เมื่อมาถึงที่หน้าหออวี้เหิงซูฉางอันพบว่าอวี้เหิงดินออกมาจากห้องมายืนอยู่กลางสวน ช่างเป็ภาพที่หาดูได้ยากยิ่ง
เขากำลังจะพูดอะไรออกมาแต่จู่ๆ อวี้เหิงก็ยื่นมือข้างหนึ่งขึ้นไปในอากาศเสียก่อน
พึ่บๆๆ!
เสียงกระพือปีกของนกดังขึ้นก่อนพิราบที่มีขนสีขาวทั้งตัวจะบินมาเกาะอยู่บนท่อนแขนของอวี้เหิง
นกตัวนั้นส่งเสียงร้องใสแจ๋วออกมาราวเป็การกล่าวทักทายและดูเหมือนอวี้เหิงจะเข้าใจในสิ่งที่นกตัวนั้น้าจะสื่อเสียด้วยเขายื่นมือที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นอีกข้างไปลูบจับนกตัวนั้นเบาๆ
“ลำบากเ้าแล้ว”จากนั้นเขาก็ส่งนกขึ้นไปบนอากาศเบาๆ หลังส่งเสียงร้องใสแจ๋วขึ้นอีกครั้งนกตัวเดิมก็กางปีกบิน ก่อนจะหายเข้าไปในความมืดของราตรีในที่สุด
ซูฉางอันเดินเข้าไปหาแล้วถามขึ้นอย่างสงสัย “อาจารย์ปู่ ท่านเลี้ยงนกพิราบด้วยหรือขอรับ? ”
“หึๆ”อวี้เหิงดูจะไม่แปลกใจเลยที่ได้เจอซูฉางอัน เขาหันมามองคนหนุ่ม ก่อนจะพูดขึ้น“ข้าเคยช่วยมันเอาไว้โดยบังเอิญเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าเ้านี่จะฉลาดขนาดนี้ั้แ่นั้นมา มันก็อยู่กับข้ามาโดยตลอด”
“อ้อแบบนี้นี่เอง” ซูฉางอันพยักหน้ารับ ก่อนจะอ้าปาก ราว้าพูดบางอย่างออกมา ทว่าเขากลับเอาแต่ลังเลและเงียบลงอีกครั้ง
“พูดมาเถอะมีเื่อะไรรึ?” มีหรือที่อวี้เหิงจะมองไม่ออกเขาปรายตามองซูฉางอันครู่หนึ่ง และกล่าวขึ้นเช่นนั้น
เมื่อถูกจับได้ซูฉางอันจึงหัวเราะอย่างทำตัวไม่ถูก แล้วพูดขึ้นในเวลาต่อมา “อาจารย์ปู่ข้าอยากไถ่ตัวพี่หรูเยี่ยนขอรับ”
“หรูเยี่ยน?” ชื่อนั้นทำให้อวี้เหิงชะงักไปเล็กน้อยแต่เขาก็พูดขึ้นในเวลาต่อมา “เ้าหมายถึงหญิงโคมเขียวผู้นั้นรึ? ”
ซูฉางอันขมวดคิ้วมุ่นเขาไม่ค่อยชอบคำว่าหญิงโคมเขียวสักเท่าไรนัก แต่เขารู้ดีว่าสิ่งที่อวี้เหิงพูดเป็ความจริงจึงได้แต่พยักหน้าอย่างจนปัญญา “อืม”
แต่พอพูดจบเขาถึงเพิ่งนึกบางอย่างขึ้นได้ จึงพูดเสริมขึ้นอีกครั้ง “พี่หรูเยี่ยนเป็คนดีมากนางรอเป่ยทงเสวียนมาตั้งหลายปี แต่เป่ยทงเสวียนกลับทรยศต่อนาง แถมยัง...”
