีของมันย่อมทำให้ผู้คนจำนวนมากต่างโหยหาในสิ่งนี้และไขว่คว้ามัน
เส้นทางแห่งนักรบจะเป็หัวข้อที่เล่าขานกันต่อไปจากรุ่นสู่รุ่นไม่มีวันจบสิ้น
“เ้ายังมีหน้ามาเรียกข้าว่าปู่อีกหรือ!”
ผู้าุโกล่าวอย่างเกรี้ยวกราด เมื่อเห็นร่างไร้ิญญาที่กองอยู่บนพื้นทั้งหมดล้วนเป็ยอดฝีมือจากตระกูลจื่อ และยังเป็ลูกหลานของเขาทั้งสิ้น ทว่าตอนนี้ทุกคนล้วนตายไปหมดแล้ว
ตอนนี้เหลือเพียงจื่อเซี๋ยเท่านั้น มิฉะนั้นตระกูลจื่อจะไม่มีทายาทสายตรงอีกต่อไป
“เป็ความผิดของข้าเอง”
จื่ออิ่งไม่กล้าโต้แย้ง เขาเป็ถึงผู้นำของตระกูลจื่อ แต่กลับทำให้ตระกูลจื่อต้องตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤต ซึ่งเขาไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้แม้แต่น้อย แม้แต่ลูกชายของเขาก็ยังถูกสังหาร
“ความผิดของเ้า ข้าจะต้องลงโทษเ้าอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้...”
ผู้าุโตระกูลจื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงเ็าขณะจ้องเขม็งไปที่หลินเฟิง
“เ้าอายุยังน้อย แต่ก็ทะลวงสู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 8 ได้แล้ว เ้าจะมีอนาคตที่ไร้ขีดจำกัด แต่น่าเสียดายที่วันนี้เ้าจะต้องตายอยู่ที่นี่”
หลังจากผู้าุโตระกูลจื่อกล่าวจบ จิตสังหารที่รุนแรงก็ปะทุออกจากร่างของเขา ทำให้ผู้คนที่อยู่บริเวณรอบๆ ต่างรู้สึกหนาวเหน็บ
“ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 8 ที่แท้หลินเฟิงก็มีการบ่มเพาะระดับขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 8 นั่นเอง! ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก นอกจากนี้ด้วยความแข็งแกร่งของเขาแล้ว แม้แต่จื่ออิ่งที่อยู่ขั้นสูงสุดของขอบเขตแห่งจิติญญายังต้องถอยหนี ช่างร้ายกาจเหลือเกิน”
ผู้คนต่างตกตะลึง หลินเฟิงยังเยาว์นักแต่กลับสามารถทะลวงขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 8 ได้แล้ว ซึ่งพวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
“จริงหรือ? งั้นมาลองดูกันว่าข้าจะตายหรือไม่”
หลินเฟิงกล่าวอย่างไม่แยแสด้วยน้ำเสียงที่ยังคงสงบนิ่ง ไม่มีความผันผวนแม้น้อย เป็ความจริงที่หลินเฟิงอยู่ระดับขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 8 ในวันนั้นหลังจากที่บรรลุขอบเขตการผสานกับเทวโลก การบ่มเพาะของเขาก็พัฒนาขึ้นจากขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 6 ไปสู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 8
