เครื่องประดับไข่มุกเพชรพลอยในตำหนักเปล่งประกายหรูหรา เครื่องเรือนล้ำค่าวางอยู่เต็มไปหมด
มู่หรงฉางหันไปยิ้มให้กับสตรีงามล้ำในกระจก “เสด็จแม่ คนที่ลูกชอบย่อมต้องเป็บุรุษที่เก่งกาจที่สุดในแคว้นเยี่ยนแน่นอนเพคะ จะการรบก็ดี การบริหารจัดการก็ดี ต้องได้ทั้งบุ๋นและบู๊ หน้าตาหล่อเหลา ภาพลักษณ์เหนือกว่าผู้ใดทุกด้าน”
สองมือของเฉียวเฟยคลายออกพลางถอยหลังไปสองก้าว เป็เขาอย่างที่คิดจริงๆ!
มู่หรงฉางมองท่าทางแปลกๆ ของมารดาจากกระจกก็ถามออกไปด้วยความประหลาดใจ “ท่านแม่เป็อะไรไปหรือเพคะ?”
“คนที่เ้าชอบคือ…” เฉียวเฟยจะอย่างไรก็ไม่กล้าเอ่ยปากออกมา
“คนที่ลูกชอบก็คืออวี้หวาง มู่หรงอวี้ คู่ครองของลูกมีเพียงเขาเท่านั้น ชั่วชีวิตนี้ลูกจะแต่งงานกับเขาเพียงผู้เดียวเพคะ” มู่หรงฉางเชิดริมฝีปากแดง คางเชิดขึ้นน้อยๆ ใบหน้าสวยราววาดออกมานั้นเต็มไปด้วยความอวดดี
“ก่อนหน้านี้ใช่ว่าเ้าจะไม่เคยเจออวี้หวางเสียหน่อย เพราะเหตุใด…”
“แต่ก่อนใจของหม่อมฉันนึกถึงแต่การออกไปเปิดหูเปิดตานอกวัง วันนี้ได้ออกไปเปิดหูเปิดตาแล้ว ได้เห็นวัฒนธรรมความคิดอ่านของคนในใต้หล้านอกวังมาแล้ว เสด็จแม่ ในอดีตลูกเคยเจออวี้หวางในวังเพียงไม่กี่ครั้ง กลับมาเมืองหลวงในครั้งนี้ ลูกถึงได้พบว่าคนในใต้หล้านี้ไม่อาจสู้รูปลักษณ์และความน่าเกรงขามกับเขาได้ เทียบกันไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แต่ก่อนเป็ลูกที่มีตาหามีแววไม่” มู่หรงฉางพูดด้วยสีหน้าสดใส น้ำเสียงใสราวไข่มุกตกลงบนถาดหยก
เฉียวเฟยดึงบุตรสาวให้ลุกขึ้นมา จับมือทั้งสองข้างของนาง พูดออกมาด้วยท่าทางจริงจัง “จาวฮวา ฟังคำขอของแม่ อวี้หวางไม่เหมาะสม…”
มู่หรงฉางได้ยินคำพูดนี้ก็หน้าคว่ำทันที พูดออกมาอย่างไม่พอใจ “เสด็จแม่ อวี้หวางเก่งกาจฉกาจฉกรรจ์ทั้งบุ๋นบู๊ เป็ท่านอ๋องที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาอ๋อง โดดเด่นเป็อันดับหนึ่งของราชวงศ์แคว้นเยี่ยน เหตุใดจึงไม่เหมาะสม? เขามีอะไรไม่ดี? ลูกแต่งงานกับเขาย่อมได้รับความสุขทั้งชีวิต”
เฉียวเฟยหน้าตึงพูดเสียงเ็า “จาวฮวา แม่ไม่ได้บอกว่าอวี้หวางไม่ดี ไม่ได้จะขัดขวางเ้า…แต่ว่าเสด็จพ่อของเ้าอยู่ใน่พักฟื้น เ้ากลับรีบไปขอให้เสด็จพ่อรีบพระราชทานสมรสให้เ้า ไม่ดูแลเสด็จพ่อนับว่าอกตัญญู!”
