ในที่สุดเวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงวันพุธ
หยางเฉินตื่นขึ้นมาต้อนรับวันแห่งการเดินทางไปเจรจาทางธุรกิจอย่างซังกะตายในขณะที่ทานอาหารเช้าอยู่นั่น หลินรั่วซีที่ปกติจะพูดน้อยปากของเธอพร่ำบอกเขาเกี่ยวกับสิ่งที่เขาพึงกระทำเมื่อไปถึงที่นั่น อย่างง่ายๆสำหรับพวกคำพูดประเภท “เดินทางปลอดภัยนะคะ”หรือ “ทำให้ดีที่สุดนะคะ” ผู้หญิงปากหนักคนนี้คงไม่มีทางพูดอะไรแบบนั้นออกมาอย่างแน่นอน
เลขาประจำตัวของหลินรั่วซีอย่างอู๋เยวี่ยได้จัดเตรียมทุกอย่างเอาไว้ให้แล้ว ไม่ว่าจะเป็ตั๋วเครื่องบิน หรือเอกสารต่างๆ พวกเขาจะไปถึงฮ่องกงราวๆเที่ยง และคนจากบริษัทฮ่องกงมู่หยุนจะมารับพวกเขา
สำหรับเฉิงซินหลิน หลังจากพบว่าหลินรั่วซีไม่ได้เดินทางไปทริปนี้เขาเลยส่ง รองประธานกรรมการบริษัทฉางหลิน มีเดีย ชื่ออู๋เต๋า ไปแทน และยังบอกอีกว่าเขาเชื่อมั่นในตัวพวกเรา นั่นทำให้หยางเฉินมันเขี้ยวขึ้นมาทันใด
ไอ้รุ่นพี่คนนี้มาเพื่อต่อต้านฉันอย่างชัดเจนเขาจะตามหลินรั่วซีไปทุกที่อย่างงั้นหรือ?
อย่างไรก็ตาม หยางเฉินไม่ใช่ซีอีโอดังนั้นเขาไม่กล้าไปบอกรั่วซีว่าเขาตัดสินใจจะไม่ไปในวินาทีสุดท้าย มิฉะนั้นเธอคงยิงเขาตายด้วยก้อนน้ำแข็งและใช้สายตาที่มองทะลุไปถึงกระดูกจ้องมองมาที่เขาจากนั้นเธออาจจะแช่แข็งคนอื่นให้ตายด้วยสายตานั่น
เพราะฉะนั้นเขาก็ทำได้เพียงเดินหน้ามุ่งสู่สนามรบนี้สหายท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า ไม่มีผู้ชายกลัวเมียบนโลกใบนี้หรอกมีแต่ผู้ชายรักเมีย
หยางเฉินรู้สึกว่าคำพูดพวกนี้เป็คำพูดปลอบใจตัวเองของผู้ชายกลัวเมีย...
หลังจากที่เขาจอดรถในลานจอดรถของสนามบินแล้ว หยางเฉินหยิบกระเป๋าเดินทางที่ทำจากหนังใบเล็กและเดินทางไปยังอาคารผู้โดยสารขาเข้า แสงสว่างจากธรรมชาติภายในเลานจ์ของสนามบินขนาดใหญ่ส่องสว่างทำให้หยางเฉินสามารถมองหาโม่เชี่ยนนีที่มาถึงก่อนได้อย่างง่ายดาย
โม่เชี่ยนนีแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสีชมพูหวานคลุมทับแจ็กเกตสีขาวและกระโปรงผ้ามัสลินปักลายด้วยด้ายสีขาวและฟ้า สวมรองเท้าสไตล์แมรี่เจนสีแดงเข้ากับขาเรียวสวยผมที่แต่เดิมยาวจนถึงสะโพกถูกตัดให้สั้นขึ้น และเธอสวมแว่นตากันแดดสีสว่างคู่โต
ถึงแม้ว่าใบหน้าของเธอถูกปกปิดไปกว่าครึ่งแต่เธอยังคงได้รับความสนใจจากสายตามากมายของหนุ่มๆ ภายในบริเวณจุดพักผู้โดยสารแม้แต่ผู้หญิงเองก็ยังมองไปที่เธอด้วยความอยากรู้ นี้ก็เป็อีกสาเหตุที่หยางเฉินสามารถจดจำเธอได้ั้แ่แว็บแรกที่เห็น
“หัวหน้าโม่ ทานข้าวมาหรือยังครับ?”หยางเฉินทักทายและเดินไปหาโม่เชี่ยนนี
