การแต่งโม่เสวี่ยถงเข้าจวนเป็ข้อเสนอของโม่เสวี่ยิ่ และก็ตรงกับความคิดของเขาพอดี สกุลลั่วที่เป็หลักค้ำจุนให้โม่เสวี่ยถงคือเป้าหมายใหญ่ของเขา สกุลลั่วไม่เพียงแต่เป็หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ชั้นกงซึ่งเป็ผู้ร่วมบุกเบิกแคว้น เมื่อวิเคราะห์จากศักยภาพก็มีความแข็งแกร่งในราชสำนัก สกุลลั่วมีหนึ่งขุนพลใหญ่ หนึ่งรองเ้ากรมอาญา เป็หนึ่งบุ๋นหนึ่งบู๊คู่บัลลังก์ ผู้หนึ่งโอรส์ไว้วางพระทัยให้ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งสำคัญ อีกผู้หนึ่งกุมกำลังทหารถือตราทัพไว้ในมือ ไม่ว่าจะพิจารณาจากด้านไหน โม่เสวี่ยถงย่อมเป็ตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดที่จะช่วยให้จวนเจิ้นกั๋วโหวกลับมารุ่งโรจน์ได้อีกครั้งหนึ่ง
จวนเจิ้นกั๋วโหวตกต่ำลง ซือหม่าหลิงอวิ๋นย่อมรู้อยู่แก่ใจ ตนเองไม่มีตำแหน่งหน้าที่การงานใด อาศัยก็แค่บรรดาศักดิ์กินบุญเก่า หากคิดจะเข้าไปเป็ขุนนางในราชสำนักก็ต้องให้ผู้มีอำนาจสนับสนุน ตำแหน่งขุนนางของบิดาโม่เสวี่ยถงแม้ไม่สูง แต่กลับได้รับใช้ใกล้ชิดโอรส์ เมื่อเร็วๆ นี้ ได้ยินมาว่าจักรพรรดิจงเหวินตี้มีพระประสงค์จะเลื่อนตำแหน่งของเขาให้สูงขึ้น เมื่อผนวกกับสกุลลั่วที่อยู่เื้ั ก็ไม่มีผู้ใดเหมาะสมต่อตำแหน่งฮูหยินเจิ้นกั๋วโหวซื่อจื่อได้มากกว่านางอีกแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น สตรีที่งดงามล้ำเลิศจนทำให้ตื่นตะลึงั้แ่แรกพบอย่างนาง บุรุษอย่างซือหม่าหลิงอวิ๋นหรือจะปล่อยให้หลุดมือไปได้
เมื่อนึกถึงโม่เสวี่ยถง เขาก็แทบไม่อยากเสียเวลาโอ้โลมอวิ๋นอี้ชิวอีกต่อไป
สาวใช้ที่อยู่ด้านนอกเป็ผู้รู้กาลเทศะดี เมื่อเห็นแววตาหงุดหงิดของผู้เป็นายก็รู้งาน รีบเดินเข้ามาประคองอวิ๋นอี้ชิว “อย่าโกรธเคืองซื่อจื่อเลยนะเ้าคะคุณหนู หากซื่อจื่อคิดจะแต่งสตรีผู้นั้นจริง ไฉนจึงไม่ให้คุณหนูโวยวายเสียงดังเล่า แค่เื่รู้ไปถึงหูฮูหยินก็สามารถแต่งคนเข้าจวนได้ทันที เท่านี้คุณหนูยังไม่เข้าใจความหมายของซื่อจื่ออีกหรือเ้าคะ”
ซือหม่าหลิงอวิ๋นปล่อยมือจากอวิ๋นอี้ชิว ผงกศีรษะให้สาวใช้ผู้นั้นอย่างพึงพอใจ แล้วเอ่ยวาจาคล้อยตาม “แม้แต่สาวใช้เล็กๆ คนหนึ่งยังรู้ว่าพี่ทำเพื่อเ้า ไฉนชิวเอ๋อร์จึงยังไม่เข้าใจอีกเล่า หัวใจพี่จะมีเพียงเ้าคนเดียวตลอดไป เมื่อไรจะยอมเชื่อใจกันเสียที หากเ้ายังคลางแคลงใจถึงเพียงนี้ ต่อไปจะอยู่ด้วยกันยาวนานได้อย่างไร”
กล่าวจบก็ทำสีหน้าปั้นปึ่ง เบี่ยงตัวหลบให้พ้นจากมือของอวิ๋นอี้ชิวที่เอื้อมมาหมายยื้อยุด แล้วแสร้งโมโหสะบัดแขนเสื้อ สาวเท้าก้าวใหญ่ออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว
ยามนี้เขามีงานสำคัญ ไม่มีเวลามาขลุกอยู่กับอวิ๋นอี้ชิว จึงฉวยโอกาสนี้ผลุนผลันจากไป
“พี่ชายเ้าคะ... พี่ชาย... ข้าเปล่า...” เมื่ออวิ๋นอี้ชิวไม่อาจรั้งตัวซือหม่าหลิงอวิ๋นที่เดินดุ่มๆ ออกไปคล้ายโมโหได้ ร่างกายพลันอ่อนแรงทรุดฮวบลงร้องไห้ โชคดีที่สาวใช้มือไวดึงนางไว้ทัน นางจึงยังไม่ล้มไปชนขอบโต๊ะ
“คุณหนู บ่าวเตือนั้แ่อยู่ข้างนอกแล้วว่าอย่าใจร้อน ดูสิเ้าคะ ซื่อจื่อห่วงใย คิดทุกอย่างเพื่อท่านถึงเพียงนี้ แต่ท่านกลับยั่วยุโทสะเขา เื่แบบนี้เป็ใครก็ต้องน้อยใจเป็ธรรมดา โชคดีที่ซื่อจื่อรักและเมตตาคุณหนู อีกสองวันก็คงหายโกรธแล้วกลับมาหาเอง ถึงเวลานั้นคุณหนูยอมงอนง้อหน่อยก็ไม่มีปัญหาแล้ว” สาวใช้ผู้นี้เป็คนมีความคิด รู้จักพูดคุย วาจาของนางเพียงสองสามประโยคก็สามารถล้างความผิดของซือหม่าหลิงอวิ๋นได้หมดจด
คำพูดกึ่งตำหนิกึ่งแสดงความหวังดีของสาวใช้ แม้จะทำให้อวิ๋นอี้ชิวยิ่งร้องไห้หนัก แต่อารมณ์กลับมิได้ขุ่นมัวเหมือนเช่นก่อนหน้านี้อีกแล้ว นางหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดหน้าร้องไห้อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยถามอย่างลังเลใจ “พี่ชาย... พี่ชายจะไม่โกรธข้าจริงๆ หรือ”
“ไม่โกรธแน่นอนเ้าค่ะ ดูสิ... ทำจนตนเองกลายสภาพเป็เช่นนี้ ทั้งยังทำให้ซื่อจื่อโมโหอีก ไม่คุ้มค่าเลยจริงๆ เื่สตรีผู้นั้นซื่อจื่อย่อมมีวิธีจัดการเอง หากเขา้าพาคนเข้าจวน ไฉนจะต้องแอบทำลับๆ ล่อๆ ด้วยเล่า แม้ซื่อจื่อจะมีเื่ปิดบังคุณหนูอยู่ แต่ต้องไม่ใช่เื่ทำนองนั้นแน่ ซื่อจื่อเป็บุรุษย่อมมีภาระหน้าที่มากมาย ไม่จำเป็ต้องบอกสตรีให้รับรู้ แต่ไหนแต่ไรบุรุษจัดการเื่นอกบ้าน สตรีจัดการเื่ในบ้าน ถึงเวลาคุณหนูก็เพียงแค่ดูแลจัดการภายในจวนก็เพียงพอแล้ว” สาวใช้เข้ามาประคองอวิ๋นอี้ชิว แล้วช่วยเช็ดหน้าเช็ดตาให้นาง
คำพูดนี้กล่าวได้ตรงใจของอวิ๋นอี้ชิว นางจึงสงบลง ไล้ปลายนิ้วมือบนตำราของซือหม่าหลิงอวิ๋นที่วางอยู่บนโต๊ะทำงาน ตัดสินใจแน่วแน่ เื่นี้นางจะไม่แพร่งพรายออกไป แต่เื่ของสตรีผู้นั้น นางจะไม่ชะล่าใจเด็ดขาด
มือที่วางบนโต๊ะพับข้อนิ้วลงมากำแน่น ดวงตาจับจ้องไปในอากาศที่ว่างเปล่าฉายแววอำมหิต คุณหนูสามสกุลโม่ผู้นั้นนางหมดปัญญาจะจัดการ แต่หญิงสาวที่ปิดบังใบหน้าท่าทางประหลาดผู้นั้นนางย่อมหาวิธีตรวจสอบได้แน่นอน สตรีที่นัดพบกับบุรุษกลางดึกแบบนี้จะเป็คนดีไปได้อย่างไร ต้องมีเจตนาให้ท่าเพื่อจับพี่ชายเป็แน่
นังแพศยาชั้นต่ำ มีข้าอยู่ เ้าไม่มีวันได้สมดังใจ!
