ที่บ้านยังต้องซื้อแม่แพะด้วย เมื่อทำเช่นนี้หากรวมกับน้ำนมของจ้าวซื่อแล้วจึงจะเพียงพอสำหรับน้องชายสองคน
เื่นี้นางจะไม่ถามผู้ใหญ่แล้ว คราวต่อไปนางจะไปตลาดที่มีทุกสิบวันและซื้อแพะกลับมา
จ้าวซื่อกล่าวด้วยใบหน้าสงบนิ่ง “ก็เลี้ยงดูไปเช่นนั้น แล้วข้ายังทำอาหารให้บิดากับอารองของเ้าด้วย” เลี้ยงดูทารกสองคนเป็งานยุ่งมาก ยังดีที่อยู่แต่ในบ้านไม่ต้องหนีภัย ไม่ต้องกลัวว่าตนเองจะติดโรคตาย นางจึงไม่คิดว่าการเลี้ยงทารกเป็งานยุ่งยากอันใด
แววตาของหลี่หรูอี้เต็มไปด้วยความเ็ป กล่าวด้วยน้ำเสียงห่วงใย “์ ท่านแม่ ท่านต้องอยู่เดือนแล้วยังต้องทำอาหารอีก ท่านใช้น้ำเย็นเช่นนั้นจะไม่ป่วย่อยู่เดือนหรือ”
จ้าวซื่อแย้มยิ้มบางๆ “บิดาเ้าร่างกายแข็งแรง ก่อนไปที่นาก็ต้มน้ำหม้อใหญ่ให้ข้าทุกวัน ข้าใช้น้ำร้อนทั้งนั้น ตอนนั้นอารองของเ้ายังอายุน้อย แต่ก็พอจะช่วยข้าจุดฟืนดูแลลูกได้บ้าง”
“่อยู่เดือนพวกท่านใช้ชีวิตลำบากจริงๆ” หลี่หรูอี้นึกย้อนไปถึงวันเกิดของพี่ชายทั้งสี่ ล้วนอยู่ใน่ฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งเป็่ที่ยุ่งที่สุดทั้งสิ้น พืชผลในที่ดินสิบหมู่ของครอบครัวก็มีหลี่ซานเก็บเกี่ยวผู้เดียว จ้าวซื่อที่กำลังอยู่เดือนจึงต้องรับหน้าที่ทำอาหารอย่างไม่มีทางเลือก
ผู้ใดใช้ให้ตอนนั้นบ้านหลี่มีคนน้อยเล่า อีกทั้งยังไม่มีญาติๆ มาคอยช่วยด้วย
“แต่ละครอบครัวล้วนเป็เช่นนี้ บ้านของพวกเรายังโชคดีที่ไม่มีเื่กระทบกระทั่ง ใช้ชีวิตผ่านไปได้อย่างสงบมั่นคง” จ้าวซื่อมีสีหน้าพึงพอใจ
“ท่านแม่ ท่านคลอดพวกเราพี่น้องมาั้แ่เมื่อหลายปีก่อนแล้ว ตอนนั้นท่านยังอายุน้อย ร่างกายและกระดูกยังดี จิตใจยังมั่นคงดี ตอนนี้ท่านอายุสามสิบแล้ว ร่างกายและจิตใจย่อมไม่สู้เมื่อก่อน คราวนี้ตั้งครรภ์เดียวสองคน…”
“ข้าทำได้ เ้าวางใจเถิด” จ้าวซื่อรู้สึกอบอุ่นในใจ กุมมือหยาบกร้านของบุตรีสุดที่รักแน่น ผู้คนล้วนกล่าวกันว่า สตรีในห้องหอต้องเอาใจใส่ประดุจผ้าห่มไหมไม่ใช่หรือ “หลายเดือนที่ผ่านมา เ้าทำงานที่ข้าสมควรทำไปหมดแล้ว ทั้งยังช่วยครอบครัวหาเงินได้มาก ข้าจึงได้พักผ่อนอยู่ตลอด ได้สงบใจอยู่ตลอด หลังคลอดข้าย่อมดูแลน้องชายทั้งสองของเ้าด้วยตนเองได้แน่ เ้าเชื่อข้าก็พอ”
จู่ๆ ศีรษะใหญ่ๆ ของหลี่สือก็มาปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของคนทั้งสอง ทำให้พวกนางใจนสะดุ้ง