“เช่นนั้นก็ให้เสด็จพ่อพระราชทานสมรสรอไว้ก่อน รอร่างกายของเสด็จพ่อหายดีแล้วค่อยจัดพิธี เช่นนี้ก็ดีทั้งสองฝ่ายไม่ใช่หรือเพคะ?”
“เ้าฟังคำแม่ ที่แม่ทำก็เพื่อเ้า…”
“เสด็จแม่ขี้บ่น ลูกไม่อยากฟัง! อย่างไรลูกก็จะแต่งงานกับอวี้หวาง!”
มู่หรงฉางปิดหูกระทืบเท้า ไม่ฟังคำสั่งสอนของมารดา
เฉียวเฟยทั้งฉุนทั้งโกรธแต่กลับหมดหนทางกับบุตรสาวคนนี้ ได้แต่ลอบถอนหายใจ นางถูกฝ่าาตามใจจนเสียคนเสียแล้ว
มู่หรงฉางเดินออกไปด้านนอกด้วยความโมโห “ลูกจะไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้ เชิญเสด็จแม่ตามสบายเพคะ”
ครั้นเดินไปถึงตำหนักใหญ่ นางก็หยุดฝีเท้าลงทันที ก่อนจะพูดด้วยความใ “เสด็จพี่ เหตุใดท่านจึงอยู่ที่นี่เพคะ?”
มู่หรงฉือตอบอย่างร่าเริง “เปิ่นกงไปเยี่ยมเสด็จแม่ของเ้าที่ตำหนักอวี้ซิ่ว นางข้าหลวงบอกว่าแม่ของเ้ามาหาเ้าที่นี่”
เฉียวเฟยได้ยินเสียงก็รีบออกมา พูดด้วยความเมตตา “เตี้ยนเซี่ยมีธุระใดหรือ?”
“ก็ไม่ได้มีเื่อะไรหรอก” มู่หรงฉือพูดออกมาตรงๆ “เมื่อครู่ได้ยินน้องสาวพูดว่ามีคนที่ชอบ และอยากจะทำให้เสด็จพ่อดีพระทัยโดยไม่ได้ตั้งใจ นั่นนับว่าเป็เื่ดี เป็น้องสาวที่คิดถึงจิตใจของเสด็จพ่อ เปิ่นกงคิดว่าน้องสาวก็ถึงวัยที่สมควรพระราชทานสมรสแล้ว อีกอย่างอวี้หวางก็เป็ผู้ดูแลราชสำนักทั้งหมด มีอำนาจสูงส่ง เสด็จพ่อก็ให้ความสำคัญต่อเขา เชื่อใจเขา หากน้องสาวได้แต่งงานกับอวี้หวาง เสด็จพ่อจะต้องวางใจฝากฝังนางกับอวี้หวาง แล้วจะต้องพอใจกับการสมรสในครั้งนี้เป็แน่”
“เสด็จพี่เองก็คิดเช่นนี้หรือเพคะ?” มู่หรงฉางพูดด้วยความดีใจ ยิ้มสดใสราวกับกอดอกจื่อเวย[1]ภายใต้แสงอาทิตย์เจิดจ้า
“เ้าวางใจเถิด เปิ่นกงจะไปกราบทูลเื่นี้กับเสด็จพ่อ อีกไม่นานเสด็จพ่อก็จะพระราชทานสมรสให้เ้า”
“ดียิ่งนัก! ขอบพระทัยเสด็จพี่เพคะ”
มู่หรงฉางดีใจจนไม่อาจควบคุมตัวเองได้ หัวเราะเบิกบาน
ส่วนเฉียวเฟยขมวดคิ้วแน่น หน้าตาเป็กังวล
มู่หรงฉือเดาความคิดของนางได้พอสมควร ก่อนจะพูด “เฉียวเฟย ขอเวลาสักหน่อยได้หรือไม่?”
