“ฐานะของเฟิงเฉียนไม่ธรรมดา อาจารย์ของเขาเป็ที่เคารพนับถือ สุดท้ายเย่เฟิงก็ฆ่าเขาไม่ได้” ผู้คนคิดในใจ การประลองนี้ยอดเยี่ยมมาก เย่เฟิงใช้พลังตนเอาชนะเซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่ ทั้งยังถูกทำลายการบ่มเพาะ แม้แต่เฟิงเฉียนก็แพ้ราบคาบและถึงกับคุกเข่าลงกับพื้นด้วยความเสียใจ ทว่าการประลองก็ต้องสิ้นสุดลงเมื่อเสียงอาจารย์ของเฟิงเฉียนดังขึ้น และอีกฝ่ายก็ไม่ใช่บุคคลที่เย่เฟิงจะต่อต้านได้
มีหลายคนต่างคิดว่าเฟิงเฉียนรอดแล้ว จึงเริ่มรู้สึกอิจฉาฐานะของเฟิงเฉียน แม้พ่ายแพ้ในศึกเป็ตาย แต่ก็มีคนออกโรงปกป้อง หลังจากที่เฟิงเฉียนได้ยินเสียงอาจารย์ของเขา แสงแห่งความหวังก็ปรากฏในดวงตา เขารู้ว่าครั้งนี้ตัวเองจะไม่ตายแล้ว เย่เฟิงฆ่าเขาไม่สำเร็จ
ด้านเย่เฟิง เขาถือหอกพลางแหงนหน้ามองท้องฟ้า แม้ในใจจะเกิดความผันผวน แต่ก็ยังคงยืนหลังตรงอย่างโอหัง
“ผู้าุโจะให้ข้าปล่อยเขาหรือ?” เย่เฟิงกล่าว
“หมอนี่กำลังแกล้งโง่เหรอ?” ผู้คนคิดในใจ หากเปลี่ยนเป็พวกเขา พวกเขาจะปล่อยตัวคนทันที เพราะไม่กล้าล่วงเกินผู้ทรงอำนาจ
“ใช่ เห็นแก่ข้า ถือซะว่าข้าติดหนี้เ้าหนหนึ่ง คิดว่าอย่างไร?” เสียงเกรงขามนั้นดังอีกครั้ง แม้เสียงจะไม่ดัง แต่กลับดังกึกก้องในหัวใจของผู้คน พลอยทำให้พวกเขายอมศิโรราบไปด้วย
แม้เสียงนี้จะน่าเกรงขาม แต่กลับมีท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตน เขาพูดจาเช่นนี้กับเย่เฟิงที่เป็แค่ศิษย์สายนอกคนหนึ่งของพรรคเทียนเสวียน ถือว่าให้เกียรติเย่เฟิงมาก ยิ่งกว่านั้นเขายังบอกว่าติดหนี้เย่เฟิงต่อหน้าสาธารณชนอีกด้วย
“เห็นทีเฟิงเฉียนจะเป็คนสำคัญต่อผู้ทรงอำนาจมาก ไม่นึกว่าจะทำให้เขาลดตัวลงมาได้ ทั้งยังออกโรงปกป้องเฟิงเฉียนอีก ครั้งนี้เย่เฟิงคงต้องปล่อยตัวเฟิงเฉียนแล้ว” ผู้คนต่างใจเต้นแรง ผู้ทรงอำนาจแห่งสำนักยุทธ์มีฐานะสูงส่ง จึงไม่ค่อยพบเห็นในยามปกติ แต่เพื่อลูกศิษย์ เขาจึงยอมลดตัวเพื่อศิษย์สายนอกคนหนึ่ง นี่ก็เพียงพอแล้ว
“ถ้าข้าไม่ตอบตกลงล่ะ?” ทว่าทุกคนกลับคิดผิด เมื่อเย่เฟิงกล่าวเช่นนั้น
“เปรี้ยง!” ทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็ราวกับได้ยินเสียงฟ้าผ่า หัวใจจึงอดเต้นระรัวไม่ได้
“หมอนี่บ้าไปแล้วเหรอ ต่อหน้าผู้ทรงอำนาจแห่งสำนักยุทธ์ก็ยังกล้าพูดจาโอหัง” มีเสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน ทำให้แววตาของผู้คนไม่น้อยเผยประกายแหลมคม เย่เฟิงผู้นี้ทำเกินไปแล้ว ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี
“เหิมเกริม ข้าให้เกียรติเ้าขนาดนี้ก็ยังปฏิเสธอีกหรือ?” เป็ไปตามคาด เสียงเกรงขามนั่นดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้เ้าของเสียงมีน้ำโหแล้ว ด้วยฐานะของเขาจะให้ศิษย์สายนอกเพียงคนเดียวมากังขาได้อย่างไร?