หลี่หรูอี้ยกมือทาบหน้าอก “ท่านอารอง ท่านอย่าโผล่ออกมาโดยไม่ให้ซุ่มให้เสียงเช่นนี้อีกเล่า จะทำให้ผู้อื่นใตายได้”
ดวงตากลมโตราวกับตาวัวของหลี่สือมองไปยังหลี่หรูอี้ ในนั้นมีประกายใสซื่อบริสุทธิ์ประดุจเด็กน้อย เขากล่าวด้วยน้ำเสียงขอร้องว่า “หรูอี้ ข้าหั่นฟักทองครึ่งลูกเป็เส้นแล้ว เ้าสอนข้าทำแป้งย่างฟักทองเถิด”
จ้าวซื่อกล่าวขึ้นว่า “เ้าก้อนหิน เมื่อครู่เ้าสนับสนุนหรูอี้เพราะอยากให้นางสอนทำแป้งย่างฟักทองหรือ”
“ใช่” หลี่สือพยักหน้าราวกับไก่จิกข้าวสาร
หลี่หรูอี้รู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก รีบจูงมือหลี่สือเดินไปยังห้องครัว พบว่าบนเขียงมีฟักทองที่ถูกหั่นเป็เส้นวางอยู่เต็มเขียงแล้ว แต่ละเส้นถูกหั่นอย่างละเอียด มีขนาดเล็กใหญ่ต่างกันไม่มาก ฝีมือการใช้มีดของหลี่สือเทียบได้กับพ่อครัวในภัตตาคารห้าดาวของโลกก่อนเลยทีเดียว
“ท่านอารอง ฝีมือการใช้มีดของท่านยอดเยี่ยมจริงๆ!”
หลี่สือยิ้มกว้าง
“นำเส้นฟักทองไปต้มจนเละ จากนั้นนำไปผสมให้เป็เนื้อเดียวกันกับแป้ง ใส่น้ำตาลเล็กน้อย ทิ้งไว้ครู่หนึ่งแล้วนำแป้งที่ผสมเรียบร้อยแล้วไปทำตามวิธีการทำแป้งย่างปกติ แบ่งแป้งให้ได้ขนาดครึ่งฝ่ามือ จากนั้นนำไปย่างบนเตาจนทั้งสองด้านมีสีเหลืองทอง นี่ก็คือแป้งย่างฟักทองเ้าค่ะ”
คนหนึ่งอธิบายอย่างอดทน อีกคนหนึ่งฟังอย่างตั้งใจ
เงาหนึ่งร่างเล็กกับอีกหนึ่งร่างใหญ่กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับงานในครัว ครึ่งชั่วยามต่อมาอาหารกลางวันก็เสร็จเรียบร้อย กับข้าว ได้แก่ ผัดหมูตากแห้งและน้ำแกงผักดอง อาหารหลักคือ แป้งย่างฟักทอง
แป้งย่างฟักทองขนาดครึ่งฝ่ามือมีสีเหลืองทองทั้งสองด้าน ลักษณะสวยงาม กลิ่นหอมติดจมูก ยั่วน้ำลายผู้คนยิ่งนัก
หลี่สือสามารถกินแป้งย่างฟักทองหนึ่งชิ้นหมดในสองคำ เพียงพริบตาเดียวก็กินหมดไปแล้วสิบชิ้น จากนั้นจึงค่อยเอ่ยขึ้นว่า “แป้งย่างฟักทองที่ทำจากฟักทองอร่อยที่สุดแล้ว”
จ้าวซื่อกล่าวยิ้มๆ “รสหวานทั้งยังมีกลิ่นหอมของฟักทองด้วย อร่อยกว่าแป้งย่างต้นหอมเสียอีก”
หลี่ซานมองไปยังบุตรีสุดที่รัก “บ้านเราควรขายแป้งย่างฟักทอง”
หลี่หรูอี้กลืนแป้งย่างในปากลงไป “ท่านพ่อ แป้งย่างฟักทองต้องใช้ฟักทอง บ้านเรามีฟักทองไม่มาก ทั้งหมู่บ้านก็มีฟักทองไม่มาก พวกเราขายแป้งย่างฟักทองไม่ได้เ้าค่ะ”
จ้าวซื่อช่วยกล่าวเสริม “พี่ซาน เต้าหู้บ้านเราขายได้กำไรมากแล้ว ยังจะขายแป้งย่างฟักทองอะไรอีกเ้าคะ?”
