แม้ว่าจะได้ข้อมูลเชิงลึกจากจิตสำนึกของเสี่ยวไป๋ ทว่าจุนห่าวและหานรุ่ยก็มิได้คลายความระแวง อุโมงค์นั้นลึกมาก พวกเขาเดินผ่านแสงของหินรุ่งโรจน์ตลอดทาง ในอุโมงค์ ไม่มีอะไรนอกจากหินรุ่งโรจน์ที่เปล่งประกายฝังอยู่บนของผนังหุบเขา ซึ่งดูว่างเปล่ามาก
ในขณะเดียวกัน กลุ่มคนของอู๋โม่วหานที่อยู่ข้างนอก ก็กำลังค้นหาในแดนของสุนัขจื่อเหลยแทบพลิกแผ่นดิน แต่ไม่พบอะไรนอกจากกระดูกและอุจจาระที่ทิ้งไว้หลังจากกินอาหาร
ในที่สุด ทีมของอู๋โม่วหานก็มาถึงด้านหน้าของผนังหุบเขา “นายท่าน ข้างหน้าเป็ทางตันแล้ว” อู๋กว่านซื่อกล่าวต่ออู๋โม่วหานด้วยความเคารพ แม้ว่าเขาจะมีพลังปราณสูงกว่าอู๋โม่วหาน ทว่าสำหรับอู๋โม่วหาน เขายังต้องให้ความเคารพอย่างยิ่ง อู๋กว่านซื่อเคยเห็นอู๋โม่วหานลงโทษนักพรตที่มีพลังปราณระดับสูง วิธีลงมือเช่นนั้น แค่คิดก็ทำให้อู๋กว่านซื่อหวาดกลัวจนตัวสั่นเป็ลูกนกแล้ว เขาไม่อยากลิ้มลองมัน
อู๋โม่วหานมองผนังหุบเขาอันสูงชันยิ่ง รู้สึกได้ว่าคงมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า อู๋โม่วหานรู้สึกอยู่ตลอดว่าผนังหุบเขานี้มีอะไรบางอย่าง โดยหลักการแล้ว ผนังหุบเขาไม่ควรมีพื้นผิวราบเรียบเช่นนี้ พื้นผิวราบเรียบนั้นราวกับผิวกระจก ที่ชวนให้รู้สึกว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับผนังหุบเขา แต่ปัญหาอยู่ตรงไหนล่ะ? เขามองไม่ออกว่าผนังหุบเขานี้มีความผิดปกติอะไร
“ดูให้ละเอียดว่าผนังหุบเขานี้มีอะไรที่เป็กลไลหรือประตูลับบ้าง?” อู๋โม่วหานสั่งการกับอู๋กว่านซื่อ หลังจากอู๋กว่านซื่อรับคำสั่ง ก็กระจายคนออกตามหา
“ท่านพี่ ผนังหุบเขานี้แปลกเสียจริง มันดูไม่เหมือนผนังหุบเขา เหมือนกระจกซะมากกว่า” ฟางหย่าเอ่ยขึ้นพลางลูบผนังหุบเขาอันราบเรียบ ผนังหุบเขายังสะท้อนภาพสลัวๆ ของเธอ
อู๋โม่วหานขมวดคิ้วพร้อมคลำที่ผนังหุบเขา กล่าวกับฟางหย่าว่า “เสียวหย่า เ้าระวังหน่อย ผนังหุบเขานี้แปลกมาก” พูดจบอู๋โม่วหานก็เคาะผนังหุบเขาอีกครั้งด้วยมือของเขาพลางเงี่ยหูฟัง แต่ก็ไม่พบอะไร
“ท่านพี่ ท่านคิดว่าสุนัขจื่อเหลยหนีไปไหนแล้ว?” ฟางหย่าถามอย่างสงสัย หยุดอยู่่หนึ่ง แล้วกล่าวอย่างฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า “ท่านพี่ ท่านว่าเป็ไปได้ไหมที่สุนัขจื่อเหลยจะซ่อนตัวอยู่ รอให้เราคลายความระแวง จากนั้นก็ออกมาโดยพลัน และไม่ปล่อยให้เรารอดไปได้แม้แต่คนเดียว” พูดจบพลันตบหน้าอก แสดงว่าเธอถูกความคิดของเธอทำให้ตื่นตระหนกแล้ว
ฟังคำของฟางหย่า อู๋โม่วหานหันมาพูดกับฟางหย่าด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ก็อาจเป็ไปได้ แต่เ้าไม่ควรคลายความระแวง มิฉะนั้นเ้าอาจตายได้ทุกเมื่อ”
ฟางหย่าพูดอย่างไม่พอใจว่า “ท่านพี่ ท่านทำให้ข้าใอีกแล้ว ยังไงก็มีท่านอยู่ อย่าบอกนะว่าเมื่อถึงเวลาผจญอันตราย ท่านจะไม่ปกป้องข้า?”