“ท่านอาจดูสำคัญในสายตาของใครหลาย ๆ คน แต่สำหรับข้าเย่เฟิงไม่ใช่ ข้ามีความคิดของตัวเองและมักจะทำสิ่งที่ถูกต้องเสมอ ในเมื่อเดินขึ้นเวทีประลองนี้ก็เท่ากับตัดสินความเป็และความตาย เฟิงเฉียนเขาแพ้ก็ต้องรับผลคนเดียว” เย่เฟิงกล่าวช้า ๆ ด้วยเสียงนิ่งเรียบ เขาไม่ใช่ทาสที่จะถูกคนผลักไส แม้อีกฝ่ายจะมีตำแหน่งระดับสูง แต่เขาไม่มีทางทิ้งปณิธานของตัวเอง
เฟิงเฉียนลอบสังหารเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ความบาดหมางของทั้งสองคนจึงเดินมาถึงจุดที่ว่าไม่ตายไม่เลิกรา หากคนที่พ่ายแพ้ในวันนี้คือเขา เฟิงเฉียนจะไว้ชีวิตแล้วไม่ฆ่าเขาหรือ? แน่นอนว่าไม่มีทางเกิดขึ้น ด้วยนิสัยของเฟิงเฉียนจะต้องฆ่าเขาเย่เฟิงอย่างไม่ปรานี บัดนี้เขาควบคุมชีวิตของเฟิงเฉียนได้แล้ว แต่ผู้ทรงอำนาจผู้นี้จะให้เขาปล่อยตัวอีกฝ่าย มันเป็ไปได้หรือ?
“ดังนั้นยังไงวันนี้เฟิงเฉียนก็ต้องตาย!” เย่เฟิงกล่าวอีกครั้งพร้อมไอสังหารปะทุออกจากร่าง ก่อนจะปล่อยฝ่ามือโจมตีไปยังศีรษะของเฟิงเฉียน
“เ้าช่างกล้า!” ผู้ทรงอำนาจท่านนั้นตวาดเสียงดัง ไม่นึกว่าเย่เฟิงจะทำเช่นนี้ แม้เขาจะโน้มน้าว แต่ก็ยังคิดจะฆ่าศิษย์ของเขา
ผู้คนต่างต้องเบิกตาโพลงด้วยความตกตะลึง เย่เฟิงผู้นี้ช่างบ้าบิ่นยิ่งนัก ลงมือโดยไม่สนใจผู้ทรงอำนาจ
“ปัง!” ตามมาด้วยเสียงะเิ ฝ่ามือของเย่เฟิงโจมตีศีรษะของเฟิงเฉียน ทำให้ศีรษะแตกะเิทันที ก่อนร่างจะล้มลงไปกองกับพื้น กลายเป็ศพไร้ศีรษะ!
บรรยากาศพลันเงียบกริบ ผู้คนหายใจไม่ทั่วท้อง แต่หัวใจกลับเต้นระรัว
บนอัฒจันทร์ เหล่าผู้าุโต่างนิ่งงัน พวกเขาไม่คาดคิดว่าจะเกิดเื่เช่นนี้ขึ้น เย่เฟิงยังคงลงมือสังหารเฟิงเฉียน แม้ผู้ทรงอำนาจจะโน้มน้าวแล้วก็ตาม ทั้งหมดนี้ช่างบ้าระห่ำมาก
“เ้า... ฆ่าเขา?” ครู่ต่อมา เสียงเกรงขามนั้นดังขึ้นอีกครั้ง แม้น้ำเสียงจะดูสงบนิ่ง แต่กลับดูน่าหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด ความพิโรธของบุคคลระดับผู้ทรงอำนาจเป็อย่างไร ทุกคนต่างทราบดี ทว่าผู้ที่ล่วงเกินเขากลับเป็ศิษย์สายนอกคนหนึ่งของพรรคเทียนเสวียน
“ชนะเป็จ้าวแพ้เป็โจร ศึกเป็ตายย่อมมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตาย ข้าเชื่อว่าผู้าุโจะไม่เห็นแก่ตัวเพราะเื่นี้” เย่เฟิงกล่าวพลางแหงนหน้ามองท้องฟ้า สีหน้าของเขายังคงนิ่งเรียบไร้ความผันผวนใด ๆ
“ดี งานประลองสำนักยุทธ์ในอีกสองเดือน หวังว่าเ้าจะยังโอหังได้เช่นนี้” เสียงนั้นดังขึ้น ก่อนจะเงียบหายไป และไม่ทำให้เย่เฟิงลำบากใจอีก แต่บางทีคนอย่างเย่เฟิงก็อาจจะคุ้มค่าที่เขาจะมา