หลี่หรูอี้กล่าวขึ้นอีกครั้ง “แป้งย่างฟักทองทำง่าย ผู้อื่นมองเพียงปราดเดียวก็ทำเป็แล้ว”
หลี่ซานถูกคำพูดของสองแม่ลูกทำเอาพูดอะไรไม่ออก แต่ไม่ใช่เพราะขุ่นเคือง จึงทำเพียงยิ้มแล้วปล่อยผ่าน
จ้าวซื่ออยากเตือนหลี่หรูอี้ว่า ให้เหลือแป้งย่างฟักทองไว้ให้บุตรชายทั้งสี่ลองชิมด้วย ทว่าเมื่อเห็นหลี่หรูอี้หาวขณะกินข้าวพานให้รู้สึกเ็ปในใจ ่นี้บุตรสาวต้องตื่นแต่เช้าทุกวันเพื่อมาทำเต้าหู้ นางจึงรีบบอกให้ลูกไปพักผ่อน
เมื่อถึงตอนเย็น หลี่ซานและบุตรชายทั้งสี่ก็กลับมาจากอำเภอฉางผิงและตำบลจินจี หลี่หรูอี้และหลี่สือจึงยกอาหารหอมกรุ่นขึ้นโต๊ะ มีซี่โครงหมูนึ่งแป้งที่หลี่ซานนึกถึงไม่ลืมเลือน และแป้งย่างฟักทองที่จ้าวซื่ออยากให้บุตรชายได้ลองกิน
“หรูอี้เป็คนหั่นซี่โครง ข้าไม่ได้หั่น หรูอี้เป็คนทำแป้งย่างฟักทอง ข้าไม่ได้ทำ” หลี่สือกินไปพลางนับเื่ที่หลี่หรูอี้ต้องทำให้ทุกคนฟังไปพลาง
หลี่หรูอี้ยิ้มบางๆ “อารองทำความสะอาดบ้าน ให้อาหารลา ผ่าฟืน ตักน้ำ ไม่ว่างแม้แต่เค่อเดียว ข้าเพียงทำอาหารเท่านั้น”
ความเหนื่อยล้าที่ปรากฏบนใบหน้าของหลี่หรูอี้อยู่ในสายตาของสี่พี่ชายตระกูลหลี่ พวกเขาทั้งเ็ปใจและรู้สึกผิด
นักเรียนที่สำนักศึกษาของจางซิ่วไฉมีบิดามารดาหาเงินส่งบุตรชายไปเรียน มีเพียงเด็กชายทั้งสี่ของบ้านหลี่ที่ต้องอาศัยความคิดของน้องสาว ทั้งยังต้องให้น้องสาวทำงานหนักเพื่อหาเงินให้พวกเขานำไปเป็ค่าเล่าเรียน
ปีนี้นางเพิ่งอายุเก้าขวบ หากเป็คนบ้านอื่นย่อมรู้จักเพียงใช้เงิน แต่เมื่ออยู่บ้านหลี่กลับต้องทำงานหาเงินจนเหน็ดเหนื่อย
นางใช้สมองและแรงกายมากเช่นนี้ หากร่างกายทรุดโทรมขึ้นมาจะทำเช่นไร?