…
โม่เสวี่ยงถงคุกเข่าอยู่ในห้องบูชาบรรพชน เวลาล่วงเลยไปถึงสองชั่วยามแล้ว ภายในห้องเงียบสงัด เหลือนางอยู่เพียงคนเดียว โม่เยี่ยถูกส่งให้ไปหาผู้มาช่วยเหลือแล้ว แม้ว่าใต้เข่าของนางจะเป็เบาะหนา แต่ด้วยเวลาอันยาวนานเพียงนั้น เข่าของนางบวมแดงเป็ปื้น รู้สึกเจ็บจี๊ดๆ เหมือนถูกเข็มทิ่มแทง ประตูบานใหญ่ปิดสนิท มีเพียงแสงสลัวรางจากตะเกียงฉางิในห้องโถงสองสามดวงเท่านั้น
ภายใต้แสงสีเหลืองหม่น บรรยากาศมัวซัวเช่นนี้ หากไม่เพราะเจ็บเข่า โม่เสวี่ยถงคงงีบหลับไปนานแล้ว
วันนี้วันเดียวเกิดเื่ขึ้นมากมายจริงๆ นางนวดหัวเข่าไปพลาง ริมฝีปากพลันระบายรอยยิ้มขมเฝื่อนโดยไม่รู้ตัว
นี่ยังไม่อาจนับว่าจบสิ้นอย่างสมบูรณ์ โม่เสวี่ยถงย่อมเตรียมแผนการเหนือชั้นรองรับเอาไว้แล้ว
โม่เสวี่ยถงไม่กล้าประมาทโม่เสวี่ยิ่ ชาติก่อนนางประเมินคนแต่เพียงเปลือกนอก เข้าใจมาโดยตลอดว่าพี่สาวผู้อ่อนโยนหน้าตาสะสวยเป็คนดี รักพี่รักน้อง จึงไว้วางใจเห็นอีกฝ่ายเป็พี่สาวแท้ๆ คิดไม่ถึงว่าท้ายที่สุดตนเองกลับต้องตายด้วยน้ำมือของพี่สาวผู้นี้
ต้องใช้กลอุบายมากมายแค่ไหนกัน จึงจะทำให้จวนเจิ้นกั๋วโหวตัดสินใจเขี่ยตนเองทิ้งแล้วแต่งนางเข้ามาแทน
แม้ตอนนั้นโม่เสวี่ยิ่จะกลายเป็สาวเทื้อไปแล้ว ซือหม่าหลิงอวิ๋นกลับตัดสินใจทอดทิ้งตนเองและบุตรชาย ไปเลือกนางอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ตีงูต้องตีที่เจ็ดชุ่น[1] การลับคมเขี้ยวกันก่อนหน้านี้ เป็แค่การหยั่งเชิง ไม่นับว่าเป็การประมือกันอย่างแท้จริง
โม่เสวี่ยิ่ย่อมวางแผนเอาไว้แล้ว ว่าคืนนี้จะทำให้นางยอมแต่งให้ซือหม่าหลิงอวิ๋นด้วยความเต็มใจอย่างไร ด้วยสภาพของตนเองในเวลานี้ย่อมเป็ไปไม่ได้ เว้นแต่จะถูกสถานการณ์บังคับให้จำยอมสมัครใจ