โม่เชี่ยนนีหันขวับมามองเขา แต่การแสดงออกทางสายตาของเธอไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนนักเนื่องจากเฉดสีของแว่นบดบังเอาไว้ เธอเพียงพยักหน้าอย่างใจเย็นและไม่ได้กล่าวอะไรต่อ
หยางเฉินเห็นดังนั้นจึงลอบถอนหายใจออกมาดูเหมือนว่าโม่เชี่ยนนีจะวางตัวเ็ากับเขามากกว่าแต่ก่อน หลังจากหยุดคิดไปชั่วครู่หยางเฉินก็พบว่ามันไม่ใช่สไตล์ของโม่เชี่ยนนีที่จะเอาเื่ส่วนตัวมาปนกับงาน
ทันใดนั้นเอง ชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนเตี้ยก็เดินออกมาจากมุมหนึ่ง เขาสวมสูทสีเทาหมอง เนกไทสีแดงและยื่นมือออกมาทางหยางเฉิน
“คุณต้องเป็คุณหยางแน่ๆผมมาจากบริษัทฉางหลินมีเดียชื่ออู๋เต๋าครับ ผมกำลังรอคุณอยู่เลย”
หยางเฉินจับมือทักทายตามปกติ “ผมไม่ใช่เครื่องบินคุณจะมารอผมทำไมกัน?”
ได้ยินดังนั้นอู๋เต๋าก็อยากด่าบุพการีหยางเฉินออกมาสัก 2 -3 คำ แต่เขาก็ไม่ได้พูดมันออกมา
“คุณหยางช่างเป็คนที่ตรงไปตรงมาดีจริงๆผมหวังว่าพวกเราจะเข้ากันได้ดีตลอดการเดินทางไปฮ่องกงในครั้งนี้นะครับ”
โม่เชี่ยนนีขมวดคิ้วมองมาที่หยางเฉินอู๋เต๋านำเลขาสาวมาด้วยเช่นกัน รูปร่างหน้าตาของเธอนั้นธรรมดาทั่วไปแต่เธอก็มีเอวบางสมส่วนและมีก้นกลมกลึง
ยังมีเวลาเหลือเฟือก่อนจะขึ้นเครื่องทั้งสองคนกล่าวทักทายหยางเฉิน และเดินจากไปอีกทาง ท่าทางเหมือนมีเื่ต้องปรึกษาหารือกันหลังจากรอให้สองคนนั้นจากไป โม่เชี่ยนนีพูดกับหยางเฉินในทันทีด้วยน้ำเสียงเฉยชา
“นายไม่ควรพูดกับคุณอู๋เต๋าอย่างนั้นตอนนี้ฉางหลินมีเดียเป็พันธมิตรของเราแม้ว่านายจะไม่ชอบคนของเฉิงซินหลินเนื่องจากเหตุผลส่วนตัว นายก็ควรเก็บอาการไว้บ้าง”
หยางเฉินนั่งลงบนเก้าอี้โซฟา เขายิ้มและพูดขึ้นว่า “แบบที่คุณทำกับผมอย่างนั้นเหรอ?”
“ฉันไม่เข้าใจว่านายพูดถึงเื่อะไร”โม่เชี่ยนนีหันหน้าหนีอย่างรวดเร็ว
“ผมก็เป็แบบนี้แหละเราจะได้ร่วมงานกันหรือไม่ผมก็ไม่สนใจหรอก มันดีที่สุดแล้วถ้าคนแซ่เฉิงจะหายสาบสูญไปจากโลกนี้”
“แต่คนอื่นสนการร่วมมือในครั้งนี้มีผลต่อสถานะของเรา ไม่ว่าจะเป็อวี้เหล่ย ชางหลินหรือฮ่องกงมู่หยุน และแม้แต่โลกนี้ด้วย” โม่เชี่ยนนีพูดด้วยความไม่พอใจ
หยางเฉินพยักหน้า “นั่นก็ถูก คุณก็รู้นี่และผมก็รู้เช่นกันเฉิงซินหลินควรจะรู้ดียิ่งกว่าใคร ดังนั้นถึงแม้ว่าพวกเราจะต่อต้านเขาสักแค่ไหนสุดท้ายแล้วมันก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอะไรได้อยู่ดีอย่างไรซะผมก็เริ่มไม่พอใจผู้ชายที่แซ่เฉิงคนนั้นแล้วทำไมเขาทำตัวราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น? และถ้าผมปฏิบัติกับคนอื่นอย่างเป็กันเองพวกเขาจะคิดว่าผมหยาบคาย ใช่มั้ยคุณโม่?"