มู่หรงฉางจมอยู่ในความดีใจจนแทบอยากจะบินไปบอกข่าวดีนี้กับมู่หรงอวี้ที่จวนอวี้หวาง แต่ว่านางเองก็รู้จักรักษากิริยา รอก่อนดีกว่า นางยิ้ม “เสด็จแม่ พวกท่านไปนั่งที่ศาลาด้านหลังสวนเถิดเพคะ ลูกจะไปดูโรงครัวว่ามีขนมที่เพิ่งจะทำเสร็จหรือไม่”
เห็นบุตรสาวเดินฝ่าสายลมไปไกล เฉียวเฟยก็รู้สึกกังวลใจยิ่งนัก
ทั้งสองคนมายังศาลาห้าเหลี่ยมด้านหลังสวน ข้าหลวงนำน้ำชามาตั้ง โค้งตัวให้ก่อนจะถอยไป
“เตี้ยนเซี่ย จาวฮวาเป็บุตรสาวของเปิ่นกง ขอเตี้ยนเซี่ยอย่ายื่นมือเข้ามายุ่งกับเื่นี้เลยเพคะ”
เฉียวเฟยผ่อนคลายสีหน้าลง ถึงแม้จะอ่อนโยนเมตตาแต่ความเ็าในแววตานั้นเสียดแทงเป็พิเศษ
มู่หรงฉือยกถ้วยชาขึ้นจิบเล็กน้อย เฉียวเฟยเข้าวังมาได้ยี่สิบกว่าปี เป็เฟยผินที่อยู่ในวังมานานที่สุดในบรรดาเฟยผินสิบกว่าคน ถึงแม้ว่านางจะอายุสี่สิบปีแล้ว แต่ว่าดวงหน้าได้รับการบำรุงดูแลอย่างดี ความงดงามจึงยังคงอยู่ เครื่องหน้าจึงยังงดงามไม่ต่างกับตอนอายุยี่สิบแปดปี
องค์หญิงจาวฮวาสืบทอดความงามของนางมา จากความงามขององค์หญิงจาวฮวาที่งามราวบุปผาก็รู้ได้ว่าตอนนั้นความงามของเฉียวเฟยไม่ธรรมดาเลย
ฮองเฮาจากไปแล้ว เฉียวเฟยได้รับความรักมาสิบกว่าปี ความงามของนางนั้นเพียงมองจากส่วนเล็กๆ ก็สามารถรู้ได้ทันที จนกระทั่งเซียวกุ้ยเฟยที่ยังอ่อนเยาว์เต็มและด้วยความงดงามเข้ามา นางถึงได้สูญเสียความรักไป
“เฉียวเฟย เปิ่นกงเข้าใจความกังวลของท่าน” มู่หรงฉือหัวเราะ “จาวฮวาปกติมีนิสัยเอาแต่ใจ ยิ่งเฉียวเฟยห้าม จาวฮวาก็ยิ่งดึงดันจะแต่งกับอวี้หวาง มีครั้งใดบ้างที่จาวฮวาไม่เป็เช่นนี้? นิสัยเอาแต่ใจเช่นนี้ เฉียวเฟยที่เป็มารดายังไม่เข้าใจอีกหรือ?”
“เป็เช่นนั้นจริงๆ” เฉียวเฟยพยักหน้า เป็นางที่ตื่นตระหนกจนสูญเสียความเยือกเย็นไป
“ความจริงแล้ว อวี้หวางนับว่าเป็คู่ครองที่เหมาะสม จาวฮวาแต่งงานกับเขา สำหรับแคว้นแล้วก็ตัวนางนับว่าเป็การแต่งงานที่ดี”
“คำพูดนี้ของเตี้ยนเซี่ยหมายความว่าอย่างไรหรือ?”