เด็กชายทั้งสี่หารือกันระหว่างเวลาว่างและตัดสินใจแล้ว เมื่อกินข้าวเสร็จจึงพูดเื่นี้กับบิดาและมารดา ความว่าจะให้พวกเขาหนึ่งคนผลัดกันอยู่ช่วยงานที่บ้านทุกวัน
หลี่ซานนึกไม่ถึงว่าบุตรชายทั้งสี่จะรู้ความเพียงนี้ ถึงกับกล่าวเื่อยู่ช่วยทำงานออกมาด้วยตนเอง เพียงแต่ค่าเล่าเรียนก็จ่ายไปแล้ว และไม่ใช่ถูกๆ ด้วย หากไม่ไปเรียนจะไม่ขาดทุนหรือ “นี่…”
จ้าวซื่อมีสีหน้ามืดมน “ไม่ได้ พวกเ้าไม่ไปเรียนไม่ได้ บทเรียนในหนึ่งวันย่อมไม่อาจรั้งรอ”
หลี่เจี้ยนอันกล่าวด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด “หลายวันมานี้ บ้านเราขายเต้าหู้ น้องสาวตื่นเช้ากว่าพวกเราเสียอีก ท่านพ่อต้องไปขายของที่ตำบลและอำเภอ ทำให้น้องสาวต้องทำงานมากมายอยู่ที่บ้าน นางเพิ่งเก้าขวบ พวกเราเป็พี่ชายอายุมากกว่านาง ย่อมไม่อาจทนเห็นนางเสียสละเพื่อพวกเรามากมายขนาดนั้นได้หรอกขอรับ”
สิ่งสำคัญที่ใช้ในการทำเต้าหู้ก็คือ ดีเกลือ
ตอนนี้ผู้ที่ทำดีเกลือได้ดีที่สุดก็คือ หลี่หรูอี้ ทำสำเร็จทุกครั้ง คราวที่แล้วเด็กชายทั้งสี่ลองทำ ก็พบว่าความสำเร็จมีเพียงครึ่งเดียว จากนั้นจึงเป็หลี่สือ จ้าวซื่อ สุดท้ายที่ทำได้แย่สุดก็คือ หลี่ซาน
หลี่ซานย่อมรู้สึกปวดใจกับหลี่หรูอี้ แต่ก็ทำได้เพียงให้หลี่หรูอี้ตื่นมาทำดีเกลือทุกเช้า ไม่มีวิธีอื่นใดอีก ผู้ใดใช้ให้การทำดีเกลือเพื่อนำไปทำเต้าหู้ต้องใช้ทักษะสูงเล่า ผู้ใดใช้ให้คนในบ้านไม่มีฝีมือทางด้านนี้เล่า
จ้าวซื่อกล่าวอย่างเคร่งขรึม “น้องสาวของเ้าขยันหาเงินเช่นนี้ก็เพื่อให้พวกเ้าได้เรียนหนังสือ แต่พวกเ้ากลับไม่ยอมเรียน รั้นจะมาทำการค้าให้ได้ เช่นนั้นจะไม่ผิดต่อน้ำใจของน้องสาวเ้าหรือ”
หลี่ฝูคังเป็คนคิดเร็วพูดเร็ว “ท่านแม่ ไม่ใช่ว่าพวกเราจะไม่เรียนหนังสือ เพียงแค่จะอยู่ทำงานที่บ้านหนึ่งวันในทุกๆ สี่วันเท่านั้น”
“ไม่ได้” จ้าวซื่อมีความคิดแน่วแน่ในเื่ให้บุตรชายเรียนหนังสือพอๆ กับที่หลี่ซานมีความคิดแน่วแน่ในเื่การซื้อที่
หลี่อิงฮว๋าทอดถอนใจเบาๆ แล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นจะทำอย่างไร จะปล่อยให้พวกเรามองดูน้องสาวต้องเหน็ดเหนื่อยจนเสียสุขภาพหรือ”
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้