โม่เชี่ยนนีไม่พูดอะไรต่อไปอีกเธอคิดว่ามุมมองของหยางเฉินดูจะมีเหตุผลโดยธรรมดาเธอเป็คนที่ไม่แสดงออกถึงเื่พวกนี้อยู่แล้ว ดังนั้นเธอจึงแค่เยาะเย้ยและทำเป็ไม่สนใจหยางเฉิน
15 นาทีหลังจากนั้นอู๋เต๋าและเลขาของเขาก็เดินกลับมาอย่างช้าๆ ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเลขาสาวแดงระเรื่อดูเหมือนเธอเพิ่งฉีดน้ำหอมปริมาณมากบนร่างกาย เพราะกลิ่นค่อนข้างฉุน โม่เชี่ยนนีเคยชินกับภาพเหตุการณ์เหล่านี้เธอไม่ค่อยสนใจเื่พวกนี้สักเท่าไหร่
หยางเฉินเดินเข้าไปใกล้อู๋เต๋าเขายิ้มเ้าเล่ห์พลางกระซิบด้วยเสียงอันเบาว่า
“ประธานอู๋ ทำไมออกมาเร็วจังล่ะ?คุณนี่ไวเหมือนปืนกลเลยนะครับ”
อู๋เต๋ารู้สึกเหมือนโดนพูดแทงใจดำความทุกข์ใจฉายชัดบนใบหน้าของเขา
แต่ด้วยประสบการณ์ในการทำงานด้านธุรกิจมาหลายปีช่วยฝึกทักษะหน้ากากหมูให้เขาเป็ที่เรียบร้อย เฉิงซินหลินก็บอกเขาไว้ว่าอย่าไปงัดกับผู้ชายที่ชื่อหยางเฉินก่อนจะจบการเดินทางในครั้งนี้ดังนั้นเขาจึงหัวเราะขึ้นมาทันที และพูดว่า
“ผมจะไปแข็งแรงอย่างคุณหยางได้ยังไงล่ะ?ผมอายุขนาดนี้แล้ว”
เมื่อพวกเขาพูดคุยกันจบและต่างคนต่างแยกย้ายกันไปสักพักก่อนที่พวกเขาจะมารวมตัวอีกครั้งเนื่องจากได้ยินประกาศจากทางสนามบิน พวกเขาต้องผ่านด่านตรวจสอบความปลอดภัยและเข้าไปรอในห้องรับรองหลังจากนั้นอีกครึ่งชั่วโมง พวกเขาทั้งสี่คนก็เริ่มเดินขึ้นเครื่อง
หยางเฉินมองไปยังหมายเลขที่นั่งของโม่เชี่ยนนีเป็พิเศษแล้วก็เป็ไปตามที่เขาคาด ที่นั่งของเธออยู่ถัดไปทางด้านขวาของเขาเห็นดังนั้นแล้วเขาส่งยิ้มละไมให้กับเธอ ทางด้านโม่เชี่ยนนีเองก็มองมาเช่นกันเธอเพียงขยับริมฝีปากนิดหน่อยจากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
เนื่องจากเป็การเดินทางเพื่อคุยเื่ธุรกิจของบริษัทั์ใหญ่ตั๋วเครื่องบินทั้งหมดเป็ชั้นBusiness class ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องต่อคิวและเดินผ่านเข้าไปยังที่นั่งชั้น Business class ได้เลย
ขณะที่พวกเขากำลังจะถึงทางเข้าของตัวเครื่องพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินคนหนึ่ง สวมเครื่องแบบสีฟ้าแต่งแถบสีขาวก็โค้งคำนับและกล่าวต้อนรับด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานพวกเขามาแต่ไกล
หลังจากได้ยินเสียงของเธอหยางเฉินพบว่าเป็น้ำเสียงที่คุ้นหูเป็อย่างมากและเมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆ เขาถึงกับชะงักด้วยท่าทางไม่อยากเชื่อในขณะเดียวกันพนักงานต้อนรับแสนสวย ผู้ที่เพิ่งส่งยิ้มอบอุ่นมาให้เขาก็ชะงักตัวแข็งไปเหมือนกัน
ความไม่เชื่อสายตาปรากฏขึ้นมาภายในดวงตาคู่สวยจากนั้นความเขินอาย ความประหลาดใจปนความสุขเล็กๆ ก็เผยออกมาอีกหลายส่วนริมฝีปากสีชมพูนุ่มนวล ใบหน้าได้รูปกลายเป็สีแดงระเรื่อ
“อันซินเ้าหญิงตัวน้อยที่รักของฉัน เธอแต่งชุดคอสเพลย์อยู่ใช่มั้ยเนี่ย?”
หยางเฉินไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เมื่อพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้คือ อันซินผู้ที่มีค่ำคืนอันยุ่งเหยิงวุ่นวายร่วมกับเขาและยังได้พาเขาไปเที่ยวสถานีตำรวจด้วย หลังจากที่พวกเขาแยกกันไปคนละทางในวันนั้น เธอก็ไม่เคยติดต่อกลับมาหาเขาอีกเลย
ตอนแรกเขาคิดว่าคงจะไม่ได้เจอเธออีกเช่นเดียวกับผู้หญิงคนอื่นๆที่เข้ามาในชีวิต แต่ไม่น่าเชื่อว่าลูกสาวมหาเศรษฐีกลับมาเป็พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเช่นนี้
อันซินกลับมาเป็ตัวของตัวเองเมื่อได้เห็นผู้ชายที่ฉวยเอาครั้งแรกที่สำคัญที่สุดในชีวิตเธอไป เธอมีความรู้สึกแปลกๆก่อนที่เธอจะแยกจากเขา เธอเคยคิดว่าจะสามารถลบลืมเขาไปได้อย่างง่ายดายอย่างไรก็ตาม เวลานี้เธอกลับเผชิญกับเขาอีกครั้ง
อันซินอยากจะวิ่งไปหาเขาอย่างรวดเร็วและกอดเขาไว้ในทันทีแต่เมื่อมองดูสถานการณ์ตอนนี้แล้ว เธอก็ทำได้เพียงยิ้มอย่างอ่อนโยนตามปกติ
“คุณอัศวิน คุณควรเข้าไปข้างในนะคะ”
เมื่อโม่เชี่ยนนีที่เดินตามหลังหยางเฉินมาเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวเธอก็รับรู้ได้ทันทีว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคงไม่ธรรมดา พอเห็นท่าทางไม่ปกติของหยางเฉินยามที่ใกล้ผู้หญิงคนอื่นคลื่นความรังเกียจก็เกิดขึ้นในใจของเธอ โม่เชี่ยนนีเดินเข้าห้องโดยสารอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจอะไรอีก
อู๋เต๋าและเลขาตัวน้อยของเขาไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับเื่นี้บางทีในมุมมองของพวกเขา ความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงนั้นเป็ไปได้ทุกอย่าง
ทางด้านอันซินซึ่งสังเกตเห็นความผิดปกติของโม่เชี่ยนนีแต่ไม่อาจทำอย่างไรได้ เธอเพียงแค่หัวเราะฮึๆ ส่งให้หยางเฉิน
“คุณอัศวินดูเหมือนคุณจะมีเ้าหญิงหลายคนนะคะ”
“เธอน่ะหรือ?” หยางเฉินหัวเราะอย่างขมขื่น “เธอเป็เ้าหญิงจริงๆนั่นแหละ แต่ผมคิดว่า เธอมาจากประเทศฝ่ายตรงข้ามนะ”
ในชั้น Business class มีคนน้อยกว่าที่คาดไว้ มีแค่ผู้โดยสาร 2คน รวมกับกลุ่มของหยางเฉินอีก 4 คนรวมแล้วยังไม่ถึง 12 คนเสียด้วยซ้ำนี่เป็เหตุผลที่เที่ยวบินที่ไปฮ่องกงมีจำนวนค่อนข้างน้อยมาก เช่นเดียวกับจำนวนคนที่มาพักผ่อนมันแค่ไม่ใช่่เทศกาล ดังนั้นจึงไม่ใช่เื่แปลก
สิ่งที่ทำให้หยางเฉินค่อนข้างแปลกใจคืออันซินเป็หัวหน้าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ในระหว่างประกาศวิธีการรักษาความปลอดภัยก่อนขึ้นบินเธอเป็ผู้ประกาศทั้งภาษาจีนแมนดาริน และภาษาอังกฤษ ซึ่งนั่นหมายความว่า
เธอไม่ได้มือสมัครเล่นเธอเป็ผู้เชี่ยวชาญอย่างแน่นอน