“ข้ารู้”อวี้เหิงพยักหน้า พลางเอ่ยตัดประโยคของซูฉางอันด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความแก่ชราและเนิบนาบ
“แสดงว่าท่านอนุญาตใช่ไหมขอรับ?” ซูฉางอันฉายประกายความดีใจขึ้นทางสีหน้าเขาคิดว่าในเมื่ออวี้เหิงรู้ว่าหรูเยี่ยนมีอันตราย เช่นนั้นเขาต้องไม่ห้ามตนแน่เมื่อคิดได้ดังนั้น ซูฉางอันก็เตรียมลาไปพร้อมกับความดีอกดีใจทันทีแต่อวี้เหิงกลับส่ายหน้าขึ้นเบาๆ
เขาบอกเช่นนี้“เ้ารู้ไหม ข้ากำลังจะตายแล้ว? ”
ใบหน้าของซูฉางอันหม่นหมองลงในพริบตา
แน่นอนเขารู้ดีว่าอวี้เหิงกำลังจะตาย หรือพูดอีกอย่างก็คือทุกคนรู้ดีว่าอวี้เหิงกำลังจะตายในอีกไม่ช้า
ชีพดาราของเขาเริ่มหม่นแสงมาั้แ่หลายปีก่อนนับแต่นั้นมา ผู้คนก็ลือกันมาโดยตลอดว่านักรบแห่งดาราจักร อวี้เหิงกำลังจะสิ้นชีพลงแล้วแต่ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาถึงยังมีชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้ได้
แต่ถึงกระนั้นบัดนี้ อวี้เหิงใกล้หมดแรงยื้อชีวิตเต็มทีแล้ว ซูฉางอันรู้ดียิ่งกว่าใคร เขาเพียงพยายามหลีกเลี่ยงการคิดถึงเื่นี้เท่านั้น
แต่เมื่ออวี้เหิงเอ่ยออกมาเช่นนี้ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ ว่าตนไม่อาจหลีกหนีเื่นี้ได้อีกต่อไป
“เมืองฉางอันไม่ได้สงบสุขเลยสักนิด”อวี้เหิงพูดต่อไป “ที่นี่มีทั้งจิ้งจอกเ้าเล่ห์และหมาป่าจอมชั่วร้ายอยู่เต็มไปหมด”
“หากเ้าอยากช่วยเหลือผู้อื่นก็ต้องเรียนรู้ที่จะเอาชีวิตรอดให้ได้ก่อน เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองฉางอันโดยไม่มีข้าให้ได้! ”
“ต่อให้เ้าไถ่ตัวหรูเยี่ยนออกมาได้แล้วอย่างไร? เ้าช่วยนางได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวแต่ไม่อาจช่วยนางได้ตลอดไป ไม่ว่าช้าหรือเร็ว ซือหม่าสวี่ย่อมหาทางสังหารนางจนได้อยู่ดี!ด้วยพลังที่มีในตอนนี้เ้าขัดขวางเขาได้รึ?”
“ก็ยังมีท่านอยู่นี่...”ประโยคนั้นติดอยู่ที่ปลายลิ้นของซูฉางอัน ทว่าในที่สุดเขาก็เก็บมันกลับไป
ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่าที่ตนสามารถใช้ชีวิตอยู่ในเมืองฉางอันอย่างอิสระและทำทุกอย่างได้ตามใจเช่นนี้เพราะมีชื่อเสียงและอำนาจของอาจารย์ปู่คอยค้ำจุน แต่เมื่ออวี้เหิงจากไป อย่าเพิ่งพูดถึงเื่อื่นเลยลำพังแค่อินซานโจ๋วจากสำนักปาฮวงก็ทำให้เขาน่วมได้แล้วเื่ช่วยคนอื่นยิ่งไม่ต้องฝันถึง
“ข้าเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว”อวี้เหิงบอกแบบนั้น “ก่อนตาย ข้าอยากเห็นเ้ากลายเป็คนแข็งแกร่งด้วยตาของตัวเองอย่างน้อย ก็มีอำนาจมากพอจะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองฉางอันต่อไปได้ แบบนั้นข้าจึงจะไปอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว ไปพบอาจารย์กับอาจารย์ปู่ของเ้าได้อย่างหมดห่วง”
ซูฉางอันเริ่มรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นในหัวใจราวมีบางอย่างกดทับอยู่กลางอก มันหนักจนเขาหายใจไม่ออก
ความรู้สึกเช่นนี้หาได้เกิดจากความกังวลในอนาคตที่กำลังจะมาถึง แต่เป็ความเสียใจที่เกิดขึ้นเพราะอวี้เหิงกำลังจะจากไปมากกว่า
การตายเป็สิ่งที่ไม่ดีเอาเสียเลย
นี่เป็สิ่งที่ซูฉางอันเข้าใจมาตั้งนานแล้วแต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนในสำนักเทียนหลานถึงพูดเื่ตายง่ายๆด้วยสีหน้าราบเรียบแบบนั้นได้
พวกเขาไม่รู้หรือไรว่ายิ่งพวกเขาพูดมันออกมาด้วยท่าทีสงบนิ่งมากเท่าไหร่ คนที่ห่วงใยพวกเขายิ่งรู้สึกเสียใจมากขึ้นเท่านั้น?