“ข้าไม่ได้ข่มขู่เ้า อยู่ข้างนอกไม่เหมือนอยู่บ้าน ไม่ว่าเวลาไหนก็ต้องระวังตัว ข้าไม่อาจเ้าปกป้องตลอดเวลาได้ เกิดเื่ไม่คาดคิดได้เสมอ ฉะนั้น เ้าต้องพึ่งพาตัวเอง”
“ข้าเข้าใจแล้วท่านพี่” ฟางหย่าตอบอย่างเชื่อฟัง เธอก็มิใช่คนที่ไม่รู้เื่รู้ราว พูดง่ายๆ คือเธอรับฟังมัน เธอรู้ว่าลูกผู้พี่ของเธอพูดเพื่อเธอ กล่าวจบก็หยุดสักพักหนึ่ง และพูดอย่างกังวลใจว่า “ท่านพี่ ข้ายังจะได้ทำพันธะสัญญากับสุนัขจื่อเหลยไหม? ข้าชอบมันยิ่งนัก น้องหญิงรองของข้ามีตัวนึง เป็ของขวัญวันเกิดจากท่านพ่อ นางมาโอ้อวดกับข้า ท่านพ่อไม่รักข้า รักแต่น้องหญิงรอง” ฟางหย่าพูดไปพูดมาก็เศร้าใจ
อู๋โม่หานถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ คิดในใจ ฟางหย่าช่างน่าสงสารนัก หลังจากที่ท่านป้าเสียชีวิต ท่านลุงก็แต่งงานใหม่ อย่างที่โบราณว่าไว้ การมีแม่บุญธรรมก็เท่ากับได้พ่อบุญธรรม ไม่ผิดไปสักนิด ท่านปู่ของตระกูลอู๋สงสารสายเืหนึ่งเดียวของลูกสาว จึงรับฟางหย่ามาเลี้ยงดูในตระกูลอู๋ เพราะทุกคนสงสารที่เธอสูญเสียแม่ั้แ่เล็ก ดังนั้นทุกคนจึงเอ็นดูเธอมากจนเธอมีนิสัยใสซื่อ แม้ว่าทุกคนจะปฏิบัติต่อเธออย่างดี ทว่าฟางหย่ายังคงปรารถนาความรักจากพ่อของเธอ ดังนั้น ทุกๆ สองปี ฟางหย่าจะกลับไปบ้านตระกูลฟางครั้งละหลายวัน แต่ทว่า พ่อของฟางหย่ากลับไม่เคยสนใจฟางหย่า สนใจเพียงลูกทั้งสองที่เกิดจากภรรยาใหม่ของเขา สิ่งนี้ทำให้ฟางหย่าผิดหวังมาก
สุนัขจื่อเหลยคือสัตว์อสูรที่เป็ชื่นชอบของบรรดาหญิงสาว สุนัขจื่อเหลยมีสีม่วง และมีขนหยิกๆ ทั่วทั้งตัว โดยเฉพาะลูกสุนัขที่หน้าตาน่ารักมาก นอกจากนี้ สุนัขจื่อเหลยยังจงรักภักดีและมีพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง เป็เหตุผลว่าทำไมมันถึงได้รับความนิยม แม้แต่ตัวเขาเองก็อยากจะเลี้ยงสักตัว แน่นอนว่าสิ่งที่เขาให้ความสำคัญ หาได้เป็ภาพลักษณ์ที่น่ารักของสุนัขจื่อเหลยไม่ แต่สิ่งที่เขาให้ความสำคัญคือพลังการต่อสู้และความจงรักภักดีของสุนัขจื่อเหลย ช่างน่าเสียดายนัก สุนัขจื่อเหลยอยู่ในหุบเขาอู๋หยินเท่านั้น ทั้งยังอยู่รวมกันเป็กลุ่ม โดยมีาาสุนัชจื่อเหลยปกป้อง จึงยากที่จะจับมาได้ นี่ก็เป็อีกสาเหตุหนึ่งที่สุนัขจื่อเหลยมีค่ากว่าสัตว์อสูรทั่วไป
