ทั้งสองเดินเข้าไปในห้องด้วยกัน เฉินไฮว่ชิงนั้นเพราะมีเื่บางอย่างติดค้างในใจ จึงอยู่ไม่สุข พลันเริ่มเกาหัวอีกครั้ง น่ากลัวว่าเขาจะไม่ทันระวังแล้วเกาจนหัวล้านไป
“อาจารย์ วันนี้ท่านทำตัวแปลกๆ นะ” เยว่เยียนเยียนที่เดินอยู่ข้างหน้าหยุดฝีเท้าลงกะทันหัน ลำบากถึงเฉินไฮว่ชิงที่กำลังเกาหัวอยู่ข้างหลัง เกือบจะล้มหัวคะมำลงบนตัวเยว่เยียนเยียน
เกิดสถานการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้ขึ้น เฉินไฮว่ชิงถอยไปข้างหลังสองก้าวด้วยความประหม่า พลางเอ่ยถามเยว่เยียนเยียนขึ้น “แปลก แปลกตรงไหนกัน?” พูดตามตรง ในใจเฉินไฮว่ชิงก็มีความหวั่นกลัวอยู่เล็กน้อย ถึงอย่างไรลูกศิษย์สาวผู้นี้ของเขานั้นดีพร้อมไปทุกอย่าง เพียงแต่อารมณ์ฉุนเฉียวเอาแต่ใจเกินไป ต้องโทษบิดาของนางที่เลี้ยงดูนางให้โตมาเป็เช่นนี้เสียได้…
เฉินไฮว่ชิงยามนี้ในใจมีความลับที่ไม่อาจบอกได้ เมื่อได้ยินเยว่เยียนเยียนพูดอะไรแปลกๆ ก็รู้สึกว่าเป็ไปได้มากที่เยว่เยียนเยียนจะพบความลับที่ตนซ่อนเอาไว้แล้ว บางทีวินาทีต่อไปนางอาจฟาดอสนีบาต ไล่ตะเพิดเขาออกไปเลย นึกไม่ถึงว่าการออกเสียงท้ายประโยคของเยว่เยียนเยียนจะยกขึ้นเล็กน้อย แล้วเอ่ยอย่างมีชีวิตชีวา “ฮี่~ น่ามองมาก!” ??? [1]
ไปเรียนคำพูดแพรวพราวนั่นมาจากไหนกัน? ระหว่างที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ลูกศิษย์ตัวน้อยที่ตนได้เฝ้ามองนางเติบใหญ่ ก็มาถึงวัยที่หยอกล้อกระเซ้าเย้าแหย่แล้วหรือนี่? เป็เช่นนั้นไม่ได้การแน่ เยว่เยียนเยียนที่ตนและบิดาของนางรักใคร่เอ็นดูดั่งหัวแก้วหัวแหวนผู้นี้ จะให้ไปเป็สะใภ้บ้านใครง่ายๆ ไม่ได้หรอก
อย่างน้อยๆ ก็ต้องผ่านตนและบิดาของเยว่เยียนเยียนสองด่านนี้ไปให้ได้เสียก่อน…
นอกเื่แล้ว นอกเื่แล้ว เฉินไฮว่ชิงบอกกับตัวเองในใจไม่หยุด วันนี้เขามาหาเยว่เยียนเยียน นั่นก็ไม่ได้จะมาพูดเื่สำคัญในชีวิตอะไร แค่จะพูดถึง... เื่ที่ค่อนข้างสำคัญในยามนี้ เช่น… จะเปลี่ยนสถานการณ์ที่ต้องกินผักกาดขาวต้มน้ำเปล่าที่ไม่อร่อยนักทุกวันนี้อย่างไร?
“อะแฮ่ม... เยียนเยียนเอ๋ย...” เฉินไฮว่ชิงดึงสติกลับมาอีกครั้ง เขานั่งลงอีกด้านหนึ่ง พร้อมกับเอ่ยขึ้น แต่กลับวกไปวนมาพูดไม่เข้าประเด็นหลักเสียที
ความจริงแล้วเฉินไฮว่ชิงก็ตัดใจทิ้งหน้าแก่ๆ นี้ไม่ลง เขาไม่อาจเอ่ยปากกับลูกศิษย์ตัวน้อยของตนได้ จึงทำให้เยว่เยียนเยียนยิ้มตาหยีโค้ง นางรินชาส่งไปให้อีกฝ่ายที่โต๊ะ พลางขยับพัดอันน้อยของตนเข้ามาใกล้
“อาจารย์มาหาข้าวันนี้ มีเื่อะไรจะคุยหรือ?”
