จ้าวอวี้ถิงเลิกคิ้ว ริมฝีปากแดงยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยอย่างสดใส ทุกคนต่างถูกคำพูดของนางดึงความสนใจแล้วค่อยๆ หันไปมองซูิเยว่
ซูิเยว่ชะงักไป คำพูดเปรยของจ้าวอวี้ถิงทำให้นางตกเป็เป้าหมายของทุกคนในงานเลี้ยง
นางวางจอกสุราลง พอสบสายตากับจ้าวอวี้ถิงก็เห็นความท้าทายในแววตาของอีกฝ่าย
จ้าวอวี้ถิงรู้จักนางมาั้แ่เด็ก นางรู้ว่าซูิเยว่เล่นฉินไม่ค่อยเป็ ตอนนี้กลับจงใจพูดเช่นนี้เพื่อทำให้นางขายหน้าไม่ใช่หรือ
แต่สายตาของทุกคนต่างจับจ้องมาที่ตัวนางในเวลานี้ แม้แต่ฮ่องเต้เองก็เอ่ยปาก “ในเมื่อเป็เช่นนี้ เช่นนั้นคุณหนูซูก็ขึ้นมาดีดสักเพลงเถิด เพื่อเพิ่มความบันเทิงให้กับทุกคน”
เสี่ยวอวี่ที่ยืนอยู่ด้านข้างซูิเยว่ร้อนใจขึ้นมา นางรู้ว่าซูิเยว่เล่นเครื่องดนตรีพวกนี้ไม่ค่อยเป็ เนื่องจากฮูหยินซูจากไปไว ปกติแล้วซูโม่เองก็ไม่ค่อยสนใจซูิเยว่สักเท่าไร นางจึงไม่เคยเรียนเื่พวกนี้มากเท่าไรนัก
ในเมื่อตอนนี้ซูิเยว่ขึ้นหลังเสือแล้วจึงลงยาก จะปฏิเสธต่อหน้าทุกคนก็ทำไม่ได้
ดวงตาจ้าวอวี้ถิงฉายความสะใจจนแทบจะปิดไว้ไม่มิด นางเฝ้ารอดูเื่สนุกที่จะเกิดขึ้น
ถึงแม้จะถูกสายตาของทุกคนจ้องมอง แต่ซูิเยว่ก็ยังคงหน้านิ่งดั่งเก่า ตอนที่จ้าวอวี้ถิงคิดว่านางจะปฏิเสธ ซูิเยว่กลับยืนขึ้นพร้อมรอยยิ้มสดใสก่อนจะตอบรับอย่างมั่นใจ “ได้สิเพคะ”
จ้าวอวี้ถิงใไปครู่หนึ่ง
เสี่ยวอวี่เองก็ตะลึงไป
ซูิเยว่เดินไปยืนตรงกลางเวทีด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง นางย่อตัวเล็กน้อย “หม่อมฉันจะแสดงหนึ่งเพลง อาจจะแสดงได้ไม่ดีเท่าไหร่นะเพคะ”
เพียงครู่เดียวนางกำนัลที่อยู่ด้านข้างก็ยกฉินมาให้ซูิเยว่ นางก้มตัวนั่งลง ทุกคนต่างจ้องการเคลื่อนไหวของนาง
ซูิเยว่ดีดฉินไม่เป็จริงๆ แต่เมื่อชาติก่อนหลังจากที่นางคบกับองค์ชายห้า
เพื่อที่จะทำให้องค์ชายห้าเพลิดเพลิน นางจึงร่ำเรียนมาเล็กน้อย คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้ใช้ในวันนี้ จ้าวอวี้ถิงคิดว่านางดีดฉินไม่เป็จึงอยากทำให้นางขายหน้า เช่นนั้นนางจะไม่ให้เป็ไปตามที่อีกฝ่าย้า
สายตาของทุกคนต่างมองไปยังร่างที่อยู่ตรงกลางลานเวที
ปลายนิ้วขาวดีดลงไปแ่เบา แค่เสียงเดียว ภายในงานเลี้ยงก็เงียบลงทันตา
ซูิเยว่ยกมุมปากขึ้น กวาดสายตาไปทั่ว สุดท้ายก็ไปหยุดที่ใบหน้าของจี๋โม่หานที่กำลังมองมาทางนี้ด้วยท่าทางสนอกสนใจ
ปลายนิ้วของซูิเยว่ดีดที่ฉินเบาๆ ทำนองสง่างามเหมือนกับดอกไม้มากมายบานสะพรั่งเริ่มดังขึ้นตามการร่ายปลายนิ้วที่พลิ้วไหวดั่งสายน้ำของนาง ในชั่ววินาทีนั้นเหมือนมีภาพวาดอันงดงามปรากฏขึ้นตรงหน้าทุกคน