ซูฉางอันเงยหน้าที่เคยก้มลงต่ำขึ้นมาอีกครั้ง
“ไม่มีทางที่ท่านจะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วรึขอรับ?”
ซูฉางอันกล่าวถาม
เขาไม่อยากเห็นอวี้เหิงตายไปต่อหน้าต่อตาเหมือนที่เขาทนเห็นมั่วทิงอวี่จากไปตรงหน้า
“เ้าเด็กโง่เอ๊ย”อวี้เหิงยื่นมือมาจับหัวของซูฉางอันเบาๆ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงระคนตัดพ้อ“ทุกคนย่อมต้องตายในสักวัน”
ไม่รู้ด้วยเหตุใดวินาทีนั้นซูฉางอันรู้สึกราวมีบางอย่างรื้นออกมาจากดวงตา เขาต้องใช้พลังทั้งหมดที่มีจึงสามารถเก็บกลั้นมันเอาไว้ ไม่ให้เ้าสิ่งนั้นไหลออกมาในที่สุด เขาไม่ชอบความรู้สึกเช่นนี้เลยไม่ชอบเลยที่คนที่เขาชอบ คนที่เขาให้ความสำคัญต้องจากไป แต่เขากลับทำอะไรไม่ได้
“เ้ายังอยากช่วยหรูเยี่ยนอยู่อีกไหม?” อวี้เหิงพูดขึ้น เขาทำราวไม่รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับซูฉางอันแม้แต่น้อย
ซูฉางอันชะงักไปในพริบตาแม้ไม่รู้ว่าทำไมอวี้เหิงถึงพูดเื่นี้ขึ้นมาอีกแต่เขาก็พยักหน้าแทนคำตอบออกไปจนได้
“แต่ครั้งนี้เ้าต้องพึ่งตัวเองแล้วนะ ต้องช่วยตัวเองให้ได้ก่อน จึงจะมีกำลังไปช่วยคนอื่น”
“ช่วยตัวเองก่อนหรือขอรับ?” ซูฉางอันมองไปยังอวี้เหิง พลางกล่าวถามขึ้น“ต้องทำยังไงถึงจะช่วยเหลือตัวเองได้ขอรับ”
“ไปที่หอเชื่อมดาราเถอะ”เสียงของอวี้เหิงดังขึ้นอีกครั้ง “อย่างน้อย ก่อนจะกลับเข้าสู่ทะเลแห่งหมู่ดาวข้าอยากเห็นเ้าแข็งแกร่งด้วยตาของตัวเองแข็งแกร่งจนสามารถใช้ชีวิตอยู่ในเมืองฉางอันได้”
“หอเชื่อมดาราหรือขอรับ?” ซูฉางอันเคยได้ยินชื่อนี้มาหลายต่อหลายครั้งแล้ว
ก่อนหน้านี้ตอนฉู่ซีฟงเพิ่งเข้ามาอยู่ในสำนักเทียนหลานอวี้เหิงก็เคยบอกว่าหากเขามีพลังอยู่ในระดับศาสตร์แห่งพรต ก็จะเปิดหอเชื่อมดาราเพื่อเขา
คิดไม่ถึงเลยว่าฉู่ซีฟงจะก้าวข้ามระดับศาสตร์แห่งพรตแล้วข้ามขั้นขึ้นไปเป็นักรบแห่งดาราจักรในคราเดียวเช่นนี้
และดูเหมือนเหตุที่สำนักอื่นๆจ้องชิงตำแหน่งสำนักอันดับหนึ่งไปจากสำนักเทียนหลาน เป็เพราะหอเชื่อมดาราแห่งนี้ด้วยเช่นกัน
แม้ซูฉางอันจะใช้ชีวิตอยู่ในสำนักมานานถึงหนึ่งปีแต่จนถึงตอนนี้ เขากลับยังไม่เคยได้เห็นหอเชื่อมดาราที่ว่าเลย
“หอเชื่อมดาราอยู่ที่ไหนกันแน่ขอรับ?” ซูฉางอันถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