ภายใต้สถานการณ์แบบไหนที่จะทำให้สตรีผู้หนึ่งยินยอมพร้อมใจได้เล่า ชื่อเสียงถูกทำลาย แต่ผู้ที่ทำลายชื่อเสียงของตนก็ต้องเป็ซือหม่าหลิงอวิ๋นอีกนั่นแหละ ตนเองคุกเข่าอยู่ในห้องบูชาบรรพชน ต่อให้ซือหม่าหลิงอวิ๋นมีความสามารถเทียมฟ้าก็ไม่อาจเข้ามาทำลายชื่อเสียงของนางถึงที่นี่ได้ หรือแม้ว่าจะเข้ามาจริงๆ เขาจะอ้างเหตุผลใดที่มีน้ำหนักเพียงพอแก่การมาปรากฏตัวในจวนโม่ยามนี้
โม่เสวี่ยถงยังนึกหาเหตุผลไม่ได้ จิตใจว้าวุ่น นิ้วมือวนไล้อยู่ที่เท้าโดยไม่รู้ตัว
“ดึกดื่นค่อนคืนแบบนี้ ไปตามเปิ่นหวางมามีธุระอันใด” น้ำเสียงเอ้อระเหยชวนมึนเมาเหมือนสุราชั้นดีดังลอยมาจากด้านหลัง
โม่เสวี่ยถงหันศีรษะไป เห็นเฟิงเจวี๋ยหร่านนั่งเอนกายอยู่บนเบาะรองนั่งด้วยท่าทางเยี่ยงคนเกียจคร้าน ภายใต้แสงตะเกียงสีนวล อาภรณ์หรูหราสีม่วงเข้มปักดิ้นลายัขับราศีให้ชายหนุ่มดูน่าหลงใหลดั่งภาพลวงตา ใบหน้าคมสันหล่อเหลาดูมีเสน่ห์เย้ายวนกว่าปรกติหลายส่วน เลิกคิ้วสูงมองมาที่นาง ริมฝีปากแดงชาดร้อนแรงหยักโค้งดูคล้ายรอยยิ้มแต่ไม่ใช่
โม่เสวี่ยถงถอนหายใจเบาๆ ใจจริงนางไม่อยากไปรบกวน ‘ท่านผู้นี้’ เลย แต่ไม่มีใครอื่นที่สามารถใช้ได้แล้ว และหากไม่มีหลักฐานชัดเจน คนของบ้านท่านยายก็ไม่อาจเข้ามาช่วยเหลือนางได้ นางเพิ่งเข้ามาเมืองหลวง ทั้งคนและสถานที่ล้วนไม่คุ้นเคย รู้จักแต่บุรุษที่สามารถไปไหนมาไหนยามค่ำคืนโดยไม่มีใครรู้เห็นผู้นี้เท่านั้น นอกจากเขาแล้ว... ก็ไม่รู้ว่าจะหาใครมาช่วยเหลือตนเองได้อีก
แม้ทราบดีว่าเขาก็เป็ตัวอันตรายอย่างยิ่ง แต่เมื่อต้องประมือกับโม่เสวี่ยิ่ นางก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตนเองจึงเชื่อมั่นในตัวเขานัก อาจเป็เพราะว่าเขาเคยช่วยเหลือนางมาก่อนกระมัง