“ฮู่ว!” ผู้คนต่างถอนหายใจรู้สึกว่าเืในกายกำลังเดือดพล่าน นี่ก็คือความแข็งแกร่งของผู้ฝึกยุทธ์ชั้นยอด แม้จะมาแต่เสียง แต่ก็เพียงพอจะสยบผู้มีระดับการบ่มเพาะต่ำต้อย ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ต้องใกับการกระทำของเย่เฟิงในงานประลองยุทธ์วันนี้ และเพียงพอจะทำให้เขามีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วสำนักยุทธ์
บนอัฒจันทร์ เฉินเซี่ยงเทียนและเฉินอ้าวเทียนเผยสีหน้าผิดหวัง เดิมทีพวกเขาคิดว่าหลังจากเย่เฟิงฆ่าเฟิงเฉียน คนผู้นั้นคงจะพิโรธและลงโทษเย่เฟิง แต่คนผู้นั้นไม่ทำ เพียงจากไปเงียบ ๆ
พอฉุกคิดถึงคำพูดของคนผู้นั้นก่อนจากไป แววตาของเฉินเซี่ยงเทียนก็เผยประกายแหลมคม เขารู้ว่าในฐานะผู้ทรงอำนาจ ย่อมไม่มีทางมีศิษย์สายตรงแค่เฟิงเฉียนเพียงคนเดียว ในความเป็จริงเฟิงเฉียนเป็หนึ่งในคนที่เข้าสำนักช้าที่สุด ที่เหลือยังมีอีกสองคน คนแรกคือผู้ฝึกยุทธ์อันดับที่ 2 ในรายนามขั้นรวมชี่ อยู่สูงกว่าหลานชายเฉินอ้าวเทียนของเขา ส่วนคนที่สอง ตอนนี้บรรลุขั้นยุทธ์แท้แล้ว จึงกลายเป็ผู้าุโสายในและมีฐานะไม่ธรรมดา นอกจากเฟิงเฉียนและสองคนนี้แล้ว ผู้ทรงอำนาจท่านนั้นยังมีสานุศิษย์อีกหลายคน ตอนนี้พวกเขาต่างมีฐานะในสำนักยุทธ์ที่ไม่ธรรมดา ส่วนใหญ่จะบรรลุขั้นรวมชี่แล้ว ทั้งยังมีพลังที่แกร่งกล้ากว่าเย่เฟิงอยู่มากโข
คำพูดส่งท้ายของผู้ทรงอำนาจคือเื่จริง เมื่อถึงงานประลองสำนักยุทธ์ เหล่าศิษย์ของเขาไม่มีทางปล่อยเย่เฟิงแน่นอน ต่อให้วันนี้เย่เฟิงจะไม่จัดการกับเฟิงเฉียน พอถึงวันงานประลองสำนักยุทธ์ก็ต้องมีคนจัดการเย่เฟิงอยู่ดี
เมื่อฉุกคิดเช่นนี้ เฉินเซี่ยงเทียนก็สงบจิตสงบใจได้และเผยรอยยิ้มเย็นเยียบบนใบหน้า
เย่เฟิงยืนตระหง่านบนเวทีประลองโดยไม่เหลี่ยวแลศพของเฟิงเฉียน เขาหันไปมองทางด้านพรรคเทียนจี ส่วนผู้คนต่างก็มองเขาอย่างไม่วางตาและไม่เข้าใจว่าชายผู้นี้คิดจะทำอะไรกันแน่
“โจวมู่ไป๋ เ้าอยากกำจัดข้าไม่ใช่หรือ? ตอนนี้ข้าจะให้โอกาสเ้า ไสหัวออกมาซะ!” เสียงเยือกเย็นดังออกจากปากของเย่เฟิงพร้อมกับชี้ปลายหอกไปยังคนผู้หนึ่ง
โจวมู่ไป๋เผยสีหน้าเย็นเยียบ ความบาดหมางระหว่างเขากับเย่เฟิงถึงเวลาสะสางแล้ว จากนั้นโจวมู่ไป๋ลุกขึ้นยืนและจะก้าวออกไป แต่ซ่งซินหลิงที่อยู่ด้านหลังกลับดึงเสื้อเขาไว้