“แน่นอนว่ามันอยู่ในสำนักเทียนหลาน”อวี้เหิงพูดขณะหรี่ตาเล็ก ราวกับนี่เป็เื่ที่น่าภาคภูมิใจเป็อย่างมาก
“แต่ข้ายังไม่เคยเห็นมันมาก่อนเลยแล้วข้าจะไปได้อย่างไรเล่าขอรับ? ” ซูฉางอันถาม
“ก็ให้ข้าเป็คนส่งเข้าไปอย่างไรละ”เมื่อสิ้นเสียง รังสีแห่งอำนาจภายในร่างของเขาก็เพิ่มมากขึ้นในพริบตาแสงจากดวงดาวส่องมาจากจุดที่ไกลออกไปเป็หมื่นๆ ลี้ ทอดแสงลงบนร่างของเขาในที่สุดบัดนี้ ชุดคลุมหลวมๆ บนร่างชราถูกพลังิญญาที่กระจายออกมาจากร่างดันให้พองขึ้นมาก
“เจ็ดดารามา!” เขาเบิกตาที่เคยหรี่เล็กขึ้นทันทีวินาทีนั้น เขาเป็ดั่งราชสีห์ที่เพิ่งตื่นจากการหลับใหล ร่างของเขาค่อยๆลอยขึ้นเหนือพื้นดิน เพียงพริบตาเดียว ร่างชราก็ลอยสูงอยู่กลางอากาศเสียแล้ว
ร่างกายของเขายังคงแลดูแก่ชราไม่เปลี่ยนไปแต่ท่ามกลางแสงดาวที่สาดส่อง วินาทีนั้น กลิ่นอายแห่งพลังที่กระจายออกมาจากร่างอันชราภาพกลับทำให้ซูฉางอันรู้สึกราวคนตรงหน้าเป็เทพเ้าไม่มีผิดเลย
ทันใดนั้นดวงดาวที่เดิมหลับใหลอยู่บนท้องนภาก็ประกายแสงขึ้นโดยพลัน
นี่เป็่เวลาที่น่าอัศจรรย์เป็อย่างมากแม้อวี้เหิงจะเป็นักรบแห่งดาราจักรแม้เขาจะถูกเรียกว่าเป็นักรบแห่งดาราจักรที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก แต่ถึงกระนั้นสุดท้ายเขาก็ยังเป็เพียงมนุษย์ธรรมดา มนุษย์ที่แก่ชราไปตามกาลเวลาและตายลงในที่สุด แต่วินาทีนี้ เขากลับปลุกดวงดาราที่จมอยู่ในมหาสมุทรแห่งการหลับใหลและปลุกดวงิญญาแห่งวีรบุรุษที่ตกอยู่ในห้วงนิทรารมย์ขึ้นมาได้อีกครั้ง
ดาวทั้งหลายส่องแสงผสานกับชีพดาราที่เพิ่มหมองแสงของอวี้เหิงและร้อยเรียงเข้าด้วยกันจนคล้ายเป็รูปช้อนในที่สุด
แต่ช้อนเบื้องหน้ายังคงไม่สมบูรณ์คล้ายว่าขาดบางอย่างไป เพราะดาวที่เป็หนึ่งในนั้นกลับส่องแสงสว่างเจิดจ้าออกมาอย่างสะดุดตามันเป็ดวงดาวที่ยังไม่มอดลงนั่นเอง ซึ่งบัดนี้มันก็กำลังส่องแสงเจิดจ้าจนแสบตาแต่ก็เต็มไปด้วยความเย็นะเืออกมาอย่าดื้อรั้นราวไม่้าจะผสานเข้ากับดวงดาวที่เหลือ มัน เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าจนหลุดออกไปจากวงโคจรด้วยเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ
หน้าผากที่เต็มไปด้วยความแก่ชราของอวี้เหิงมีเม็ดเหงื่อซึมออกมากมาย“หยิงโฮ่!ยังไม่กลับไปประจำตำแหน่งอีก!”