“เฉียวเฟยเป็คนฉลาด ลองคิดดูดีๆ ก็จะเข้าใจ”
เฉียวเฟยครุ่นคิดตามที่องค์รัชทายาทได้บอกใบ้มาอย่างละเอียดก็เข้าใจทันที ที่แท้องค์รัชทายาทก็ไม่ใช่คนไม่ได้ความ
ทั้งหมดเป็เพียงการเสแสร้ง
องค์รัชทายาทตรงหน้ายิ้มอ่อน ดูเหมือนไม่ได้พูดอะไร ทั้งที่ความจริงอะไรๆ กลับพูดออกมาหมดแล้ว
เพียงชั่ววินาที ความเย็นเยียบพลันแผ่ขยายจากฝ่าเท้าขึ้นมาที่ลำตัว นางจะต้องพิจารณาองค์รัชทายาทใหม่เสียแล้ว
หลังจากดื่มชาเข้าไปแล้วนางก็เอ่ยปากถาม “เตี้ยนเซี่ยมาหาเปิ่นกงมีเื่อะไรหรือ?”
มู่หรงฉือหัวเราะออกมาด้วยท่าทางใสซื่อ “คือว่า ่นี้ในวังเกิดเื่ราวมากมาย ศาลต้าหลี่ตรวจสอบมาหลายวันกลับไม่พบอะไร เสิ่นเซ่าชิงจึงขอให้เปิ่นกงมาลองสอบถามเื่ราวเก่าๆ กับท่าน”
เฉียวเฟยหัวเราะพลางตอบ “เชิญเตี้ยนเซี่ยถามมาเถิด”
“ก่อนหน้านี้เสิ่นเซ่าชิงไปที่เรือนชุนอู๋ ได้พบคนมาเล็กน้อย เขาสังเกตเห็นอันกุ้ยเหรินกับบ่าวรับใช้ข้างตัว รู้สึกว่าพวกนางไม่เหมือนกับพวกคนในเรือนนั้นเท่าไร จึงอยากจะสอบถามสักหน่อย”
“อันกุ้ยเหรินเกี่ยวข้องกับเื่พวกนี้หรือ?”
“ความจริงแล้วไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกัน เพียงแต่ไม่มีเบาะแสอะไรเลยจริงๆ จึงลองสอบถามดูก็เท่านั้น”
เฉียวเฟยพยักหน้า มองไปทางดอกเฉียงเวย ดอกเสาเย่า[2]ที่บานอยู่ในสวน สายตามองไกลออกไปทอแสงอ่อนโยน ราวกับได้กลับไปใน่วัยแรกแย้มที่เหมือนกับฝัน
นางพูดออกมา “อันกุ้ยเหรินเข้าวังมาก่อนข้าสองปี รูปลักษณ์งดงาม วังหลังมีสตรีงามอยู่มากมาย นางหน้าตาไม่ได้งดงามกว่าใครนัก ที่ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าาก็เพราะเอวบางเหมือนต้นหลิวรวมถึงร่ายรำได้งดงาม สองปีนั้นที่อันกุ้ยเหรินได้รับความโปรดปราน ฝ่าามักจะเรียกนางมาร่ายรำร่ำสุราด้วย ในตอนนั้นทั้งในและนอกวังต่างนิยมการร่ายรำ โดยเฉพาะการเต้นระบำอ่อนนับว่าเป็ที่นิยมกัน ปีนั้นในเทศกาลไหว้พระจันทร์ ฮองเฮาหรือก็คือมารดาของเ้าได้สั่งให้อันกุ้ยเหรินมาร่ายรำที่วัง เพื่อให้ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าา อันกุ้ยเหรินจึงสร้างการร่ายรำแบบใหม่ขึ้นมา นั่นก็คือการร่ายรำบนถาดหยกรูปใบบัว”