ขณะที่นึกปลงอยู่ในใจ สายตาก็มองพิจารณาเขาไปตามจิตใต้สำนึก รับรู้ได้ว่าภายใต้เบื้องลึกดวงตาของเขานอกจากแววหยอกเย้าก็ไม่มีความหมายอื่น จึงค่อยผ่อนวางหัวใจลงช้าๆ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เมื่อเห็นท่าทางเอ้อระเหยลอยชายเหมือนไม่ใส่ใจของเขา สมองก็พลันปรากฏภาพที่ชายหนุ่มเข้ามาบอกว่าตนเองเป็ผู้มีพระคุณของนาง แล้วก็ทวงถามบุญคุณ จนกลายเป็หนี้สะสมทบแล้วทบอีก
เมื่อเื่นี้โพล่งเข้ามาในความคิด นางก็รู้สึกใ นี่ไม่เท่ากับว่านางต้องพึ่งพาเขาอีกแล้วหรือ ใบหน้าพลันสุกปลั่งเป็สีแดงระเรื่อ หมุนตัวหลบเสมองไปด้านข้าง โชคดีที่แสงตะเกียงไม่สว่างมาก เขาคงไม่เห็นกระมัง
“มีเื่อยากให้เปิ่นหวางช่วยเหลืออีกแล้วใช่หรือไม่ ถึงอย่างไรเ้าก็ติดหนี้บุญคุณอยู่ไม่ใช่แค่หนสองหน แต่เอาเถอะ... มีอะไรก็ว่ามา” เฟิงเจวี๋ยหร่านหรี่ตามองแล้วเอ่ยถาม พลางเคาะนิ้วมือบนเบาะเบาๆ ตามความเคยชิน
“น้ำพระทัยของเซวียนอ๋อง วันหน้ามีโอกาสหม่อมฉันต้องตอบแทนแน่นอน แต่ครานี้ต้องรบกวนจริงๆ เพคะ” เมื่อถูกคนเดาใจถูก โม่เสวี่ยถงก็แอบเบ้ปากทำหน้ายู่ แต่ไม่อาจพูดออกมาได้
“รู้ก็ดีแล้ว ต่อไปทุกอย่างทุกเื่ต้องจดจำไว้ให้ดี เปิ่นหวางจะคิดดอกเบี้ยครบถ้วนแน่นอน” เฟิงเจวี๋ยหร่านกล่าวอย่างไม่เกรงใจ วันนี้เขาอารมณ์ดียิ่ง ได้เห็นนางแมวป่าตัวน้อยกางเล็บแยกเขี้ยวขู่ แต่สุดท้ายก็ยอมศิโรราบต่อหน้าตนเอง แล้วจะไม่ให้คนอารมณ์ดีได้อย่างไร แต่ครั้นเลื่อนสายตามาที่มือของนางที่นวดวนอยู่บนหัวเข่า สีตาพลันเข้มขึ้นหลายส่วน
“เื่นี้จะว่าไปแล้วก็มีความเกี่ยวข้องกับท่านอ๋องเช่นกัน” โม่เสวี่ยถงก็ไม่ค่อยพอใจนัก นึกเสียใจที่ตนเองวางท่าต่ำต้อยเกินไป จึงถูกเขากดดันอยู่เรื่อย ทว่าได้แต่กัดฟันทนสงวนวาจา บุญคุณใหญ่หลวงถูกนับอีกแล้วสิเนี่ย ฮือ...