หลังจาก่เวลาครึ่งชั่วโมงที่น่าเบื่อของการรอคอยเครื่องบินก็เริ่มเดินเครื่องและบินขึ้นฟ้า
เมื่อพบว่าห้องโดยสารชั้นธุรกิจเต็มไม่ถึงครึ่งหนึ่งโม่เชี่ยนนีสามารถเปลี่ยนที่นั่งของเธอไปที่มุมให้ไกลจากหยางเฉิน เป็การแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเธอไม่เต็มใจจะนั่งร่วมกับเขา
นั่นทำให้อู๋เต๋าและเลขาของเขาพากันไปนั่งที่อื่นบ้างสองคนนั้นแสดงออกอย่างชัดเจนว่ามีความใกล้ชิดกันเป็อย่างมาก บางจังหวะที่มือของเขาเคลื่อนต่ำลงเป็เหตุให้ใบหน้าของเลขาตัวน้อยแดงเรื่อขึ้นมา คล้ายกับเธอกำลังมีความรักอยู่
หลังจากนั้น บางเวลาอันซินจะเข็นรถเข็นออกมา เธอสวมรอยยิ้มมั่นใจขณะที่เธอเตรียมเครื่องดื่มให้กับผู้โดยสารสองคนแถวหน้าเมื่อเธอมาถึงโม่เชี่ยนนี โม่เชี่ยนนีสั่งเครื่องดื่มอย่างเ็าจากนั้นก็ปิดตาลงและหลับไป
อู๋เต๋าที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเลขาโบกมือไปมาแสดงออกว่าไม่้าอะไรเพิ่มเติมและยังคงพูดคุยกับหวานใจตัวน้อยของเขา
อันซินเดินไปที่หยางเฉินและรักษาน้ำเสียงที่เป็การเป็งานเพื่อถามหยางเฉินว่า้าอะไรหรือไม่ หยางเฉินไม่ได้พูดอะไรแต่เขายังคงมองไปที่รูปร่างของอันซินที่งดงามได้รูปในชุดยูนิฟอร์มพนักงานต้อนรับ
คืนนั้นที่พวกเขาอยู่ด้วยกันที่โรงแรมกลับมาปรากฏในความคิดของเขาทำให้เขาเกิดไฟปรารถนา สิ่งนี้พิสูจน์ได้ว่าเครื่องแบบนี้มีอำนาจในการดึงดูดเป็อย่างมาก
“นายคนหื่นอย่าจ้องฉันด้วยสายตาแบบนี้ ฉันยังทำงานอยู่” อันซินหน้าแดง และพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเจือความไม่พอใจ
หยางเฉินยื่นมือออกไปคว้ามือนุ่มนิ่มได้รูปของอันซินเอาไว้
“ไม่ใช่งานของเธอคือเตรียมให้บริการผู้โดยสารหรอกหรือ?ตอนนี้ผมไม่้าเครื่องดื่ม แต่้าคุณผมควรทำยังไง...”
เมื่อถูกคว้าไว้ด้วยมือใหญ่ที่อุ่นร้อนอันซินรู้สึกเหมือนมีกวางะโไปมารอบๆ หัวใจของเธอ หลังจากค่ำคืนอันแสนป่าเถื่อนนั้นความรู้สึกที่อ่อนไหวของเธอ ก็ได้ลิ้มรสความสุขที่เปี่ยมล้นที่ถูกเก็บงำเอาไว้ อารมณ์ที่ลุกโชนอยู่ภายในแม้ว่าเธอจะสามารถควบคุมตัวเองได้
แต่การปรากฏตัวฉับพลันของหยางเฉินกลับทำให้หัวใจของเธอไม่มั่นคงอีกครั้งริ้วรอยบางอย่างปรากฏชัดเจนในดวงตาที่มีน้ำตาคลออันซินก้มหน้าลงและกระซิบถ้อยคำบางอย่างข้างหูของหยางเฉินพร้อมกลิ่นดอกกล้วยไม้จากตัวของเธอ
ใบหน้าของเธอแดงขึ้นอันซินรีบเข็นรถเข็นออกไปในทันที จากนั้นจึงซ้อนตัวหลังฉากกั้นของห้องทำงาน หยางเฉินสูดลมเย็นเข้าไปแม้ร่างกายของเขาจะผ่านการต่อสู้มานับร้อยๆ ครั้ง แต่เมื่อได้ยินปีศาจน้อยพูดบางสิ่งออกมาช่วยไม่ได้ที่เขาทำได้แค่กลืนน้ำลาย
เพราะเขารู้สึกตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อนในชีวิต