“ศิษย์พี่ ท่านไม่ไปจะได้หรือไม่?” ซ่งซินหลิงกล่าวด้วยแววตาอ้อนวอน ซึ่งซ่งซินหลิงนั้นไม่อยากเห็นศิษย์พี่มีจุดจบอย่างเฟิงเฉียน และระหว่างเย่เฟิงกับโจวมู่ไป๋ ไม่ว่าใครจะชนะหรือแพ้ก็ล้วนส่งผลกระทบต่อนาง คนหนึ่งคือศิษย์พี่ที่นางเคารพและนับถือ ส่วนอีกคนคือสหายที่พบเจอในเทือกเขาปี้หลิง นางหวังว่าพวกเขาจะสงบศึกกันได้
“ศิษย์น้องกลัวข้าฆ่าเขาหรือ?” โจวมู่ไป๋กล่าวพลางตาเผยประกายเยือกเย็น เมื่อหลายวันก่อนที่ภัตตาคาร โจวมู่ไป๋ไม่มีทางลืมคำพูดเ่าั้ของหวังหลง และยังเป็ปมในใจของเขา เมื่อใดก็ตามที่เห็นหน้าเย่เฟิง โจวมู่ไป๋จะนึกถึงคำพูดของหวังหลง ดังนั้น่นี้เขาจึงห่างเหินกับซ่งซินหลิงมาก
ซ่งซินหลิงขมวดคิ้วเล็กน้อย คำพูดของโจวมู่ไป๋ทำให้หัวใจของนางเย็นเยียบ ราวกับตกลงไปในธารน้ำแข็งอย่างไรอย่างนั้น
“ไยศิษย์พี่พูดเช่นนี้เล่า ข้าแค่ไม่อยากเห็นท่านทั้งสองเป็ศัตรูกัน” ซ่งซินหลิงกล่าว แต่กลับเห็นโจวมู่ไป๋แสยะยิ้มพลางกล่าวขึ้น “ศิษย์น้องไม่ต้องปิดบังข้าหรอก เ้าชอบเขา ใช่หรือไม่?”
ซ่งซินหลิงได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายหัวปฏิเสธ พร้อมกับน้ำตาไหลรินอาบสองพวงแก้ม ขณะมองโจวมู่ไป๋ด้วยสายตาสิ้นหวัง นางก็คิดในใจว่านี่น่ะหรือศิษย์พี่ที่เคยอ่อนโยนและมักจะปกป้องนาง ทว่าบัดนี้ศิษย์พี่คนนั้นได้หายไปแล้ว กลายเป็คนแปลกหน้าสำหรับนางราวกับไม่เคยรู้จักมาก่อน
“ไยศิษย์พี่คิดกับข้าเช่นนี้เล่า? ข้ากับเย่เฟิงเป็เพียงสหายกันก็เท่านั้น” ซ่งซินหลิงอธิบายให้โจวมู่ไป๋ฟังโดยยังมีเสี้ยวความหวังเหลืออยู่ในใจ นางหวังว่าโจวมู่ไป๋จะไม่เข้าใจนางผิดไป
“พอได้แล้ว!” โจวมู่ไป๋ตะคอกใส่ซ่งซินหลิง ก่อนจะหมุนตัวไปพร้อมสะบัดมือของซ่งซินหลิงออกไป
“ศึกต่อสู้นี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากศิษย์น้องโทษข้าที่สังหารคนรักของเ้า ตอนนี้ก็จงไปให้ห่างจากข้า ข้าโจวมู่ไป๋ไม่ชอบผู้หญิงขี้ขลาดตาขาว” หลังจากโจวมู่ไป๋ทิ้งคำพูดไว้ก็ทะยานร่างขึ้นฟ้า ทำให้ซ่งซินหลิงร้องไห้หนักกว่าเดิมและในใจต้องเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
ศิษย์พี่ที่นางชื่นชมและเคารพนับถือมากที่สุดไม่เพียงแต่เข้าใจนางผิด แต่ยังคิดว่านางเป็ผู้หญิงขี้ขลาดตาขาว นี่ทำให้ซ่งซินหลิงรู้สึกเสียใจราวกับฟ้าดินถล่มทลาย
“ในเมื่อหัวใจตายไปแล้ว ข้ามีชีวิตอยู่ต่อไปจะมีความหมายอะไร?” รอยยิ้มสิ้นหวังปรากฏบนใบหน้าอันงดงามของซ่งซินหลิง ทันใดนั้นกริชแพรวพราวเล่มหนึ่งปรากฏในมือของนาง ก่อนนางจะใช้มันแทงไปยังตำแหน่งหัวใจของตนอย่างไม่ลังเลแม้เสี้ยววินาที
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้