ท่วงทำนองบ้างก็ช้า บ้างก็เร็วขึ้นเล็กน้อย ทุกคนต่างหลับตาจดจ่ออยู่กับเสียงเพลง
ความรู้สึกยามที่ฟังนั้นััไปถึงจิติญญา ความรู้สึกที่ได้รับนั้นงดงามกว่าจ้าวอวี้ถิงเมื่อครู่อยู่ไกลโข ใบหน้าของทุกคนล้วนแสดงออกถึงความสุข
ซูิเยว่มั่นใจในตัวเอง สีหน้าที่แสดงออกมานั้นทั้งอบอุ่น ทั้งอ่อนโยน ทุกท่วงท่าล้วนพลิ้วไหวราวกับสายน้ำไหล ดูแล้วสบายตาสบายใจ นางในตอนนี้นั้นราวกับอยู่ในภาพวาด
จ้าวอวี้ถิงเก็บภาพทั้งหมดนี้ไว้ในสายตา นางกัดริมฝีปากแน่น ไม่พอใจเป็อย่างมาก
เป็ไปได้อย่างไร ทั้งๆ ที่นางนี่ไม่มีทางดีดฉินเป็ เหตุใดตอนนี้ถึงได้เป็เช่นนี้อีกแล้ว
หนึ่งเพลงจบลง ซูิเยว่ก็หยุดมือ แต่ทุกคนในงานเลี้ยงยังคงไม่ได้สติกลับมา หลายคนยังหลับตาจมอยู่กับบทเพลงเมื่อครู่ ทุกสิ่งจึงตกอยู่ในความเงียบสงบ
“แปะ แปะ แปะ”
ท่ามกลางความเงียบของงานเลี้ยง เสียงปรบมือไม่เร็วไม่ช้าก็ดังขึ้นทำลายความเงียบ
เมื่อทุกคนเริ่มได้สติจากเสียงปรบมือนั้น ทั่วทั้งงานเลี้ยงก็เริ่มมีเสียงดังขึ้น
ซูิเยว่หันไปทางเสียงปรบมือนั้นแล้วก็เลิกคิ้ว มุมปากของจี๋โม่หานประดับไปด้วยรอยยิ้ม เขาวางมือลงพร้อมเอ่ยปากพูดเสียงเรียบเฉย “คุณหนูซูมีความสามารถไม่ธรรมดาเลย วันนี้เป็วาสนาของเปิ่นหวังที่ได้ฟังจริงๆ”
“ท่านอ๋องก็ชมเกินไปเพคะ” ซูิเยว่ยกยิ้มแล้วยืนขึ้นมองไปทางฮ่องเต้ที่อยู่ตำแหน่งสูงกว่า “หม่อมฉันได้แสดงฝีมืออันน่าอายออกมาแล้วเพคะ”
ฮ่องเต้ที่เพิ่งได้สติกลับมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกพอใจมากมาย “ไม่เลว ไม่เลว ดีมาก เพลงในวันนี้ของคุณหนูซูไม่ธรรมดาเลย เจิ้นจะประทานรางวัลให้อย่างงาม”
ซูิเยว่ประหลาดใจเล็กน้อย นางรู้ว่าปกติแล้วฮ่องเต้ไม่ชอบตน แต่คิดไม่ถึงว่าพอฟังเพลงที่นางเล่นแล้ว เขาจะพูดขึ้นมาเองว่าจะประทานรางวัลให้นาง
“ขอบพระทัยเพคะฝ่าา”
ซูิเยว่เดินกลับไปนั่ง ทุกคนยังพูดคุยถึงการแสดงของนางเมื่อครู่ เดิมทีการเต้นระบำของจ้าวอวี้ถิงก็เพียงพอทำให้คนใจนกลายเป็อันดับหนึ่งของวันนี้ แต่เพลงนั้นของซูิเยว่กลับยิ่งทำให้คนใมากกว่า ด้วยเหตุนี้จึงกลบทับการเต้นรำของจ้าวอวี้ถิงภายในชั่วพริบตา
แต่ปกติแล้วซูิเยว่ไม่ค่อยสนใจชื่อเสียงพวกนี้เท่าไร นางมองไปทางจ้าวอวี้ถิงแล้วเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะยกยิ้มมุมปาก คนถูกมองเดิมทีก็ไม่พอใจอยู่แล้ว พอถูกท้าทายเช่นนี้สีหน้าก็ยิ่งแย่ลงกว่าเดิม
“ว้าว คุณหนูเก่งจริงๆ เ้าค่ะ”
เสี่ยวอวี่ยื่นหน้ามาพูดเสียงเบาข้างตัวซูิเยว่ “คุณหนูดีดฉินเป็ได้อย่างไรเ้าคะ เหตุใดหนูปีถึงไม่รู้เลย?”