ก่อนที่จะบรรลุขอบเขตการผสานกับเทวโลก หลินเฟิงได้อาศัยวิธีต่างๆ จนสามารถก้าวข้ามไปได้ ตอนนี้การผสานกับเทวโลก แม้อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 8 แต่ก็สามารถจัดการผู้ที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 9 ได้อย่างง่ายดาย และหากจื่ออิ่งไม่ได้ใช้วิธีที่แปลกประหลาดนั่น ป่านนี้หลินเฟิงคงสังหารเขาไปแล้ว
“บ้าบิ่นยิ่งนัก”
ผู้คนต่างมองหลินเฟิงและผู้าุโตระกูลจื่อ แม้หลินเฟิงต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ขอบเขตลี้ลับ แต่เขาก็ไม่หนีไปไหน
“ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง งั้นข้าจะทำให้เ้าเข้าใจเองว่า ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตลี้ลับไม่ทางแพ้ผู้ที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาได้ง่ายๆ”
ผู้าุโตระกูลจื่อดึงแขนเสื้อขึ้น ทันใดนั้นฝุ่นทรายมากมายก็ก่อตัวเป็พายุและแผดเสียงดังกึกก้อง
“ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตลี้ลับสามารถควบคุมเจินชี่ได้ ซึ่งเจินชี่ก็คือหยวนชี่ฟ้าดินที่มารวมตัวกัน มันสามารถบดขยี้ผู้ที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาได้อย่างง่ายดาย นี่คือช่องว่างระหว่างขอบเขตที่ไม่อาจย้อนกลับได้”
ผู้าุโตระกูลจื่อยกมือขึ้นชี้ไปทางหลินเฟิง เขาเริ่มดูดซับเจินชี่สีม่วงราวกับเป็ดวงดาวระยิบระยับ
นอกจากนี้แสงที่เจิดจ้าของเจินหยวนเ่าั้ไม่ใช่ภาพลวงตาแต่อย่างใด นั่นคือหยวนชี่ฟ้าดินที่มารวมกันแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น พลังนี้เต็มไปด้วยอำนาจแห่งการทำลายล้าง
หลินเฟิงจับดาบของเขาชี้ออกไปบ้าง ทันใดนั้นประกายแสงสีขาวที่เยือกเย็นและน่าหวาดกลัวได้ปรากฏขึ้น
“วันนี้ข้าอยากลองทักษะดาบแห่งการหยั่งรู้ ด้วยเจินหยวนของเ้า”
หลินเฟิงกล่าวอย่างเ็า ทำให้ผู้คนต่างตกตะลึงเมื่อได้ยินชื่อทักษะดาบแห่งการหยั่งรู้ สมแล้วที่หลินเฟิงเป็อัจฉริยะ สติปัญญาช่างล้ำเลิศยิ่งนัก
“ประลองดาบกับข้า?” ผู้าุโตระกูลจื่อกล่าวพร้อมรอยยิ้มประหลาดบนใบหน้า เขาไม่เคยได้ยินว่าผู้ที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญา จะกล้าท้าประลองกับผู้ที่อยู่ขอบเขตลี้ลับและยังให้คำชี้แนะอีกด้วย
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า หลินเฟิงช่างบ้าระห่ำเป็ที่สุด
“ดี งั้นเ้าก็ลองดูสิ”
ผู้าุโตระกูลจื่อสะบัดมือเล็กน้อย แสงจากเจินหยวนเริ่มส่องประกาย จากนั้นเขาก็ผลักมันออกไป แสงสีม่วงนั่นเต็มไปด้วยพลังแห่งการทำลายล้างที่มันจะทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า
แม้แต่ผู้คนที่อยู่ใกล้ๆ ทางเดิน ก็ยังรู้สึกได้ถึงเจตจำนงแห่งการทำลายล้างในเจินหยวนสีม่วงได้ชัดเจน
“ดาบสุริยัน!”