มู่หรงฉือใ “คนเราหากจะต้องเต้นระบำบนถาดหยก ร่างกายคงต้องเบาราวกับกำลังบินอยู่”
เฉียวเฟยพยักหน้า “ฝีมือของอันกุ้ยเหรินไม่มีผู้ใดเทียบได้ ดังนั้นทุกครั้งนางจะทานอาหารน้อยมากเพื่อรักษาน้ำหนักให้เบากับคงเอวอันเพรียวบางเอาไว้ งานเลี้ยงในวันไหว้พระจันทร์ นางร่ายรำบนถาดใบบัวจนมีชื่อเสียงในเมืองหลวง กลายเป็นางรำอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ฝ่าาก็พอพระทัยมาก ประทานรางวัลลงไปมากมาย ทว่า เมื่อมีสุขก็ต้องมีทุกข์ ในวินาทีที่นางมีชื่อเสียงที่สุด รุ่งเรืองที่สุดในงานเลี้ยงไหว้พระจันทร์ แต่กลับเป็วินาทีที่นางทุกข์ระทม”
“ทำไมหรือ?”
“กลางดึกวันไหว้พระจันทร์คืนนั้น ลูกในท้องของอันกุ้ยเหรินก็ตายจากไป”
“ในเมื่อนางตั้งครรภ์อยู่ เหตุใดถึงยังไปร่ายรำเล่า?”
“แม้แต่นางเองก็ไม่รู้ว่าตนตั้งครรภ์หน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ นางทานอาหารน้อย ร่างกายก็อ่อนแอ ก่อนงานเลี้ยงก็ฝึกซ้อมติดกันหลายวัน จะปกป้องบุตรในครรภ์ได้อย่างไร?” เฉียวเฟยถอนหายใจยาว ไร้ซึ่งความสงสารต่ออีกฝ่าย
“หลังจากนั้นนางก็สูญเสียความโปรดปรานจากเสด็จพ่อไปหรือ?”
มู่หรงฉือถามอีก จู่ๆ ก็คิดถึงว่าเสด็จแม่เป็ผู้สั่งให้นางไปร่ายรำที่งานเลี้ยงไหว้พระจันทร์ เช่นนั้นหลังจากนางแท้งลูกจะโกรธแค้นเสด็จแม่หรือไม่?
หากเป็เช่นนี้ ที่อันกุ้ยเหรินลงมือกันมู่หรงฉือตอนเป็เด็กก็มีสาเหตุแล้ว นั่นก็เพื่อแก้แค้นให้กับลูกที่ยังไม่ได้ก่อตัวเป็รูปร่างผู้นั้น
เฉียวเฟยมองไปทางกอดอกเฉียงเวย ั์ตาฉายแววเศร้าใจ “อันกุ้ยเหรินเศร้าโศก ไม่มีใจปรนนิบัติฝ่าา ฝ่าาเองจึงไม่ได้เรียกหานางแล้ว”
มู่หรงฉือเข้าใจแล้ว จนกระทั่งตนเกิดมาและเสด็จแม่สิ้นพระชนม์ไป บางทีอันกุ้ยเหรินอาจจะหอบความคิดที่จะแก้แค้นให้กับลูกของตัวเองถึงได้มาดูแลนาง คอยหาโอกาสลงมือ
เฉียวเฟยพูดต่อ “อันกุ้ยเหรินเองก็เป็คนน่าสงสาร หลิวเหมยข้าหลวงใกล้ตัวของนางเป็นางรำที่บิดามารดาของนางซื้อกลับมาจากหอนางโลม นางอายุมากอยู่สักหน่อย มาสอนอันกุ้ยเหรินร่ายรำอยู่หลายปี อันกุ้ยเหรินก็มีความเฉลียวฉลาด จึงได้เรียนการร่ายรำได้อย่างดี”
“ที่แท้ก็เป็หลิวเหมยที่เป็คนสอนอันกุ้ยเหรินร่ายรำ”
