ฉินอวี่ที่กำลังพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็ว เขาได้ยินเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวที่ดังออกมาจากในป่า ทำให้ใบหน้าของฉินอวี่เต็มไปด้วยความตกตะลึง
แม้ว่าจะรู้ดีว่าตัวตนแท้จริงของตนเองอาจจะถูกเปิดเผยได้ แต่นึกไม่ถึงว่าเขาจะดึงดูดความวุ่นวายเข้ามาได้ ท้ายที่สุด ฉินอวี่ก็เริ่มรู้สึกได้ว่ามีผู้ฝึกตนจากรอบด้านทั่วสารทิศกำลังมุ่งหน้าเข้ามารายล้อมตนเอง
ฉินอวี่กวาดสายตามองไปรอบด้าน แต่ยังคงนิ่งสงบท่าทีไว้ มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มที่เย้ยหยัน
“โจมตีขับไล่? ข้าว่าคงคิดหนีร้อนมาพึ่งเย็นสินะ?” ฉินอวี่พูดอย่างเ็า ผู้ฝึกตนเหล่านี้ต่างรู้สึกได้ว่าตนเองไม่เกรงกลัวอสูรร้ายที่นี่ คนจำนวนมากจึง้าจะเข้ามาใกล้ และคิดว่าคงไม่ใช่เพราะมาตามไล่ล่าเขา แต่คงคิดจะมาหาที่พึ่งเหมือนไม้ใหญ่ให้ได้พึ่งพิง
เพียงแต่ ฉินอวี่จะปล่อยให้พวกเขาได้ตามปรารถนาหรือ? เขารีบเรียกเก็บพลังปราณทั่วทั้งร่างของตนเองทันที ฉินอวี่ตอนนี้เป็เหมือนแมลงวันไร้หัวที่วนเวียนต่อสู้อยู่ในป่า หลังจากที่สามารถหลอกล่ออสูรร้ายจำนวนมากให้ไล่ตามมาได้ ฉินอวี่ก็ตั้งใจให้อสูรร้ายเหล่านี้ตามไล่ล่าพวกทำตัวสง่าใจคด ซึ่งเป็กลุ่มคนที่วางแผนจะไล่ล่าโจมตีตนเอง...
ทันใดนั้น เสียงคร่ำครวญ เสียงก่นด่าด้วยความโกรธ เสียงะโ และเสียงของความแค้นก็ดังขึ้นพร้อมๆ กัน ความเร็วของฉินอวี่ก็เร่งสูงขึ้นไปอีก และด้วยเพราะเขาไม่เกรงกลัวต่ออสูรร้าย ดังนั้น จึงไม่มีผู้ใดสามารถไล่ตามฉินอวี่ได้ แม้ว่าเป็ผู้แข็งแกร่งที่มีระดับการฝึกฝนขั้นสูง ท้ายที่สุดเมื่อถูกอสูรร้ายไล่ล่า ก็ต้องยอมเลิกที่จะไล่ตามโจมตีฉินอวี่
ยังไม่อาจรู้ได้ว่ามีศิษย์อัจฉริยะจำนวนกี่คนที่ถูกส่งตัวมาที่นี่ จนศิษย์อัจฉริยะหลายคนต่างเรียกมันว่า ป่าแห่ง “ฝันร้าย” ในสายตาของฉินอวี่ มันก็เป็เหมือนแค่สวนในลานบ้านทั่วๆ ไป หากได้ยืมมือคนอื่นลงมือ ฉินอวี่ก็จะใช้จังหวะนั้นมุ่งตรงไปยังหอคอยเทียนกัง
มีเพียงสามร้อยอันดับแรกเท่านั้น ในตอนนี้คิดว่าคงมีคนจำนวนไม่น้อยที่ไปถึงด่านทดสอบจิตใจของด่านทดสอบที่หนึ่งแล้ว ฉินอวี่จึงต้องเร่งความเร็วขึ้นอีก
สามวันต่อมา
ฉินอวี่สามารถข้ามผ่านป่าไปได้โดยไม่มีการาเ็ เมื่อพบกับเส้นทางสายใหญ่ที่ทอดตรงไปเบื้องหน้าที่โหมวชิงเฟิงเคยกล่าวไว้ ก็จะเป็ด่านจิตใจในการทดสอบด่านที่หนึ่งแล้ว
หลังจากมาถึง ฉินอวี่ก็ยังไม่รีบร้อนที่จะเข้าร่วมในด่านทดสอบจิตใจ เมื่อยืนอยู่รอบนอกของป่าแห่งนี้ และกวาดสายตามองูเาั์อันกว้างใหญ่ลูกนี้อย่างละเอียด ไม่... หากจะพูดให้ถูกต้องเรียกมันว่าหอคอยั์อันกว้างใหญ่ และเป็เพราะหมอกหนาที่ปกคลุมอยู่ เมื่อมองจากระยะไกลจึงมองเห็นเป็ูเาลูกใหญ่ที่สูงตระหง่าน
นี่คงจะเป็หอคอยเทียนกังในตำนาน เป็เพราะยังคงอยู่ในระยะที่ไกลออกมา ฉินอวี่จึงมองไม่เห็นรูปลักษณ์ที่ชัดเจนของหอคอยเทียนกัง และยังคงมองเห็นได้เพียงโครงร่างของหอคอยเทียนกังเท่านั้น แต่เพียงเท่านี้ก็ยังทำให้ฉินอวี่ต้องใ เพราะทั้งหอคอยเทียนกังเป็เหมือนเสาั์ที่สูงค้ำ์ที่กำลังแบกรับผืนฟ้าดินเอาไว้
ด้านล่างของหอคอยเทียนกัง สามารถมองเห็นยอดเขาได้อย่างเลือนราง เมื่อดูให้ละเอียด จึงจะพบว่ามียอดเขาอยู่เจ็ดสิบสองแห่ง ซึ่งตรงกันกับจำนวนเจ็ดสิบสองอสูรธรณี
ระหว่างยอดเขาทั้งเจ็ดสิบสองยอดและผืนป่า มีเส้นทางสายใหญ่ขนาดกว้างร้อยจ้างอยู่สายหนึ่งที่เชื่อมต่อระหว่างผืนป่าและยอดเขา
บนเส้นทางสายใหญ่นี้ มีคนจำนวนนับพันคนที่กำลังพยายามอย่างหนักหน่วงเพื่อก้าวออกไปเบื้องหน้า สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่ต้องเหลือบมองอยู่หลายหนคือ ผู้คนเหล่านี้ต่างมีความเชื่องช้า และมีระยะห่างออกไปเพียงไม่ถึงร้อยจ้าง และมีเพียงสิบกว่าคนเท่านั้นที่ห่างออกไปไกลกว่าสองสามร้อยจ้าง และมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ไปไกลได้เกินกว่าพันจ้างแล้ว แต่เส้นทางสายนี้มีความยาวเป็ระยะกว่าหมื่นจ้าง ดังนั้น ฉินอวี่จึงไม่รีบร้อน
เมื่อมองไปรอบๆ ฝูงชนที่อยู่เบื้องหน้า ฉินอวี่ต้องขมวดคิ้วทันที เขายังไม่พบกับโหมวชิงเฟิง เพียงแต่ เมื่อลองคิดดูก็นึกได้ ว่าตนเองมาถึงที่นี่ได้ในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้ก็เพราะอาศัยพลังปราณหยาจื้อ หากไม่มีอะไรผิดพลาดกับโหมวชิงเฟิง อย่างน้อยที่สุดเขาจะต้องมาถึงที่นี่ด้วยระยะเวลามากกว่าครึ่งเดือน
เพียงแต่ หากดูจากความเร็วของคนเหล่านี้ แม้ว่าโหมวชิงเฟิงจะสามารถผ่านการทดสอบด่านจิตใจไปได้ ก็เกรงว่าเขาคงไม่มีสิทธิ์ได้เข้าเป็เจ็ดสิบสองอสูรธรณี เนื่องจาก จะมีเพียงคนที่ผ่านด่านจิตใจในสามร้อยคนแรกเท่านั้นที่จะได้รับสิทธิ์นั้น
“ไม่ได้การแล้ว!” ฉินอวี่หันกลับไปมองผืนป่าทางด้านหลัง และพึมพำขึ้นทันที เขานึกถึงภาพที่โหมวชิงเฟิงคุกเข่าลงกับพื้น ในใจของฉินอวี่เริ่มจะทนไม่ไหว แม้ว่าเขาจะเพิ่งรู้จักกับโหมวชิงเฟิง แต่ด้วยนิสัยของโหมวชิงเฟิงทำให้ฉินอวี่ชื่นชม และจดจำได้เป็อย่างดี ผนวกกับคำพูดประโยคนั้นก่อนที่โหมวชิงเฟิงจะจากไป ทำให้ฉินอวี่รู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก แม้ว่าตนเองจะไม่้าความช่วยเหลือจากโหมวชิงเฟิง แต่ด้วยเจตนาของเขา ฉินอวี่ก็ตัดสินใจได้ทันที หากคนเองต้องพบกับความวุ่นวายใด โหมวชิงเฟิงจะต้องยื่นมือเข้ามาอย่างแน่นอน
“หรือควรจะทำอะไรให้กับเขาบ้าง?” ฉินอวี่พูดอยู่ในใจ หากไม่ใช่เพราะตนเอง โหมวชิงเฟิงก็คงไม่ต้องถูกกักตัวอยู่ถึงห้าวัน การเป็เจ็ดสิบสองอสูรธรณีเป็ความปรารถนาสุดท้ายของแม่ของนาง... ฉินอวี่จึงไม่อยากให้ความผิดพลาดจากตนเอง ทำให้โหมวชิงเฟิงต้องมีความเสียใจไปตลอดชีวิต
“ช่างเถอะ! ถือว่าเป็การตอบแทนคำพูดที่จริงใจของเ้าก็แล้วกัน!” ฉินอวี่พูดขึ้นในใจ ในขณะที่เขากำลังเตรียมตัวเข้าสู่ด่านจิตใจนั้น เขาก็ชำเลืองสายตามองไปยังผืนป่าทางด้านหลังอีกครั้ง แต่ยังคงไม่เห็นเงาร่างของโหมวชิงเฟิง แต่ฉินอวี่กลับมองเห็นคนที่คุ้นเคยคนหนึ่ง นั่นก็คือเหล่าเอ้อหยางซาน
เสื้อผ้าของหยางซานดูขาดรุ่งริ่ง ราวกับผ่านสนามรบอันขมขื่นมา เขาไม่ทันสังเกตเห็นฉินอวี่ และมองไปทางหนทางขนาดใหญ่นั้น และเมื่อได้เห็นจำนวนผู้คนบนเส้นทางสายนั้น ใบหน้าของเขาก็เผยความวิตกกังวลขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
ตามแผนที่วางไว้ เขาควรจะมาถึงที่นี่ั้แ่สามวันก่อน ถึงอย่างไร ในอดีตเขาก็เคยเป็หนึ่งในเจ็ดสิบสองอสูรธรณีมาก่อน เขาจึงค่อนข้างชำนาญในพื้นที่แห่งนี้ แม้ว่าครั้งก่อนเขาจะถูกคนแทนที่ตำแหน่ง แต่สิ่งนี้ก็ทำให้หยางซานรู้สึกไม่พอใจอยู่ในใจ อีกทั้ง หากไม่สามารถกลับไปเป็หนึ่งในอสูรธรณีได้ในครั้งนี้ เช่นนั้นแล้วตลอดชีวิตนี้เขาคงไม่มีวาสนาได้เป็สามสิบหกขุนพล์อีกแล้ว
ถึงแม้ว่าหยางซานเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าโอกาสที่จะผ่านด่านหอคอยเทียนกังนั้นมีน้อยมาก แต่เขาก็อยากจะลองดูสักครั้ง ยิ่งไปกว่านั้น... ในฐานะที่เขาเคยเป็เจ็ดสิบสองอสูรธรณีมาก่อน เขาย่อมรู้ถึงสิ่งวิเศษของหอคอยเทียนกังเป็อย่างดี หรืออาจพูดได้ว่า ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้เป็เจ็ดสิบสองอสูรธรณี เป้าหมายสุดท้ายของทุกคนล้วนเป็หอคอยเทียนกัง อย่างไรก็ตาม แม่ว่าจะไม่ผ่านการทดสอบ ก็คงได้สิ่งวิเศษมาไม่น้อย
แต่ในตอนนี้ ทุกอย่างต่างไปจากที่เขาคิดไว้โดยสิ้นเชิง มองไปยังคนนับพันที่อยู่ตรงหน้า ในใจของหยางซานเต็มไปด้วยความกังวล ในขณะที่เขากำลังจะเข้าสู่ด่านจิตใจนั้น กลับรู้สึกถึงสายตาของฉินอวี่ เขาไม่คิดอะไรมาก และเดินตามมาทันที จนทำให้หยางซานต้องตกตะลึง
“เหล่าเอ้อ เป็อย่างไรบ้าง!” ฉินอวี่พูดอย่างเฉยเมย
ร่างกายของหยางซานสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ม่านตาหดลงอย่างรวดเร็ว จ้องมองฉินอวี่อย่างตกตะลึง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความใและเหลือเชื่อ... หลังจากนิ่งอยู่นาน หยางซานจึงมีสติกลับมา และพูดอย่างสั่นเครือ “เหลา... เหลาอู่?”
ฉินอวี่พยักหน้าเล็กน้อย
เมื่อได้รับการตอบรับจากฉินอวี่ ในใจของหยางซานก็ใอย่างพูดไม่ออก นับั้แ่จากเมืองเทียนโหมวชั้นในมา ทุกสิ่งที่เขาได้พบเจอเหมือนกำลังฝันไป นอกจากนี้ยังสามารถกล่าวได้ว่าได้ทำลายความรู้ความเข้าใจของหยางซานไปจนหมดสิ้น
พูดตามตรง นับั้แ่เริ่ม หยางซานมักจะดูถูกฉินอวี่มาโดยตลอด แม้ว่าฉินอวี่จะรับพลังหมัดของตนเองมาแล้ว แต่หยางซานก็มั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะฉินอวี่ได้ ดังนั้น เขาจึงไม่เคยนำมาใส่ใจเลย และั้แ่ออกมาจากจวน ท่าทีของสยงถูและหลิงซวีต่างทำให้หยางซานต้องตกตะลึง และเมื่อได้รู้ว่าฉินอวี่คือศิษย์ของผู้เฒ่าร้องไห้ นั่นคือครั้งแรกที่หยางซานต้องใจนตัวสั่น
เวลาถัดมา เมื่อได้เห็นกับตาตนเองว่าฉินอวี่สามารถเดินเข้าใกล้ผนึกว่ายเซี่ยในรัศมีสองจ้างได้ หยางซานก็ตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก ในตอนนั้น หยางซานรู้สึกเหมือนตนเองกำลังฝันไป และเมื่อเป็เช่นนั้น เขาจึงไปร่วมงานเลี้ยงด้วยท่าทางมึนงง แต่ในงานเลี้ยง... ฉินอวี่กลับไม่เกรงกลัวต่อตระกูลเหลยของตี้หวัง กล้าทำการเดิมพันกับอัจฉริยะจากผู้ทรงอำนาจของแดนต้าโหมวเทียนนับพันคน และในตอนนั้น ความใจกว้างของฉินอวี่ ความเชื่อมั่นในตนเองและเย่อหยิ่งของฉินอวี่ทำให้หยางซานชื่นชมยิ่งนัก
เดิมทีคิดว่า ฉินอวี่จะต้องเผชิญกับสถานการณ์อันตรายที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน ซึ่งอาจจะทำให้ผู้เฒ่าร้องไห้ถึงขั้นล้มละลายได้ แต่กลับนึกไม่ถึงว่า ฉินอวี่จะมีชีวิตอยู่มายืนอยู่ตรงหน้าตนเอง และปรากฏตัวอยู่ที่ขอบของด่านจิตใจ
อย่างไรก็ตาม หยางซานเห็นมาด้วยตาตนเองเช่นกันว่าพวกเหลยเฉียนหลงได้วางข่ายธรณีเทียนหลัวเอาไว้ และเดิมทีคิดว่าฉินอวี่คงจะเข้าร่วมการท้าประลองครั้งถัดไป หรืออาจจะเป็ครั้งถัดไป แต่กลับนึกไม่ถึงว่า... ฉินอวี่จะมีความกล้าถึงขนาดนี้ เป็เพียงแค่ขั้นกุมารทิพย์แต่กลับกล้าจะเข้าร่วมการท้าประลอง... ยิ่งไปกว่านั้น ยังมายืนอยู่เบื้องหน้าตนเองที่หน้าด่านจิตใจ
เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาของฉินอวี่ หยางซานก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะพูดว่า “นึกไม่ถึงว่าเ้าจะมาเข้าร่วมการท้าประลองครั้งนี้...”
“เหอๆ เหล่าเอ้อ ด่านจิตใจนี่มันเป็อย่างไรกัน?” ฉินอวี่พูดอย่างเฉยเมย และถามออกมาโดยตรง ตนเองและหยางซาน ไม่ใช่แม้เพื่อนธรรมดาทั่วไปด้วยซ้ำ เพราะอยู่ในจวนเดียวกัน จึงถูกเรียกว่าเหลาอู่ เพียงแต่ ฉินอวี่ก็ไม่ได้ถือสาอะไร ท้ายที่สุด ก็ยังเป็การดีที่จะมีเพื่อนเพิ่มอีกสองสามคนในแดนต้าโหมวเทียน
หยางซานสูดลมหายใจลึกๆ มองไปทางด่านจิตใจ และพูดว่า “ด่านจิตใจไม่ได้ทดสอบเพียงจิตใจ แต่โดยส่วนมากจะเป็พละกำลังและความพากเพียร บางทีอาจพูดได้ว่า... เป็การทดสอบที่อยู่บนพื้นฐานของการทดสอบพละกำลังและการทดสอบจิตใจ เป็เพราะเมื่อเข้าสู่เส้นทางขนาดใหญ่ตรงเบื้องหน้า จะต้องแบกรับการกดขี่ที่มหาศาล และพลังที่กดขี่เช่นนี้ ยิ่งมุ่งหน้าเข้าไปเท่าไร ก็จะยิ่งรุนแรงขึ้น ท้ายที่สุด มันก็จะยากต่อการเคลื่อนไหว และเมื่อถึงเวลานั้น ก็คงเหลือแต่เพียงความทรมาน”
“เพียงแต่ ยิ่งจิตใจอยู่ระดับสูง การรับความกดดันก็จะยิ่งน้อยลง การมุ่งไปข้างหน้าก็จะยิ่งเร็วขึ้น ว่ากันว่า ผู้ที่รวดเร็วที่สุดจะสามารถผ่านการทดสอบด้วยเวลาเพียงหนึ่งชั่วยาม ในตอนนั้น ข้าใช้เวลาเกือบหนึ่งเดือนจึงจะผ่านด่านจิตใจมาได้ เพียงแต่ นั่นเป็เพราะสาเหตุจากสามสิบหกขุนพล์ แต่ผู้เข้าร่วมการท้าประลองเจ็ดสิบสองอสูรธรณีมีจำนวนมากยิ่งนัก ในจำนวนนั้น ยังมีคนจำนวนมากที่ปกปิดตนเองไม่ให้รู้ว่าเป็ศิษย์อัจฉริยะ” หยางซานดูเหมือนจะพูดทุกอย่างที่รู้ให้ฟัง
ฉินอวี่พยักหน้า สายตามองไปยังคนจำนวนหนึ่งทางเบื้องหน้าบนเส้นทางขนาดใหญ่ คนเหล่านี้ ฉินอวี่ไม่เคยพบเจอมาก่อน หรืออาจพูดได้ว่า พวกเขาไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยง บางทีพวกเขาอาจมีสถานะที่ไม่สูงมากนัก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพละกำลังของพวกเขาจะต้อยต่ำ โดยเฉพาะคนที่อยู่ตรงหน้าสุด ซึ่งอยู่ในชุดที่ดูธรรมดา แต่กลับอยู่นำหน้าไกลไปถึงสองพันจ้าง หากไม่มีอะไรผิดพลาด เขาอาจกลายเป็คนแรกที่ผ่านด่านจิตใจในครั้งนี้
“เวลาใกล้เข้ามาแล้ว พวกเราไปร่วมการทดสอบก่อนเถอะ” ฉินอวี่พูดอย่างเฉยเมย พูดจบ เขาก็ก้าวเท้าออกไป ก้าวลงสู่เส้นทางขนาดใหญ่นั้นทันที
ทันทีที่เท้าขวาย่ำลงบนพื้น ฉินอวี่ก็รู้สึกได้ถึงพลังที่อธิบายไม่ได้กำลังไหลเข้าสู่ร่างกาย ความรู้สึกกดดันเล็กน้อยได้เข้าปกคลุมจิตใจของเขา แต่ฉินอวี่กลับรู้สึกเหมือนมันไม่มีอยู่เลย หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ฉินอวี่ก็ย่างเท้าต่อไปอย่างไม่ลังเล ก้าวออกไปอีกหนึ่งก้าวก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาวิ่งไปอย่างบ้าคลั่ง
หยางซานที่กำลังจะเตรียมตามฉินอวี่ไป ก็ใขึ้นมาทันทีเมื่อมองเห็นความเร็วอันบ้าคลั่งของฉินอวี่