“วางใจได้ พี่จะจับมันให้เ้าให้ได้ เ้าจักไม่ต้องอิจฉาน้องหญิงรองของเ้าอีก หากครั้งนี้ไม่สำเร็จ พี่จะหาทหารรับจ้างโดยออกรางวัลนำจับสุนัขจื่อเหลยนี้ ตราบใดที่มีราคาสูงพอ ต้องมีคนรับทำภารกิจนี้แน่” อู๋โม่วหานสัญญากับฟางหย่า อู๋โม่วหานก็สงสารลูกผู้น้องคนนี้นัก ฉะนั้น อาศัยโอกาส่การแย่งชิงผลไม้ชิงลัว ตั้งใจจับทารกสุนัขจื่อเหลยให้เธอ แต่ทว่า คิดไม่ถึงว่าจะพบกับสถานการณ์เช่นนี้ ดูเหมือนว่าทำให้ลูกผู้น้องผิดหวังแล้ว
ฟังคำของอู๋โม่วหาน ฟางหย่าเข้าสวมกอดอู๋โม่วหานแน่น ยิ้มให้กับอู๋โม่วหานอย่างหวานชื่น และกล่าวว่า “ขอบคุณมากท่านพี่ ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านพี่ของข้าดีที่สุด”
“เอาล่ะ อย่าพูดเื่ไร้สาระเลย พี่ไม่เคลิ้มไปกับคำเยินยอของเ้าหรอก รีบจัดการเร็ว” อู๋โม่วหานพูดกับฟางหย่าด้วยความรักใคร่เอ็นดู
“ได้ ท่านพี่ ข้าจะช่วยท่านหากลไกลให้เจอ” ฟางหย่าพูดกับอู๋โม่วหานด้วยรอยยิ้มซุกซน จากนั้นก็เรียนรู้ท่าทางของอู๋โม่วหาน เริ่มสำรวจผนังหุบเขาด้วยการทุบๆ เคาะๆ เพื่อค้นหา
อู๋โม่วหานเห็นรอยยิ้มของฟางหย่า พลันนึกถึงใบหน้าที่มีเสน่ห์ของท่านป้าของเขา นึกแล้วก็เสียใจ ช่างเป็ใบหน้าที่งดงามยิ่งนัก
“นายท่าน เราไม่พบอะไรเช่นเดิม” อู๋กว่านซื่อรายการอู๋โม่วหาน พวกเขาค้นหาอย่างละเอียดแล้ว ก็ยังไม่พบประตูลับใดๆ
“บนผนังหุบเขาล่ะ หาแล้วหรือไม่?” อู๋โม่วหานเอ่ยถามพร้อมเงยหน้าขึ้นมองผนังหุบเขา้า
“ยังขอรับ” อู๋กว่านซื่อตอบ คิดในใจ ผนังหุบเขาตั้งตรงดิ่งเช่นนี้ พวกเขาไม่อาจขึ้นไปได้
“งั้นก็ขึ้นไปดู” อู๋โม่วหานกล่าว
ภายในผนังหุบเขา
ในที่สุดจุนห่าวและหานรุ่ยก็เดินมาถึงปลายทาง ทั้งสองคนซ่อนตัวอยู่ในเงามืดซึ่งมิได้ส่องสว่างด้วยแสง เห็นเพียงห้องโถงที่อยู่เบื้องหน้า ภายในห้องโถงไม่มีเครื่องตกแต่งใดๆ มีเพียงสุนัขจื่อเหลยที่นั่งอยู่ตรงนั้น จุนห่าวเดาว่าคงมีอายุราวๆ ร้อยกว่าปี มีลูกสุนัขจำนวนมาก ทั้งยังพลังปราณต่ำ พวกเขาอยู่กันเป็ระเบียบราวกับว่ากำลังรอบางสิ่งบางอย่าง แต่สายฟ้าที่อยู่ในจิตวำนึกของจุนห่าวกลับตื่นเต้นมาก เขาบอกจุนห่าวว่านี่คือสถานที่ที่เขาตามหา
จุนห่าวสูดจมูกพลางพูดกับหานรุ่ยว่า “ที่นี่มีกลิ่นเื”
หานรุ่ยได้กลิ่นเืปะปนอยู่ในห้องโถงเช่นกัน และพูดว่า “ใช่ แต่ข้าไม่เห็นสุนัขตัวไหนาเ็”