“หลิวเหมยเป็นางรำที่โดดเด่นที่สุดในหอนางโลม ครั้นหน้าตาถูกทำลายไปก็นับว่าหมดอนาคต ชีวิตย่อมยากจนขัดสน ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ต้องกลายมาเป็สาวใช้ในสกุลอัน”
“อ้อ? เช่นนั้นหน้าตาของหลิวเหมยถูกทำลายตรงที่ใดหรือ?” มู่หรงฉือใ แล้วก็จำได้ว่าใบหน้าของหลิวเหมยคนดูแลของอันกุ้ยเหรินไม่ได้ถูกทำลายเลย
“สิบกว่าปีก่อน ขอเปิ่นกงคิดสักหน่อย...” เฉียวเฟยกุมหน้าครุ่นคิด “ใช่แล้ว ใบหน้าด้านซ้ายของหลิวเหมยมีรอยบากสองรอย หลายปีมานี้รอยแผลนั้นย่อมจางลงกลายเป็รอยแผลเป็สีชมพู แต่ว่ารอยแผลบนใบหน้าอย่างไรก็ย่อมเห็นได้ชัด”
“เฉียวเฟย ท่านไม่ได้จำผิดใช่หรือไม่?” มู่หรงฉือถามอย่างจริงจัง ก้อนปริศนามากมายนั้นเหมือนค่อยๆ คลี่คลายออกมาทีละน้อย
“เปิ่นกงไม่มีทางจำผิด เพราะาแสองแผลนั้นหลิวเหมยถึงได้ถูกคนอื่นหัวเราะเยาะ เย้ยหยัน ปกติแล้วนางจะใส่ผ้าคลุมหน้า” เฉียวเฟยพบว่าสายตาขององค์รัชทายาทตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อยถึงเอ่ยถาม “เตี้ยนเซี่ย มีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่?”
“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร”
ครั้นบอกลาเฉียวเฟยแล้วมู่หรงฉือก็รีบกลับไปที่ตำหนักบูรพาทันที
หากที่เฉียวเฟยพูดมาไม่ผิด เช่นนั้น เหตุใดหลิวเหมยที่เห็นในเรือนชุนอู๋ถึงไม่มีรอยแผล? หรือว่าหลิวเหมยคนนั้นจะเป็ตัวปลอม?
นางอยากจะไปยืนยันที่เรือนชุนอู๋ แต่ก็ยังควบคุมตนเองได้
การค้นพบอันยิ่งใหญ่นี้จะแหวกหญ้าให้งูตื่นไม่ได้
นางส่งคนไปที่ศาลต้าหลี่ให้เรียกเสิ่นจือเหยียนมายังตำหนักบูรพา หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เสิ่นจือเหยียนก็รีบรุดมาอย่างรวดเร็ว
เขารู้ว่าองค์รัชทายาทไม่มีทางเรียกให้เขามาที่ตำหนักบูรพาอย่างไร้เหตุผล จะต้องมีเื่ด่วนแน่นอน เขาจึงถามออกมาด้วยความตื่นเต้น “เตี้ยนเซี่ยพบเบาะแสใหม่หรือพ่ะย่ะค่ะ?”
มู่หรงฉือไม่ได้อธิบาย ลากเขาออกจากตำหนักบูรพาแล้วรีบมุ่งหน้าไปยังเรือนชุนอู๋
เชิงอรรถ
[1] ดอกจื่อเวย ยี่เข่ง หรือ คำฮ่อ เป็ไม้ประดับในวงศ์ตะแบก ลักษณะเป็ไม้พุ่มผลัดใบ
[2] ดอกเสาเย่า(芍药)" เรียกว่าเป็น้องๆ ของดอกโบตั๋นก็ว่าได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้