หลินเฟิงตวัดดาบในอากาศอย่างรวดเร็ว แต่ในสายตาของฝูงชนกลับดูเหมือนว่ามันค่อยๆ เคลื่อนไหวช้าๆ
ฝูงชนแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ดาบของหลินเฟิงช่างดูราวกับดวงอาทิตย์ที่ค่อยๆ ขึ้นสู่ท้องฟ้า มันเต็มไปด้วยพลังชีวิตอันไร้ที่สิ้นสุด
“งดงามยิ่งนัก มันช่างเหมือนแสงของดวงอาทิตย์ในยามเช้าเหลือเกิน” จื่อหลิงพัมพำเสียงอ่อนคล้ายกำลังฝันไป “ท่านพี่ นี่คือทักษะดาบของหลินเฟิงที่สร้างขึ้นมาเอง เมื่อครั้งที่ข้ากับเขาไปดูดวงอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้าร่วมกัน ในที่สุดเขาก็ได้แสดงทักษะนี้ออกมาสักที”
นางยังพอจำได้เลือนราง ในตอนเช้าตรู่วันหนึ่งที่นางกับหลินเฟิงดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกัน นางยังคงรำพันถึงทิวทัศน์ที่งดงามนั่น แล้วยังบอกอีกว่า หลินเฟิงไม่ใช่คนนั้นที่นางอยากไปดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วย แต่ตอนนี้นางกลับคิดถึง่เวลานั้นขึ้นมา
ราวกับว่าเวลาแห่งความสุขเช่นนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีกเป็ครั้งที่สอง
“ทักษะดาบที่สร้างขึ้นเอง”
จื่ออีสั่นสะท้านเมื่อรับรู้เื่ดังกล่าว ในใต้หล้ามีอัจฉริยะนับไม่ถ้วนที่มีทั้งทักษะยุทธ์และศิลปะการต่อสู้ แต่ก็มีบางคนที่สามารถสร้างทักษะขึ้นมาเองได้ นอกจากนี้ทักษะที่งดงามและน่าเกรงขามเช่นนี้ ถ้าบางคนหยั่งรู้ด้วยิญญาของพวกเขา มันย่อมสามารถเกิดขึ้นได้ นั่นถึงจะเป็ทักษะดาบแห่งการหยั่งรู้อย่างแท้จริง
แสงสีม่วงและแสงสีแดงกำลังเข้าปะทะกัน จึงเกิดแสงสว่างจ้าไปทั่วท้องฟ้าและเกือบทำให้ผู้คนที่มองตามไปแทบลืมตาไม่ขึ้น ดูเหมือนว่าการปะทะของพลังจะเกิดขึ้นเป็เวลานานก่อนที่แสงจะจางหายไป
หลินเฟิงปรากฏตัวขึ้น ซึ่งเขายังคงจับดาบไว้ด้วยท่าทีที่น่าเกรงขามและไร้ความหวาดหวั่น
“ด้วยทักษะดาบสุริยัน ทำให้ข้าไม่อยากสังหารเ้าเลย แต่น่าเสียดายเพราะเ้าได้สังหารคนของตระกูลจื่อ ข้าจึงจำเป็ต้องสังหารเ้า”
ผู้าุโตระกูลจื่อกล่าว แม้เขาจะเป็ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตลี้ลับ แต่เขาก็ไม่ถือว่าโดดเด่นอะไรในระดับเดียวกัน หากหลินเฟิงฝึกฝนต่อไปเรื่อยๆ เขาจะกลายเป็อัจฉริยะที่แท้จริง และเพียงระยะเวลาไม่กี่ปีหลินเฟิงจะสามารถก้าวข้ามเขาไปได้ แล้วหลินเฟิงจะไร้ผู้ต้านทาน
บางคนชื่นชอบในพร์ ในขณะที่บางคนก็เกลียดพร์ แต่หลินเฟิงจัดอยู่ในประเภทอัจฉริยะ ซึ่งผู้าุโตระกูลจื่อนั้นไม่เคยเห็นเขามาก่อน คนรุ่นหลังในตระกูลของเขาก็มีหลาย่อายุ เขาหวังมาตลอดว่าคนรุ่นหลังในตระกูลของเขาจะมีอัจฉริยะที่เก่งกาจ แต่น่าเสียดายเวลาที่เขารออยู่เช่นนั้น เพราะวันนี้คนที่เขารอกลับไม่ใช่คนรุ่นหลังในตระกูลของเขาและยังเป็ศัตรูของตระกูลอีกด้วย
ผู้าุโตระกูลจื่ออยากตบหน้าจื่ออิ่งสักฉาด เพราะแทนที่จะเป็มิตรกับหลินเฟิงแต่กลับไปทำให้เขากลายเป็ศัตรูเสียได้
“ลงมือเถอะ” หลินเฟิงกล่าวอย่างไม่แยแส
“ดี จงตายเสียเถอะ”
น้ำเสียงของผู้าุโตระกูลจื่อยังคงสงบนิ่ง เมื่อเขาเริ่มเคลื่อนไหว ทันใดนั้นเขาก็ไปปรากฏตัวอยู่หน้าหลินเฟิง ขณะนั้นฝ่ามือของเขาก็รายล้อมไปด้วยเจินหยวนสีม่วง แล้วพุ่งไปหาหลินเฟิงทันที
หัวใจของฝูงชนแทบหยุดเต้น เมื่อเห็นหลินเฟิงกล้าเผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตลี้ลับ
“ดาบแผดเผา!”