เยว่เยียนเยียนนั้น แม้นิสัยจะเย่อหยิ่งเอาแต่ใจไปบ้าง แต่ในเื่ของความเฉลียวฉลาดก็ไล่เลี่ยกับพี่ชายนางไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย พูดง่ายๆ ก็คือนางฉลาดสุดๆ ั้แ่เล็กนางก็อาศัยอยู่ในโถน้ำผึ้ง [2] เวลาปฏิบัติต่อคนใกล้ชิด นางจึงสังเกตจากสีหน้าและคำพูดได้ดี เฉินไฮว่ชิงเดินเข้ามาในห้องนี้ ไม่ทันได้พูดอะไรมาก สิ่งที่อยู่ในใจก็ถูกเยว่เยียนเยียนมองออกอย่างที่เรียกได้ว่าทะลุปรุโปร่งเลยทีเดียว
ยามนี้เยว่เยียนเยียนถึงเข้าใจว่าอะไรคือ ‘แปลกประหลาด’ อย่างแท้จริง
หากมีใครไม่เข้าใจ เช่นนั้นก็มาดูท่าทางของเฉินไฮว่ชิงในตอนนี้ได้เลย แล้วเ้าจะเข้าใจว่าคำว่าแปลกประหลาดนั้นเป็เช่นไร เยว่เยียนเยียนเองก็ยกถ้วยชาขึ้นมาบ้าง นางเอียงคอมองไปยังเฉินไฮว่ชิงที่เอาแต่อึกๆ อักๆ ไม่ยอมพูดเสียที
“อืม... ที่อาจารย์มาครั้งนี้ ก็มีเื่บางอย่างอยากจะคุยกับเ้าจริงๆ เ้าคงดูออกหมดแล้วสินะ?” เฉินไฮว่ชิงไม่ได้หยิบถ้วยชาบนโต๊ะ อย่างไรเสียเพื่อลดความอึดอัดของตนลงสักเล็กน้อย เขาจึงยกมือขึ้นเขกหน้าผากของเยว่เยียนเยียนเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม “เยียนเยียนของเรานับวันก็ยิ่งเฉลียวฉลาดจริงๆ เลย!”
เยว่เยียนเยียนได้ยินเช่นนั้นก็ไม่วายหัวเราะคิกคัก ก่อนจะเลิกคิ้วแล้วงอนิ้วเคาะลงบนโต๊ะ “ข้าว่านะท่านอาจารย์ ท่านมีเื่อะไรก็พูดมาตรงๆ เถิด ไม่จำเป็ต้องปิดบังข้าหรอก ศิษย์เองก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้นิสัยท่าน...”
เวิ่นเว้อ
แน่นอนอยู่แล้วว่า เยว่เยียนเยียนไม่อาจเอ่ยคำนั้นออกมาได้ ถึงอย่างไรตนก็เป็ศิษย์ จะมากน้อยก็ต้องไว้หน้าอาจารย์บ้างไม่ใช่หรือ? ดังนั้น เยว่เยียนเยียนจึงข่มกลั้นคำพูดที่อยากจะเอ่ยกระแนะกระแหนเอาไว้ แล้วหลุบตาลงเล่นถ้วยชาใบเล็กในมือของตนอย่างสงบเสงี่ยม แสร้งทำเหมือนว่าไม่มีเื่อะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น
“อ้อ จริงสิ หากท่านอาจารย์มาเพื่อพูดโน้มน้าวให้กับเหยียนเฟยนั่น เื่นี้ข้าไม่ยอมหรอกนะ!”