เสี่ยวไป๋พูดกับจุนห่าวอย่างตื่นเต้นว่า “จุนห่าว เ้ารีบเข้าไปด้านในห้องเร็ว ตรงนั้นมีของดี”
แค่จุนห่าวมองดูสุนัขจื่อเหลยที่เบียดเสียดกันในห้องโถง ก็รู้สึกเวียนหัวแล้ว นี่พวกเขาต้องผ่านห้องโถงนั้นเพื่อเข้าไปในห้องที่อยู่ด้านหน้าหรือ ทว่าสุนัขจื่อเหลยที่อยู่ในห้องโถงจะทำยังไงล่ะ อย่าบอกนะว่าให้ฆ่าทิ้งทั้งหมด
จุนห่าวนำคำของเสี่ยวไป๋บอกกับหานรุ่ย และบอกหานรุ่ยเกี่ยวกับศีลธรรมของเขา มิใช่ว่าเขาจะมีความเมตตา แต่นักพรตไม่ควรฆ่าผู้บริสุทธิ์ตามอำเภอใจ นี่จะทำให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนองรุนแรงขึ้นในอนาคต อีกทั้งส่วนใหญ่ยังเป็ลูกสุนัขบริสุทธิ์ หากเขาสังหารลูกสุนัขเหล่านี้ เชื่อว่าเขาคงกลายเป็ศัตรูของเผ่าพันธุ์สุนัขจื่อเหลย และเป็ไปได้ที่าาสุนัขจื่อเหลยจะไล่ล่าเขาและหานรุ่ยแบบแทบพลิกแผ่นดิน เวลานี้เขาไม่้ายั่วยุศัตรูที่แข็งแกร่งเช่นนี้
หานรุ่ยรับรู้ถึงความกังวลใจของจุนห่าว เขากล่าวกับจุนห่าวว่า “เพิ่มขนาดยาิญญา ทำให้พวกมันมึนงง จากนั้นเราค่อยเข้าไป”
จุนห่าวคิดว่าวิธีปัญหาของหานรุ่ยนั้นดี เขาหยิบยาแก้พิษ ให้กลุ่มของเขากิน และขว้างยาเข้าไปในฝูงของสุนัขจื่อเหลย
เมื่อได้ยินเสียงสุนัขจื่อเหลยต่างลุกฮือในทันที ทว่าไม่ทันการ พวกมันฟุบลงบนพื้น
“ฤทธิ์ของยาสลบนี้ช่างได้ผลยิ่งนัก” เมื่อเห็นสุนัขจื่อเหลยนอนกองอยู่บนพื้น หานรุ่ยกล่าวด้วยความรู้สึกลึกๆ นี่เป็ครั้งแรกที่พวกเขาใช้ยาสลบ หานรุ่ยคาดไม่ถึงว่าจะได้ผลดีเช่นนี้
จุนห่าวพูดอย่างภูมิใจว่า “เ้าไม่เห็นหรือว่าใครเป็คนปรุงยา ข้าจะใช้มันจัดการกับาาสุนัขจื่อเหลย และจะใช้มันจัดการกับกองกำลังทหารที่ไม่เป็โล้เป็พาย ข้ารับรองว่าในครึ่งปีพวกเขาจะไม่ฟื้นเลย” สำหรับ 6 เดือน สุนัขจื่อเหลยจะอดตายหรือไม่นั้น ก็มิใช่เื่ที่เขาแล้ว เขาเชื่อว่า าาสุนัขจื่อเหลย ต้องมีวิธีจัดการแน่
“ฤทธิ์นานขนาดนี้ อย่างเช่นนั้น กับคนล่ะ?” หานรุ่ยเอ่ยถามพลางคิ้วขมวด
“กับคนก็ออกฤทธิ์เหมือนกัน” จุนห่าวตอบโดยไม่ปกปิด
“เช่นนั้น กลับไปแล้วขอข้าสักหน่อย” หานรุ่ยพูดขณะที่เดินเข้าไปข้างใน ในทุกๆ ย่างก้าว ต้องระวังเท้าให้ดี มิเช่นนั้นอาจเหยียบสุนัขจื่อเหลยได้
“เ้าจะเอามันไปทำอะไร?” จุนห่าวถามอย่างงงงวย คิดในใจ ก่อนหน้านี้ยาิญญาทุกชนิดที่อยู่กับเขา หานรุ่ยไม่เคย้า แต่ยาสลบที่ไม่อาจเพิ่มพลังปราณได้ หานรุ่ยจะ้ามันไปทำอะไร