“โอ้? อย่างไรเล่า ว่ามาสิ...” เฟิงเจวี๋ยหร่านเลิกคิ้วขึ้น ดวงตาคู่งามพลอยยกสูงขึ้นตาม ทรงเสน่ห์ร้ายเหลือ
“วันนี้หากไม่ใช่เพราะพระองค์รั้งหม่อมฉันไว้ชมป่าเหมย ก็คงไม่เกิดเื่เช่นนี้ขึ้น หม่อมฉันต้องถูกลงโทษให้คุกเข่าในห้องบูชาบรรพชนแห่งนี้ ท่านอ๋องไม่ทรงรู้สึกผิดต่อหม่อมฉันเลยหรือเพคะ” เห็นเขาวางมาดไม่รู้ไม่ชี้ โม่เสวี่ยถงก็เดือดดาลยิ่ง นางไม่ได้ตั้งใจจะพึ่งพาเขาเสียหน่อย เจตนาเดิมของนางก็เพียงแค่เดินวนอยู่ในป่าเหมยสักรอบ หลังจากนั้นก็ออกไปชมโม่เสวี่ยิ่แสดงละคร แล้วค่อยปรากฏตัวในเวลาที่เหมาะสม ข่าวลือก็จะถูกทำลายลงก่อนที่จะแพร่ออกไป ผลลัพธ์เช่นที่โม่เสวี่ยิ่คาดการณ์ไว้ก็จะไม่เกิดขึ้น
แต่ยามนี้นางถูกเหล่าไท่ไท่ลงโทษให้คุกเข่าอยู่ที่นี่ ทุกเื่ล้วนคลาดเคลื่อนไปหมด หากจะว่ากันตามจริงแล้ว เฟิงเจวี๋ยหร่านหรือจะวางตัวอยู่นอกเหนือจากเื่ราวเหล่านี้ได้
“โอ... เช่นนั้นก็เลยไปตามเปิ่นหวางมาเพื่อเป็พยานให้ ว่าตอนนั้นถงเอ๋อร์อยู่กับเปิ่นหวางนี่เอง” แววยิ้มยั่วทอวูบวาบอยู่ใต้ก้นบึ้งดวงตาของชายหนุ่ม มุมปากกระดกโค้งขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่อนาทรร้อนใจ กล่าวเหมือนเป็คนนอกที่กำลังคุยกับผู้อื่นเื่สภาพดินฟ้าอากาศ
โม่เสวี่ยถงโกรธจัดจนแทบกัดลิ้นของตนเอง ขนาดนี้ยังกล้าพูด หากเขามาช่วยเป็พยานให้ ก็กลายเป็ว่านางกับเขานัดพบกันเป็การส่วนตัวน่ะสิ ชายหญิงนัดหมายชมป่าเหมยด้วยกันสองต่อสอง เื่นี้หากแพร่งพรายออกไป ชื่อเสียงของตนย่อมไม่มีเหลือ หมดหนทางไปจัดการใครได้แล้ว
เห็นเขาเอ่ยวาจากับนางด้วยถ้อยคำที่ดูไม่ถูกทำนองคลองธรรม โม่เสวี่ยถงก็เริ่มอารมณ์ขึ้น “ท่านอ๋องทรงเป็เืเนื้อเชื้อไขของฝ่าา สูงส่งเหนือสามัญ ทั้งเป็ที่โปรดปรานยิ่ง สกุลโม่ไม่อาจเอื้อมเกาะกิ่งสูงเพคะ”
“ไม่ต้องกลัวหรอก ขอเพียงแค่เ้าไม่ปล่อยมือ เปิ่นหวางจะจับมือเ้าให้เกาะกิ่งสูงนี้เอง เป็อย่างไร” เฟิงเจวี๋ยหร่านโบกมือยิ้มอย่างใจกว้าง ราวกับว่าไม่ใช่เื่ใหญ่
“ขอบพระทัยท่านอ๋องที่ทรงเมตตา แต่กิ่งเกาะยิ่งสูง ยามตกลงมาก็ยิ่งเจ็บสาหัส พระองค์อยู่สูงเกินไป หม่อมฉันไม่อาจเอื้อม” โม่เสวี่ยถงถลึงตาใส่ วาจากระแทกกระทั้นอัดแน่นไปด้วยโทสะ
“ไม่ต้องกลัว มีเปิ่นหวางจับเ้าอยู่ ไม่ว่าผู้ใดคิดจะปีนขึ้นมาล้วนไม่อาจทำได้ทั้งสิ้น ถงเอ๋อร์ไม่ต้องกังวลใจ มีเปิ่นหวางคุ้มครองเ้า รับรองได้ว่าไม่มีเื่”
……………………………………………………………………………………………….............
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] จุดตายของงูอยู่ใต้หัวของมันลงไปเจ็ดนิ้ว ดังนั้นจะตีงูต้องตีที่จุดตายของมัน อุปมาดังการจัดการกับคู่ต่อสู้ต้องเล็งที่จุดอ่อน จับให้มั่นคั้นให้ตาย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้