เยว่เยียนเยียนเอ่ยเสริมขึ้นมาอีกหนึ่งประโยค ทำให้เฉินไฮว่ชิงรู้สึกสับสนงุนงงขึ้นมาเล็กน้อยจริงๆ พูดโน้มน้าวให้เหยียนเฟย? นี่ไปเอาที่ไหนมาพูดอีกล่ะเนี่ย... อ้อ อย่าบอกนะว่าแม่หนูผู้นี้คิดว่าเหยียนเฟยจะกลัวนางไม่พอใจ จึงให้ตนมาช่วยพูดไกล่เกลี่ยให้เช่นนั้นหรือ?
เฮ้ นั่นเ้าคิดผิดถนัดเลย! เหยียนเฟยผู้นั้นเป็ผู้ชายอารมณ์ร้ายอย่างมาก เป็ไปได้อย่างไรที่เขาจะมาขออภัยจากเ้า…
แน่นอนว่า เฉินไฮว่ชิงไม่กล้าเอ่ยคำพูดนี้ออกไป ถึงอย่างไรเยว่เยียนเยียนที่เผชิญหน้ากับตนอยู่นั้นก็เป็หญิงสาวที่ถูกประคบประหงมมาั้แ่เด็กจนโต นางจะรับความกระทบกระเทือนที่ไม่มีใครปลอบโยนเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?
ดังนั้นเฉินไฮว่ชิงจึงเพียงโบกมือไปมา แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อ้อ ไม่ใช่เื่นั้นหรอก แต่ก็ไม่ใช่ว่าเ้าหมอนั่นไม่คิดจะขออภัยเ้าหรอกนะ ที่สำคัญอาจารย์เองก็รู้สึกว่าวันนี้เขาเกินไปหน่อยเหมือนกัน เดิมทีไม่สมควรได้รับการให้อภัย ดังนั้นอาจารย์จะไม่มาพูดโน้มน้าวให้เขาแน่นอน เ้าเอาหัวใจของเ้าใส่กลับไปในท้องน้อยๆ นั่นได้เลย วางใจได้!”
เมื่อเอ่ยเช่นนั้นจบ เฉินไฮว่ชิงก็รู้สึกว่าสำนวนการพูดของตนนั้นไม่เลวทีเดียว เมื่อเห็นสีหน้าลำพองใจของเยว่เยียนเยียนแล้ว เฉินไฮว่ชิงก็รู้สึกว่าการกระทำและแผนการของตนนั้นได้สำเร็จไปหนึ่งในสามส่วนแล้ว
“ที่อาจารย์มาวันนี้น่ะ ประเด็นก็คืออยากจะถามเ้าว่า เื่ที่จะกลับบ้าน...”
เกริ่นอยู่เป็ครึ่งวัน ในที่สุดก็ควรจะกลับเข้าประเด็นได้แล้ว เมื่อเฉินไฮว่ชิงอ้าปากเอ่ยจบ ปากเล็กของเยว่เยียนเยียนก็บูดเบ้ลงครึ่งหนึ่ง นางเอ่ยด้วยความไม่พอใจ “กลับบ้านอะไร กลับไปบ้านไหนกัน? ข้าไม่กลับ”
เฉินไฮว่ชิงรู้ดี เยว่เยียนเยียนนั้นถูกเื่นี้ทำร้ายมามากพอแล้ว ดังนั้นนางถึงแสร้งทำเป็ว่าตนหนีตามผู้ชายเสเพลไม่เอาไหน แล้วใช้เป็ข้ออ้างในการหนีงานแต่ง ทว่าความจริงนางนั้น ไม่ออกประตูใหญ่ ไม่ล่วงประตูสอง [3] นางจะไปมีผู้ชายเสเพลที่ไหนมารักใคร่สนิทสนมกันได้เล่า? เพื่อนเพียงคนเดียวที่สามารถเรียกได้ว่าเป็คนพเนจรไม่เอาไหน ก็คงเป็อาจารย์อย่างตนผู้นี้นี่เอง
“สตรีตัวคนเดียวอย่างเ้า ออกมาอาศัยอยู่ข้างนอก ครอบครัวย่อมไม่อาจวางใจ ถึงแม้ครั้งก่อนเ้าจะเขียนจดหมายส่งให้ที่บ้านแล้ว แต่ว่า... ถึงอย่างไรมันก็ไม่ใช่หนทางในระยะยาว เ้าว่าถูกหรือไม่?”