เสียงของเขาไม่ได้เต็มไปด้วยความแก่ชราดังเดิมอีกต่อไปแต่มันคล้ายกับคำสั่งอันทรงพลังบางอย่างที่ดังขึ้นต่างหาก
ดวงดาวที่จมอยู่ในห้วงนิทราประกายแสงขึ้นในที่สุดแสงนั้นถูกส่องมาจากท้องทะเลที่ห่างไกลออกไปมากถึงเพียงใดก็ไม่อาจทราบ และประกายแสงสีแดงราวกับเปลวเพลิงที่ลุกโชนขึ้นที่กลางนภาในที่สุด
ดวงตาของซูฉางอันพลันเบิกกว้าง
เขารับรู้ได้ถึงกลิ่นอายแห่งพลังที่คุ้นเคย
แม้จะผ่านไปอีกกี่ปีเขาไม่มีทางลืมกลิ่นอายแห่งพลังนี้ไปโดยเด็ดขาด
ราวเป็การยืนยันการคาดคะเนของเขาดาบบนแผ่นหลังเริ่มส่งเสียงคำรามขึ้นมาทันทีราวเป็การทักทายเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมานานเช่นนั้น จากนั้นมันก็เริ่มสั่นแล้วร้อนระอุขึ้นในพริบตา
“ท่านอาจารย์...”ซูฉางอันแหงนมองดาวดวงนั้นอย่างตื่นตะลึง พลางพูดพึมพำไปด้วย
ดาวดวงนั้นหยุดชะงักราวรับรู้ถึงเขาเช่นกันจากนั้นก็สาดแสงลงมาที่ร่างของซูฉางอันในที่สุด แสงนั้นไม่ได้แฝงด้วยพลังใดๆ ทั้งสิ้นมีเพียงความอบอุ่นที่มากจนน่าอัศจรรย์เท่านั้น
ซูฉางอันถูกความอบอุ่นนั้นโอบอุ้มเอาไว้มันทำให้เขารู้สึกจิตใจสงบอย่างน่าพิศวง
“ท่านอาจารย์ข้าจะมีชีวิตต่อไปแน่นอน ข้าจะใช้ชีวิตต่อไปให้ดี!และกลายเป็นักดาบที่เหมือนกับท่านให้ได้” เขาบอกแบบนั้นกับดวงดาว
ดาวดวงนั้นประกายแสงระยิบระยับราวกำลังตอบกลับมาเช่นนั้น
ซูฉางอันวาดประกายรอยยิ้มขึ้นจากใจจริง
ในที่สุดดาวดวงนั้นก็วางใจเสียทีมันลากหางแสงสีแดงผ่านท้องนภา พุ่งเข้าไปอยู่ท่ามกลางหมู่ดาวทั้งหก หยุดในจุดที่ดาวไคหยางเคยอยู่
จากนั้นเส้นแสงที่สว่างไสวก็ปรากฏขึ้น เชื่อมดาวเทียนเสียน เทียนจี เทียนเฉียน อวี้เหิงหยิงโฮ่ และเหยากวงเข้าด้วยกัน จนกลายเป็รูปช้อนที่แสนเจิดจ้าในที่สุด
“หอเชื่อมดารา!”เสียงที่ไม่ได้ดังมากมายนักของอวี้เหิง กึกก้องอยู่ภายในหูของซูฉางอันราวเป็เสียงจากอัสนีคำรามเช่นนั้น
เสาแห่งแสงเจ็ดแห่งพุ่งออกมาจากดาวทั้งเจ็ดก่อนจะส่องไปทั่วพื้นพิภพในเวลาต่อมา
จากนั้นเสาแห่งแสงทั้งเจ็ดก็ทอดลงบนหอเทียนเฉียน เทียนจี เทียนเสียน อวี้เหิง ไคหยางและเหยากวงในสำนักเทียนหลาน
แสงที่เจิดจ้ายิ่งว่าดวงตะวันปะทุขึ้น
ซูฉางอันหรี่ตามองจึงพบว่าหอทั้งเจ็ดถูกแสงสว่างบดบังลงจนหมดแล้ว ก่อนหอคอยที่สูงเฉียดร้อยจั้งดันออกมาจากพื้นดินอย่างช้าๆ
ในตอนนั้นเองในที่สุดเขาก็เข้าใจ
ที่แท้หอเชื่อมดาราอยู่ในสำนักเทียนหลานมาโดยตลอด
มันซ่อนอยู่ในหอทั้งเจ็ดซ่อนอยู่ภายใต้แสงแห่งดวงดาวทั้งเจ็ดนั่นเอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้