ซูิเยว่แย้มยิ้มลึกลับ “ความลับ”
งานเลี้ยงดำเนินต่อไปอย่างเป็ระเบียบ ตอนนี้ก็ถึง่สุดท้ายของงานเลี้ยงแล้ว ทุกคนยังคงสนุกสนานและพูดคุยกันเสียงดัง
ในตอนนี้เอง นางกำนัลคนหนึ่งก็รีบร้อนวิ่งเข้ามาในงานเลี้ยงด้วยสีหน้าลนลาน ในมือถือของบางอย่าง ทุกคนต่างพากันซุบซิบ สายตาถูกดึงดูดให้หันไปมอง
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วไม่พอใจ “เกิดอะไรขึ้น?”
นางกำนัลคนนั้นคุกเข่าลงตรงหน้าแท่นสูง “แย่แล้วเพคะฝ่าา เมื่อครู่ตอนที่หนูปีไปทำความสะอาดในวังของไทเฮาเหนียงเหนียงก็พบเ้านี่เพคะ”
นางพูดจบก็เอาของในมือยื่นไปตรงหน้า ทุกคนต่างถูกสิ่งนั้นดึงดูดสายตาแล้วยื่นคอไปดู แต่ตอนที่เห็นของในมือนางกำนัลคนนั้นชัดเจนว่าคืออะไร สีหน้าก็เปลี่ยนไปในชั่วพริบตา
ซูิเยว่ที่อยู่ใกล้ที่สุดก็หยิบของในมือนางกำนัลขึ้นมาดูให้ชัดเจน สิ่งนั้นคือคนตัวเล็กขนาดเท่าฝ่ามือ บนตัวยังแทงด้วยเข็มเงิน ้าเขียนตัวหนังสืออะไรบางอย่าง นางไม่เคยเห็นของสิ่งนี้มาก่อน แต่ก็พอรู้ว่าคงจะเป็พวกตุ๊กตาตัวเล็กเอาไว้ทำคำสาป
ซูิเยว่ขมวดคิ้ว เหตุใดของเช่นนี้ถึงได้มาปรากฏอยู่ในวังของไทเฮา
สีหน้าของฮ่องเต้เปลี่ยนไปเป็โกรธมากทันที “ชั่วช้านัก ของสิ่งนี้มาจากไหน?”
นางกำนัลตอบด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ “หนูปีเองก็ไม่รู้เพคะ เมื่อครู่ตอนที่หนูปีกำลังทำความสะอาดตำหนักก็เจอมันอยู่ในมุมหนึ่ง ตอนเช้ายังไม่มีเพคะ”
สีหน้าของไทเฮาเองก็แย่ หน้าเข้มคล้ำ แสดงว่ามีคน้าที่จะทำร้ายนาง
ทุกคนก็เริ่มถกเถียงกันขึ้นมา พวกเขาต่างรู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร แน่นอนว่าเข้าใจถึงการใช้งานมันด้วย
ดวงตาเฉียบคมกวาดมองทั่วทุกคนในงานก่อนจะถามนางกำนัลเสียงเข้ม “่นี้มีใครเดินผ่านตำหนักเหรินโฉวหรือไม่?”
นางกำนัลส่ายหน้า ยังไม่ทันได้ตอบ ทางด้านไทเฮาก็เอ่ยปากขึ้นมาก่อน “วันนี้เป็งานวันเกิดข้า ดังนั้นตอนเช้าจึงไม่ให้พวกเฟยผินเข้าไปทักทายข้าในตำหนัก ระหว่างนี้ก็คงไม่มีคนผ่านไปมา นางกำนัลที่อยู่ข้างกายพวกนี้ก็ติดตามข้างกายข้ามานานแล้ว”