“ข้าบอกแล้วไง ข้าไม่กลับบ้าน” เมื่อเยว่เยียนเยียนโมโหขึ้นมา ไม่ว่าใครก็กล่อมไม่ลง คนในครอบครัวเพียงผู้เดียวที่เอ่ยแค่ไม่กี่คำแล้วนางจะยอมฟังอย่างมีเหตุมีผลนั้น ก็คือพี่ชายฝาแฝดของนางผู้นั้น แต่น่าบังเอิญนัก ยามเมื่อราชโองการของฮ่องเต้ส่งลงมานั้น พี่ชายของนางก็ดันไม่อยู่ที่บ้านพอดี!
เมื่อเป็เช่นนี้ องค์หญิงน้อยที่ไม่มีใครโน้มน้าวนางได้ก็ย่อมเผ่นหนีไปไม่รั้งรอ ทิ้งเอาไว้เพียงจดหมายฉบับหนึ่ง แล้วหนีไปด้วยความเคืองขุ่น
เฉินไฮว่ชิงรู้ดี เยว่เยียนเยียนเป็หญิงสาวที่รักความอิสระ อย่ามองว่านางตัวเล็กๆ เช่นนี้ แท้จริงหัวใจนั้นกว้างใหญ่นัก นางรู้ว่าหลังจากที่ตนหนีไปแล้ว พ่อแม่จะต้องแอบตามหาที่อยู่ของนางอย่างลับๆ ไปทั่วทุกหนแห่งแน่นอน ดังนั้น นางจึงตามหาคนคนหนึ่งที่ไม่อาจปฏิเสธตนได้ นั่นก็คือเฉินไฮว่ชิง เพื่อมาเป็ข้ออ้างและโล่กำบังให้ตน
นอกจากนี้เฉินไฮว่ชิงก็ทัศนาจรมาหลายปี เป็ผู้ไม่สนใจเื่ภายนอกมาตลอด ไม่มีใครรู้ที่อยู่ที่แน่นอนของเขา หากไม่ใช่เพราะเคยมีสัญญาเกี่ยวกับนกหวีดกับเยว่เยียนเยียนมาก่อน น่ากลัวว่ายามนี้เยว่เยียนเยียนคงร่อนเร่พลัดถิ่นอยู่ข้างนอก ขอข้าวประทังชีพอยู่กระมัง
“แต่หากเ้าไม่กลับไป เ้าอยู่ที่นี่ จะไม่สร้างความวุ่นวายให้กับทุกคนหรอกหรือ... กลับบ้านไปมันก็ไม่ได้มีอะไรแย่หรอก ใช่หรือไม่เล่า?”
เฉินไฮว่ชิงเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองผิดแผกแปลกไปตรงไหน นึกไม่ถึงว่าจะเลือกสำนวนพูดผิดไปเช่นนี้ จนไปสะกิดหัวใจของคุณหนูใหญ่เยว่เยียนเยียนเข้า...
เชิงอรรถ
[1] น่ามองมาก / ดูดีมาก (怪好看) 怪 แปลได้หลายความหมาย ในที่นี้เป็การเล่นคำในความหมายของคำว่า แปลกประหลาด และ อย่างมาก
[2] โถน้ำผึ้ง (蜜罐) หรือ Honey pot เป็คำศัพท์เกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์ที่ทำงานบนอินเทอร์เน็ต หมายถึงระบบที่สร้างขึ้นเพื่อหลอกล่อให้ผู้ไม่หวังดีเข้ามาโจมตีระบบ เพื่อศึกษาหรือวิเคราะห์พฤติกรรมของการโจมตีจากผู้ไม่หวังดีนั้น และนำไปพัฒนาวิธีป้องกันการโจมตีแบบต่างๆ
[3] ไม่ออกประตูใหญ่ ไม่ล่วงประตูสอง (大门不出二门不迈) หมายถึงไม่เคยออกไปพบปะคบค้ากับผู้อื่นมาก่อน ในสมัยโบราณถือคติว่าหญิงสาวตระกูลสูงที่ยังไม่ออกเรือน จะต้องอยู่ในเรือนไม่ออกมาพบปะกับใครง่ายๆ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้