หลินเฟิงกล่าวเสียงต่ำ ทันใดนั้นแสงที่ส่องสว่างราวกับแสงอาทิตย์ก็ลุกโชนจากดาบของเขา มันเต็มไปด้วยแรงกดดันมหาศาลและทรงพลังมาก นี่คือพลังของทักษะดาบแผดเผา!
“เปรี๊ยะ… เปรี๊ยะ…”
เกิดเสียงดังก้องไปทั่วบริเวณ และยังมีกลิ่นอายแห่งความตายที่รายล้อมดาบเอาไว้ ซึ่งดาบนี้เป็การหยั่งรู้ของหลินเฟิงและมันยังหลอมรวมเข้ากับขอบเขตของดาบมรณะอีกด้วย
ดาบเล่มนี้ส่องแสงราวกับพระอาทิตย์ ความเร็วราวกับแสง
“ตูม!”
กลิ่นอายอันน่าสะพรึงแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ เมื่อดาบสุริยันเกือบเข้าใกล้ผู้าุโตระกูลจื่อ เขาจึงรีบถอยหนีทันที ผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งระดับขอบเขตลี้ลับ เมื่ออยู่ต่อหน้าหลินเฟิงก็ยังต้องถอยหนี แม้ว่ามันจะเป็เพียงก้าวเล็กๆ ก็ตาม
“เงาทมิฬ!”
หลินเฟิงยังไม่หยุด ทักษะเงาไม้กางเขนก็ใช้โจมตีไป จู่ๆ ร่างของเขาก็หายไปกลายเป็เงาทมิฬ ซึ่งดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เมื่อครั้งที่หลินเฟิงไล่ล่าพันลี้เพื่อช่วยต้วนซินเยี่ย เขาได้ใช้ทักษะขั้นที่สองของเงาไม้กางเขน นั่นก็คือเงาทมิฬ อย่างไรก็ตามเขาในตอนนั้นไม่สามารถใช้เงาทมิฬได้อย่างสมบูรณ์ ทว่าตอนนี้เขาได้บรรลุขอบเขตการผสานกับเทวโลกแล้ว เขาจึงสามารถใช้เงาทมิฬได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งมันเต็มไปด้วยพลังแห่งการทำลายล้าง
“นภาม่วงสังหาร!”
สีหน้าของผู้าุโจื่อพลันเปลี่ยนไปเมื่อััได้ถึงพลังแห่งการทำลายล้าง เขาพึมพำออกมา จากนั้นแสงสีม่วงก็ปรากฏ ซึ่งแสงดังกล่าวเกิดจากเจินหยวนสีม่วง
“ฟุ่บ… ฟุ่บ…”
เมื่อหลินเฟิงฟันดาบไปที่แสงนั่น ผู้าุโตระกูลจื่อถึงกับต้องหน้าถอดสีทันที ร่างกายของหลินเฟิงราวกับภาพลวงตาที่ไม่อาจจับต้องได้ ผู้าุโถอยห่างออกไปอีกครั้ง คนที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลจื่อต้องถอยหนีถึงสองครั้ง เพราะผู้เยาว์เพียงคนเดียว
อย่างไรก็ตามใบหน้าของหลินเฟิงกลับไม่ได้แสดงความภูมิใจแม้แต่น้อย แล้วไม่ได้ไล่ตามแต่อย่างใด เขาแค่หันไปมองจื่ออิ่งอย่างเยือกเย็นและแววตาที่มองนั้นก็เต็มไปด้วยจิตสังหาร
เพียงแวบเดียวก็ทำให้จื่ออิ่งถึงกับหน้าถอดสี และหัวใจของเขาก็กำลังสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
ร่างของหลินเฟิงหายไปอีกครั้งและไม่มีอะไรสามารถหยุดยั้งเขาได้