“ปกป้องตัวเอง” หานรุ่ยหันไปพูดกับจุนห่าวอย่างอมยิ้ม คิดในใจ ปกป้องจากเ้า
เมื่อเห็นรอยยิ้มเช่นนี้ของหานรุ่ย จุนห่าวรู้สึกใจไม่ดี จุนห่าวเป็คนฉลาดหลักแหลมนัก นึกออกทันที มีความเป็ไปได้หนึ่ง จุนห่าวลูบจมูกพลางถามว่า “เสี่ยวรุ่ย เ้าคงไม่ใช้มันป้องกันตัวจากข้าหรอกนะ”
หานรุ่ยเก็บรอยยิ้ม พูดด้วยใบหน้าเ็าว่า “เ้าคิดมากเกินไปแล้ว” แอบคิดลับๆ “จุนห่าวช่างฉลาดนัก เขาไว้ป้องกันตัวจากจุนห่าวจริงๆ ทุกครั้งที่ร่วมเตียง หากเขาไม่สลบไป จุนห่าวก็จะไม่พัก เขาเคยร้องขอความเมตตา แต่จุนห่าวตอบรับแต่ปาก การเคลื่อนไหวไม่เคยหยุดนิ่ง แม้ว่าเขาจะสนุกกับมัน แต่เขาจะอายเช่นนี้ทุกครั้ง ดังนั้นหากครั้งต่อไปจุนห่าวไม่หยุดพัก เขาคงใช้ยาสลบกับจุนห่าว ให้เขาสลบไประยะเวลาหนึ่ง”
เมื่อเห็นใบหน้าเ็าของหานรุ่ย จุนห่าวรู้สึกได้ว่าเขาคิดถูกแล้ว คิดในใจ อย่าบอกนะว่าเขาหักโหมมากเกินไป ถึงทำให้หานรุ่ยมีความคิดเช่นนี้ อันที่จริง อย่าโทษเขาเลย เป็เพราะหานรุ่ยดูสบายเสียเหลือเกิน ถึงทำให้เขาไม่อาจหยุดได้
จุนห่าวพูดกับหานรุ่ยว่า “เสี่ยวรุ่ย ครั้งต่อไปข้าจะฟังเ้า เ้าให้ข้าหยุด ข้าก็จะหยุด เ้าให้ข้าเริ่ม ข้าก็จะเริ่ม เ้าอย่าใช้ยากับตัวข้าก็พอแล้ว ฤทธิ์ยานั้นดีเกินไป ข้าไม่เคยใช้กับร่างกายคน หากเ้าใช้มันกับข้า แล้วข้าสลบไปครึ่งปี เ้าต้องลำบากมาดูแลข้าอีก ถึงตอนนั้นข้าคงทุกข์ใจ” คิดในใจ เขาต้องล้มเลิกความคิดนี้ของหานรุ่ยให้ได้
“ไม่เป็ไร ข้าเต็มใจดูแลเ้า” หานรุ่ยยังคงพูดด้วยใบหน้าเ็า คิดในใจ อย่างมากก็แค่ปรับลดโดยให้เขากินยาแก้พิษ เขาอยากให้จุนห่าวนอนสลบไปครึ่งปีจริงๆ เช่นนี้เขาคงบริสุทธิ์ไปได้หลายวัน
“ไม่เอาน่า เสี่ยวรุ่ย นั่นเท่ากับเอาชีวิตข้าเลยนะ” จุนห่าวกล่าวคร่ำครวญ คิดในใจ ในเมื่อเสี่ยวรุ่ย้ายาสลบ เขาจะไม่ก็ไม่ได้ ดังนั้น จากนี้ไปเขาจะพยายามให้มากขึ้น ทุกครั้งก่อนขึ้นเตียงต้องกินยาแก้พิษเสียก่อน อย่าได้ลืม ไม่งั้นคงเกิดเื่ใหญ่แน่
หากหานรุ่ยทราบว่าจุนห่าวคิดเช่นนี้ เขาต้องเตะจุนห่าวตกเตียงเป็แน่ จากนั้นคงปฏิเสธที่จะนอนร่วมเตียงกับเขาไปหลายวัน เสมือนการวางกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยม แต่ก็ใช้วิธีจัดการที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน
