มือของหรงจ้านคล่องแคล่วมาก นิ้วเรียวพลิกไปพลิกมาอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าก็ถักกระต่ายน้อยน่ารักตัวหนึ่งให้เฉียวเยว่เสร็จ เขาวางกระต่ายน้อยที่ถักเสร็จแล้วบนฝ่ามือ ก่อนจะยื่นส่งให้นาง "สวยหรือไม่?"
เฉียวเยว่พยักหน้าด้วยความตื่นเต้นดีใจ "สวยเ้าค่ะ มันดูเหมือนของจริงมากเลย"
สามารถทำออกมาได้สวยขนาดนี้ น่าอิจฉาจริงๆ
เฉียวเยว่เข้ามาตรงหน้าเข้า "สอนข้าหน่อยสิ"
หรงจ้านส่ายหน้าปฏิเสธ "ไม่ได้ ใบหลิวค่อนข้างแข็ง เ้าดูมือของตนเอง ทั้งขาวทั้งบอบบาง หากาเ็จะทำอย่างไร"
เฉียวเยว่ยู่ปากน้อยๆ "แต่ข้าอยากทำเองนี่ อีกอย่างข้าก็อยากได้กระต่ายเยอะๆ ด้วย ข้า..."
เฉียวเยว่ยังพูดไม่จบ หรงจ้านก็แทรกขึ้นมา "เ้าอยากได้เมื่อไร ก็พูดจาไพเราะขอข้าดีๆ ข้าจะส่งไปให้"
พูดจบก็ยักคิ้วขึ้นอย่างลำพองใจเล็กๆ
เชอะ ดูสิ แก่แล้วยังทำตัวเป็เด็กไปได้ เฉียวเยว่นึกค่อนแคะ พลางทำเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจ "ท่านทำเช่นนี้ไม่ดีอย่างยิ่ง ข้าไม่พูดดีๆ กับท่านหรอก ไปขอพี่จื้อรุ่ยก็ได้"
เฉียวเยว่ยกมือประคองดวงหน้ายิ้มสดใส "พี่จื้อรุ่ยก็ทำเป็ เขาทำเป็หลายอย่างเลยด้วย"
ก่อนหน้าที่นางจะสอบเข้าสำนักศึกษาสตรี ิ่จื้อรุ่ยใช้ของสิ่งนี้มาให้กำลังใจนางเสมอ นึกแล้วก็อดยิ้มไม่ได้
ท่าทางของนางขัดตาหรงจ้านอย่างยิ่ง เห็นแล้วหงุดหงิด
เขาแค่นเสียงหึ โยนใบหลิวในมือลงที่พื้น "เช่นนั้นเ้าก็ไปเล่นกับพี่จื้อรุ่ยของเ้าเถอะ" ก่อนหมุนตัวเข้าห้องไป
เฉียวเยว่มองเหตุการณ์อย่างตะลึงลาน เขาแน่ใจหรือว่าตนเองอายุยี่สิบกว่า ไม่ใช่สิบสอง เหตุใดทำตัวเด็กเยี่ยงนี้เล่า เด็กหนอเด็กน้อย งอนเก่งเสียด้วย!
ฉีอันมองอยู่ข้างๆ มาพักใหญ่ มีบางส่วนที่เข้าใจ แต่ก็มีบางส่วนที่ไม่เข้าใจ
"คือว่า..." เขาเอ่ยปาก
แต่ยังไม่ทันเข้าประโยค ก็ได้ยินเสียงแอ๊ด หรงจ้านเปิดประตูออกมาอีกครั้ง พร้อมกับเอ่ยว่า "ข้าได้รับการศึกษามาดี ไม่ถือสาคนธรรมดาอย่างเ้า"
เฉียวเยว่ หา? ท่านหมายความว่าอย่างไร?
สีหน้าของเฉียวเยว่เต็มไปด้วยความงุนงง
หรงจ้านกลับมาอยู่ตำแหน่งเดิมของตนเอง "มา ข้าจะถักกระต่ายให้ เ้าจะได้เปิดหูเปิดตากับร้อยแปดวิธีถักกระต่ายให้ไม่ซ้ำ"
เฉียวเยว่ "..."
นางหันไปมองฉีอันอย่างเงียบเชียบ ฉีอันแบมือยักไหล่บอก 'สาวน้อย ข้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน'
ต้องบอกว่านี่คือชายหนุ่มประหลาดที่มีความทะนงในศักดิ์ศรีอยู่เพียงส่วนเดียวจริงๆ
"ิ่จื้อรุ่ยต้องทำไม่ได้มากขนาดนี้แน่" หรงจ้านยิ้มน้อยๆ แล้วเริ่มลงมือทำ
เฉียวเยว่หันไปมองฉีอันอีกครา ฉีอันรับคำไหว้วานจากท่านลุงให้มาเฝ้าจับตาดูทั้งสองคนอย่าให้ทำอะไรเกินขอบเขตความเหมาะสม แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่าท่านลุงของเขาย้ำคิดย้ำทำเกินไป
เกินขอบเขตอะไรกัน เหอะๆๆ
คนแปลกพิสดารเช่นนี้ไม่มีทางทำเื่ผิดทำนองคลองธรรมอยู่แล้ว
ถึงตอนเที่ยงฝนก็เริ่มเทลงมาไม่ผิดจากที่คาดไว้ เฉียวเยว่เกาะขอบหน้าต่างมองกระต่ายน้อยที่กองเต็มพื้นพลางยิ้มแป้น "จู่ๆ ข้าก็รู้สึกเหมือนอยู่ในโพรงกระต่าย ไม่รู้ว่าที่บ้านเป็อย่างไรบ้าง"
"ชักคิดถึงบ้านขึ้นมาแล้วสิ" เฉียวเยว่บ่นเสียงเบา
เดิมทีอาจารย์ฉีเพียงแค่แวะมาดูหลานสาวตัวน้อยของตน แต่กลับได้ยินนางพึมพำว่าคิดถึงบ้านพอดี
หลังนิ่งคิดอยู่สักพัก ก็ไม่เข้าประตูไป แต่หันหลังกลับไปห้องของฉีจือโจว
เย็นวันนั้น เฉียวเยว่เบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ "กลับวันมะรืน?"
ฉีจือโจวอมยิ้ม "ใช่ พวกเรากลับก่อนล่วงหน้าสามวัน เ้าเห็นเป็อย่างไร?"
เฉียวเยว่อย่างไรก็ได้อยู่แล้ว นางพยักหน้า "ดีเ้าค่ะ แต่เหตุใดถึงกลับก่อนกำหนดเล่า ท่านลุงติดงานราชการหรือ?"
ฉีจือโจวพยักหน้า "ใช่ ที่เมืองหลวงมีเื่นิดหน่อย"
แท้จริงแล้วเขาแค่รับสมอ้างไปอย่างนั้นเอง ไม่มีสิ่งใดที่หาคนทำแทนไม่ได้ จุดนี้ฉีจือโจวย่อมรู้อยู่แก่ใจ แต่เมื่อหลานสาวคิดถึงบ้าน เขาย่อมจะไม่รั้งรอให้ครบจำนวนวันค่อยกลับ
"ข้าว่ารอให้ท้องฟ้าสดใสขึ้นอีกหน่อย พรุ่งนี้จะพาเ้าไปเก็บเห็ดหลังเขา อีกสองวันค่อยกลับดีหรือไม่?"
เฉียวเยว่รีบพยักหน้ายิ้มออกทันที "เช่นนี้ย่อมดีที่สุด อันที่จริงข้าก็เริ่มคิดถึงท่านแม่แล้วเหมือนกัน"
หลังจากฝนตกต่อเนื่องมาสองวัน ในที่สุดเช้าวันนี้อากาศก็ดีขึ้นมาก เฉียวเยว่แต่งตัวเรียบง่ายและรัดกุมเหมาะแก่การปีนเขา เนื่องจากมีลมแรง เหมาะกับการสวมหมวก นางจึงใช้มงกุฎดอกไม้ที่หรงจ้านทำให้เมื่อวานครอบทับบนขอบหมวก แล้วหิ้วตะกร้าใบเล็ก ดูคล้ายคลึงสาวน้อยขายดอกไม้ที่แสนจะน่ารัก
วันนี้เสื้อผ้าของทุกคนล้วนเรียบง่าย หากถามว่ามีใครเป็ข้อยกเว้น ก็คงจะเป็หรงจ้าน แม้จะเป็เวลาเช่นนี้ เขาก็ยังแต่งตัวเป็คุณชายผู้ลากมากดี อาภรณ์สีเขียวเข้ม ถือพัดขนนกโพกผ้าคลุมศีรษะ ดูขัดกับสถานที่อย่างบอกไม่ถูก
"ไม่ว่าจะไปที่ไหนไยต้องทำตัวเหมือนนกยูงรำแพนอยู่เสมอก็ไม่รู้" เฉียวเยว่ค่อนแคะ
ประโยคนี้หาใช่คำพูดที่ดีนัก
แต่หรงจ้านเพียงมองนางปราดหนึ่ง ทว่าไม่ถือสาอะไร เฉียวเยว่รู้สึกว่าหรงจ้านดูเหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นแล้ว
เขามองเฉียวเยว่ครั้งแล้วครั้งเล่า
จนรู้สึกว่าตนเองชักอาการหนักขึ้นทุกวัน กลับเมืองหลวงเร็วขึ้นหน่อย... ก็ดีเหมือนกัน จะได้ให้หมอหลวงมาตรวจดูอาการ หากปล่อยให้เรื้อรังอาจกลายเป็เื่ใหญ่ได้
เขาป่วยด้วยโรคประหลาดที่มีชื่อเรียกว่า 'มองเ้าแล้วตื่นเต้นใจสั่น ให้ตายก็ไม่อยากละสายตา'
หรงจ้านเม้มปาก แม้สีหน้าจะยังคงเรียบเฉย แต่แท้จริงหัวใจกลับเต้นระรัวไปหนึ่งร้อยแปดสิบรอบแล้ว ตอนนี้เขาอยากรู้เป็อย่างยิ่ง ที่ตนเองเป็เช่นนี้เพราะสาเหตุใดกันแน่
"ตาของท่านจะไปแปะบนตัวของพี่สาวข้าแล้ว" ฉีอันเตือนหรงจ้านด้วยความหวังดี มิเช่นนั้นเดี๋ยวท่านลุงของเขาจะโมโหขึ้นมาอีก
จะว่าไป ท่านลุงของเขาก็ไม่ใช่ย่อย ขนาดออกมาข้างนอกยังต้องเฝ้าจับตามอง อย่าให้ผู้อื่นมาเกาะแกะพี่สาวของเขา แต่พูดตามตรง ดูจากสถานการณ์แล้ว เขาวิตกเกินไปหรือเปล่า?
ฉีอันตัดสินใจเงียบๆ
ขณะที่ทุกคนกำลังคิดฟุ้งซ่าน ฉีจือโจวก็ออกมาจากห้อง "เอาล่ะ พวกเราไปกันเถอะ"
แท้จริงแล้วพวกเขาก็ไม่ค่อยรู้จักเห็ดอะไรเท่าไร มีพิษหรือไม่ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง สะใภ้หวังเป็คนนำทาง นางเดินไปก็พูดไปเรื่อยๆ "ข้าจะบอกพวกท่านก่อน หากพบเห็ดที่มีสีสันสวยงามเหมือนดอกไม้ต้องเลี่ยงไว้ก่อน ปรกติแล้วเห็ดพวกนี้มักมีพิษ"
พอเดินไปได้สองสามก้าว ก็พูดต่อ "พวกท่านดูเห็ดชนิดนี้ ถึงจะดูน่าเกลียด ไม่น่ามองเท่าไร ลักษณะยิ่งไม่แปลกตา แบบนี้ส่วนใหญ่จะไม่มีปัญหา เวลาเพียงน้อยนิดคงจะสอนพวกท่านได้ไม่เท่าไร แต่ไม่เป็ไร ถ้าพวกท่านไม่แน่ใจก็เรียกข้า ถึงอย่างไรข้าก็อยู่ด้วย ฝนเพิ่งหยุดตก คนไปเก็บเห็ดบนูเามีมาก พวกท่านจะถามคนอื่นๆ ก็ได้เหมือนกัน พวกเขาล้วนเป็ชาวนาชาวไร่ จิตใจดีกันทุกคน"
เฉียวเยว่รับคำ จะว่าไปคนที่นี่ก็ดูใจดีจริงๆ เหมือนจะเข้ากับคนง่ายเป็พิเศษ
"พวกเราทราบแล้ว" นางตอบ
สะใภ้หวังยกยิ้มน้อยๆ "ที่จริงถึงเด็ดถูกเห็ดพิษก็ไม่เป็ไร กลับไปข้าจะช่วยพวกท่านตรวจสอบอีกครา พวกท่านจะต้องได้เห็ดดีสดใหม่กลับไปอย่างแน่นอน"
"เอาล่ะ ทุกคนแยกย้ายกันไปเก็บเห็ดเถอะ แต่อย่าไปทางตะวันตก ทางนั้นมีตาข่ายกั้นอยู่ เป็เส้นแบ่งเขตแดน หากเข้าไปทางตะวันตกจะไม่ปลอดภัย อาจพบกับสัตว์ร้าย ปรกติแล้วจะมีเฉพาะนายพรานในหมู่บ้านถึงจะไปทางนั้น พวกเราเก็บเห็ดแถวนี้ก็พอ อย่าโลภมาก" สะใภ้หวังมีความรับผิดชอบสูงยิ่ง
ทุกคนต่างรับคำ แม้ว่าสะใภ้หวังจะบอกว่าแยกย้ายกันไปได้ แต่ทุกคนก็หาได้ทำเช่นนั้น
เฉียวเยว่ฮัมเพลงเบาๆ "สาวน้อยผู้เก็บเห็ด สะพายกระบุงไม้ไผ่ขึ้นหลัง ยามอรุณเบิกฟ้า เท้าเล็กจ้อยเปลือยเปล่าเดินย่ำไปทั่วป่าเขาลำเนาไพร..." นางเดินไปก็ร้องไป เสียงใสกังวาน
หรงจ้านมองเฉียวเยว่ตาค้าง รู้สึกว่าโรคเก่าของตนเองกำเริบอีกแล้ว
ทั้งดวงตาและดวงใจของเขาล้วนมีแต่เฉียวเยว่ แต่เ้าตัวกลับไม่รู้สึกแม้แต่น้อย
นางมองหาใต้ต้นไม้ทีละต้น คาดหวังอยู่เงียบๆ ว่าจะเด็ดเห็ดกลับไปเยอะๆ ฮิฮิ นางจะได้กลับเมืองหลวงแล้ว
แม้จะบอกว่าออกมาจับปูแม่น้ำ แต่ไม่อาจเอาแต่ปูกลับไป
เฉียวเยว่รู้สึกว่าเห็ดที่นางเด็ดด้วยตนเองคือของขวัญที่ดีที่สุด
"เฉียวเฉียว เ้ามองทางหน่อย เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าเ้าเหมือนคนตาบอดเลยเล่า"
ฉีอันใจคอแห้งเหี่ยว ตกลงว่านางเป็พี่สาวหรือน้องสาวกันแน่ จะว่าไป์ก็ช่างเล่นตลก ให้เขาเป็พี่ชายดีกว่าเป็ไหนๆ เหตุใดต้องให้เฉียวเยว่มาเกิดก่อนด้วย นิสัยป้ำๆ เป๋อๆ มึนๆ งงๆ ของนางสมควรเป็น้องสาวมากกว่าชัดๆ ช่างน่าเศร้าเสียจริง!
เฉียวเยว่หัวเราะคิกคัก ก่อนตอบกลับไป "รู้แล้ว ไม่เป็ไรหรอก ข้ารู้จักประเมินตนหรอกน่ะ"
พูดยังไม่ทันขาดคำ นางก็เหมือนถูก์ตบหน้า ใต้ฝ่าเท้าลื่นพรืด ไถลลงไปบนทางลาดเนินเขา
ขณะที่ฉีอันคิดจะดึงนางไว้ ก็เห็นเงาร่างหนึ่งทะยานออกไปแล้ว
หรงจ้านกระโจนออกไปรับตัวเฉียวเยว่ ขณะเดียวกันก็ยิงตะขอเชือกโลหะจากข้อมือไปพันกับต้นไม้ที่อยู่ใกล้ๆ เขากอดเฉียวเยว่ไว้ ก่อนจะเหวี่ยงตัวกลับมาบนพื้นราบ
เฉียวเยว่ขวัญหนีดีฝ่อกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นางมึนงงแข็งทื่อไปทั้งตัว ซบอยู่ในอ้อมแขนของหรงจ้าน ริมฝีปากซีด พูดอะไรไม่ออก
หรงจ้านปลอบนาง "ไม่เป็ไรแล้ว ไม่เป็ไรแล้ว อย่ากลัว คนดี ไม่ต้องกลัว"
เฉียวเยว่กอดคอหรงจ้านไว้แน่น "ข้าใจะตายอยู่แล้ว"
สถานการณ์เกิดขึ้นกะทันหัน ฉีจือโจวย่อมสังเกตเห็น แต่ตำแหน่งที่เขายืนอยู่ไกลเกินไป กว่าเขาจะขยับ หรงจ้านก็ดึงคนขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว
พอเห็นเฉียวเยว่กอดคอหรงจ้าน ก็รู้สึกว่าสถานการณ์เช่นนี้ไม่ดีอย่างยิ่ง
เพียงแต่เด็กกำลังใกลัว ย่อมไม่ดีที่จะใช้ถ้อยคำรุนแรง จึงได้แต่เม้มปาก อดกลั้นไว้
แต่ไม่นานหลังจากนั้น เฉียวเยว่ก็สงบจิตใจของตนเองลงได้ นางปล่อยหรงจ้าน พรูลมหายใจออกอย่างโล่งอก บัดนี้รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว จึงเอ่ยว่า "ข้าต้องระวังให้มากกว่านี้ ที่นี่อันตรายจริงๆ"
หรงจ้านพยักหน้าเห็นด้วย
สะใภ้หวังใจนขวัญหนีดีฝ่อ "ต้องระวัง ต้องระวังให้ดี หลังฝนตกพื้นเป็โคลนเฉอะแฉะ เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย จะประมาทเลินเล่อไม่ได้"
เฉียวเยว่พยักหน้า นางได้รับบทเรียนแล้ว จึงทำท่าทางจริงจังขึ้นมา
หรงจ้านมองดวงหน้าที่งดงามของเฉียวเยว่ นึกถึง่เวลาที่นางกอดตนเองเมื่อครู่
ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าตนเองเป็โรคอะไร
เขาก้มศีรษะ ใบหน้าไร้ความรู้สึก
เขา-เป็-โรค-ถวิล-หา
ดูเหมือนว่า... เขาจะชอบแม่หนูน้อยคนนี้เข้าแล้ว
มารดาเถอะ ตนเองวิปริตไปแล้วจริงๆ
นี่เป็ครั้งแรกในชีวิตที่หรงจ้านด่าตัวเองด้วยคำหยาบคาย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้