นอกเมืองถงหลิน แสงไฟภายในกระโจมใหญ่กลางกองกำลังทหารสว่างไสวอยู่ตลอด
นายทหารชั้นสูงเจ็ดถึงแปดคนล้อมโต๊ะใหญ่เพื่อถกปัญหากันเสียงเบา
เปลวไฟบนเชิงเทียนพลิ้วไหวราวกับเต้นระบำ ส่องสะท้อนให้เงากายของบุคคลที่อยู่ในกระโจมมีขนาดใหญ่บิดเบี้ยวไปตามเปลวเทียน จากานปาลากับอามู่เอ่อร์ยืนอยู่ข้างหนึ่งมีใบหน้าสุขุม พาให้บรรยากาศตึงเครียดจนทำให้คนหายใจไม่ออกอยู่เล็กน้อย
“รายงานผลการรบล่าสุดกล่าวว่า ต้าสยาส่งไหวฮว่าเจียงจุนโม่ไป่เจ๋อไปเป็กำลังเสริมที่เมืองเฉียนตง กองกำลังกับเสบียงจะทยอยไปถึงในอีกไม่กี่วันนี้ ส่วนเวลากับเสบียงของพวกเราล้วนไม่มากแล้ว” ดวงตาอามู่เอ่อร์อึมครึม พวกเขาเสียเวลาอยู่นอกเมืองถงหลินมานานเกินไป หากสามารถกระทำการยึดจุดยุทธศาสตร์เมืองถงหลินได้เร็วกว่านี้ สถานการณ์ในปัจจุบันจะไม่มีทางเป็ฝ่ายถูกกระทำเช่นนี้แน่
แววตาจากานปาลาดุดันขึ้น กล่าวอย่างโเี้ “การโจมตีเมืองครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็อย่างไรก็ต้องโจมตีประตูกำแพงเมืองให้แตก หากโจมตีลงไม่ได้ พวกเราก็ทำได้เพียงหนีบหางกลับทุ่งหญ้าเท่านั้น และจะไม่สามารถปรากฏสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นได้อีก ก่อนออกเดินทางมาพวกเราคุยโวโอ้อวดต่อหน้าคนในวงศ์ตระกูลเดียวกันของทั้งสองตระกูลไว้อย่างมากมาย ไม่ว่าจะต้องสูญเสียไปมากเท่าไร ก็ต้องโจมตีเมืองถงหลินลงให้จงได้”
หากเขากลับไปทุ่งหญ้าอย่างพ่ายแพ้เช่นนี้ เขาจะเผชิญหน้ากับคำประณามจากเบื้องบนไปจนเบื้องล่างในวงศ์ตระกูลได้อย่างไร ตอนแรกเขาโต้แย้งทุกความคิดเห็นอย่างสุดความสามารถ จนกลายเป็พันธมิตรกับตาตาร์ รวมกำลังทหารทั้งชนเผ่าขึ้น ขณะนี้แม้แต่เมืองถงหลินยังโจมตีลงไม่ได้ เขาจะมีหน้าที่ไหนกลับไปชนเผ่ากัน
“ครั้งก่อน น้ำมันที่พวกหานสี่เทราดลงมา ชั่วพริบตาเดียวไฟก็สามารถลุกไหม้ได้ทั้งผืน หากไม่ใช่เป็เพราะอย่างนั้นก็สามารถโจมตีประตูเมืองแตกได้แล้ว” อามู่เอ่อร์ขมวดคิ้วกังวลใจ
“นี่เป็เพียงความบังเอิญ การเทน้ำมันจุดไฟ ไม่ใช่เป็วิธีการปกป้องเมืองที่ใช้กันจนชินมาโดยตลอดหรือ ปริมาณน้ำมันที่เมืองเพียงแห่งเดียวจะเก็บรวบรวมไว้ได้มีจำกัด วิธีการเช่นนี้ใช้ได้ไม่นานหรอก ก็เพราะเป็คนต่ำทรามที่ปลิ้นปล้อนกระทำเื่ต่ำช้าเช่นหานสี่เท่านั้น จึงจะใช้วิธีการที่ไม่มีระดับชั้นเหล่านี้ออกมาอยู่ตลอดได้” จากานปาลาแค่นเสียงเย็นผ่านลำคอออกมาหนึ่งที
อามู่เอ่อร์ชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง จะมีหรือไม่มีระดับชั้นแล้วเกี่ยวอะไรกัน คนเขาขอแค่สามารถปกป้องประตูกำแพงเมืองไว้ได้ ต่อให้ใช้วิธีการไม่มีระดับชั้น แต่ได้ผลก็เพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ
...เพราะเหตุใดจ้าวไป่ิจึงกลับมาในหมู่บ้าน ไม่นานเจินจูก็สามารถรับรู้สาเหตุได้อย่างรวดเร็ว
บริเวณเอ้อโจวมีโจรูเาก่อการจลาจล ดักปล้นฆ่าคนสัญจรและกลุ่มพ่อค้าที่เดินทางผ่านไปมา ชั่วขณะหนึ่งผู้คนรอบเมืองต่างก็ตื่นตระหนก แม้ทางการได้ส่งทหารมาลาดตระเวนแล้ว แต่โจรูเาเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ร่องรอยลึกลับ มักหลบซ่อนเข้าไปบริเวณป่าเขา ทหารทางการเหน็ดเหนื่อยกับการไล่ล่าก็ยังไม่สามารถกวาดล้างได้สำเร็จ
หลังจากความวุ่นวายของผู้อพยพในอำเภอเจิ้นอันเมื่อปีที่แล้ว ยิ่งเป็เหมือนนกตื่นธนู [1] ร้านค้าและโรงเตี๊ยมไม่น้อยล้วนอยู่ในสภาพกึ่งดำเนินการ พอฟ้ายังไม่ทันมืดก็ปิดให้บริการแล้ว
บรรยากาศในโรงเรียนของอำเภอ เหล่าบัณฑิตจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ย่วนจ่าง [2] กลัวว่าพวกเขาอยู่ในโรงเรียนประจำอำเภอแล้วจะเกิดอุบัติเหตุ และจะแสดงเหตุผลต่อผู้ปกครองของเด็กไม่ได้ จึงปิดเทอมพร้อมปิดโรงเรียนไปเสียเลย ให้เหล่าบัณฑิตกลับบ้านไปเรียนรู้ด้วยตนเอง ผ่านสิ้นปีไปค่อยกลับมารายงานที่โรงเรียนประจำอำเภออีกครั้ง
จ้าวไป่ินั่งเกวียนวัวกลับมาถึงปากทางเข้าหมู่บ้าน ขณะเดินเข้าหมู่บ้านเลยถูกเจินจูพบเข้า
หวังซื่อได้ฟังข่าวมาจากปากของเลี่ยวซื่ออาสะใภ้รองของจ้าวไป่ิ
ขณะนี้หวังซื่อเริ่มให้ชุ่ยจูมาดูแลงานยังสถานที่ทำอาหารหมักด้วยกันกับนางแล้ว
ชุ่ยจูร้องไห้ไปรอบหนึ่ง ได้ปลดปล่อยไปไม่น้อย อาจเป็เพราะถูกคำพูดของเจินจูกระตุ้นเข้า และอาจเป็เพราะเพื่อให้คู่ควรกับจ้าวไป่ิได้ สรุปแล้วนางได้เริ่มพยายามปรับความเคยชินที่ไม่ดีของตนเอง่ก่อนให้ดีขึ้น
เลี่ยวซื่อเห็นชุ่ยจูตามหวังซื่อมาดูแลสถานที่ทำอาหารหมัก ทำให้ประหลาดใจเล็กน้อย แน่นอนนางรู้ว่าพ่อสามีตนเอง้าขอหูชุ่ยจูให้แต่งงานกับจ้าวไป่ิ แต่ตอนนี้ยังไม่ได้กล่าวตกลง ตามความหมายในคำพูดของแม่สามี คือต้องรอการไว้ทุกข์ของที่บ้านผ่านไปถึงจะหารือเื่การแต่งงานได้อย่างเป็ทางการ
การมาถึงของชุ่ยจูไม่ได้ก่อให้เกิดความสนใจเป็พิเศษของทุกคนขึ้น ตามความคิดเห็นของหวังซื่อคือ แม่นางโตแล้วต้องเรียนรู้และช่วยจัดการเื่ราวต่างๆ ภายในบ้าน ภายภาคหน้าออกจากบ้านไปจะได้ไม่ทำอะไรเงอะงะ ผู้ที่มาทำงานในสถานที่ทำอาหารหมักล้วนเป็ฟู่เหรินที่คุ้นเคยกันดีในหมู่บ้าน ย่อมเข้าใจความหมายของหวังซื่อ ทุกคนพูดคุยหัวเราะด้วยความสนุกสนานอยู่ไม่กี่ประโยคก็เริ่มทำงานกันขึ้น ใบสั่งสินค้าของสือหลี่เซียงยังคงมากมายอยู่เช่นเคย แม้ราคาขายของสือหลี่เซียงปีนี้จะสูงกว่าปีที่แล้วครึ่งหนึ่ง คนที่อยากสั่งซื้อสินค้าก็ยังคงหลั่งไหลมาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย
สถานที่ทำอาหารหมักของสกุลหูเป็ธรรมดาที่จะยุ่งอยู่เสมอ เสียงร้องของหมูที่ถูกเชือดดังขึ้นอยู่ตลอดเวลา
คนในหมู่บ้านล้วนอิจฉาฟู่เหรินที่ได้ทำงานอยู่สถานที่ทำอาหารหมักของสกุลหูเป็อย่างมาก
ในขณะนี้สภาพสังคมไม่สงบเล็กน้อย งานสบายๆ โดยทั่วไปในเมืองล้วนทำไม่ได้แล้ว ปีนี้หลังการเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วง ชาวบ้านต่างก็ว่างงานอยู่ที่บ้าน มีเพียงชาวบ้านไม่กี่คนที่ทำงานมั่นคงอยู่กับหลิ่วฉางผิง และฟู่เหรินไม่กี่คนที่ทำงานอยู่สถานที่ทำอาหารหมักของสกุลหู ล้วนยุ่งได้ทุกวันเหมือนดังเดิม
กลิ่นอายของเดือนแรกในฤดูหนาวเริ่มกล้ำกรายเข้ามายังเนินูเา มีใบไม้ร่วงหล่นตามสายลมหนาวที่พัดโชย
“เสี่ยวจิน ปีกบนตัวเ้าหนาเสียจริง อื้ม... ก็ถูกนะ แบบนี้สิจึงจะสามารถอยู่บนูเาสูงเมฆหมอกขาวโพลนราวหิมะได้” เจินจูนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก กำลังใช้น้ำเช็ดเท้าและเล็บให้เสี่ยวจิน มันมักเกาะอยู่บนต้นไม้แห้งและกำแพงผาหินมากมาย ในกรงเล็บมีเศษโคลนและสิ่งสกปรกเกาะอยู่หนาไม่น้อย เจินจูเว้นระยะไป่หนึ่งจึงจะทำความสะอาดให้มันสักครั้ง
“แว้ก” เสี่ยวจินร้องตอบหนึ่งที
“ท่านพี่ เสี่ยวจินอาศัยอยู่บนูเาสูงหรือ?” ผิงอันนั่งยองๆ อยู่ด้านข้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“อื้ม ใช่แล้ว สัตว์ปีกประเภทนกอินทรีส่วนใหญ่ล้วนสร้างรังอยู่บนกิ่งไม้ที่ยื่นออกมาตามหน้าผาหินสูงชัน” เจินจูราดน้ำใส่กรงเล็บของเสี่ยวจินไปพลาง เผยแพร่ความรู้ให้เขาไปพลาง
“เสี่ยวจินตัวโตเพียงนั้น รังของมันคงใหญ่มากเลยน่ะสิ!” ผิงอันเงยหน้ามองเสี่ยวจินที่รูปร่างสูงเกินศีรษะของเขา พลางทอดถอนใจพักหนึ่ง
“ฮ่าๆ ใหญ่อยู่บ้างจริงๆ เสี่ยวจิน ปีนี้เ้าเหมือนจะโตขึ้นอีกหน่อยแล้วเลย สูงกว่านี้อีกไม่ได้แล้วนะ หากรูปร่างใหญ่เกินไปจะทำเอาคนใได้” เจินจูตบเล็บแหลมคมของมันเบาๆ พร้อมกับหัวเราะไปกล่าวไป
“แว้กๆ” เสี่ยวจินประท้วง นี่ไม่ใช่สิ่งที่มันจะควบคุมได้นี่
ผิงอันลูบขนปีกเป็มันของเสี่ยวจิน จู่ๆ ก็คิดอะไรขึ้นได้ “ท่านพี่ ต้นปีนี้ขนปีกที่ร่วงหล่นของเสี่ยวจิน ไม่ใช่ว่าท่านเก็บรวบรวมไว้หรือ? เตรียมไว้ใช้ทำอะไรกัน?”
“อ๊ะ นั่นน่ะหรือ อืม... ข้าอยากทำผ้าห่มขนอ่อนนกอินทรีสักผืนน่ะ ฮ่าๆ แต่ปริมาณยังไม่พอเลย” เจินจูหัวเราะอย่างมีความสุข
“ผ้าห่มขนอ่อนนกอินทรีคืออะไรหรือ?”
“อืม... ก็คือการใช้ขนของเสี่ยวจินมาทำเป็ผ้าห่มน่ะ”
“…ขนนกสามารถทำเป็ผ้าห่มได้ด้วย?”
“แน่นอนว่าได้สิ ขอแค่มีปริมาณเพียงพอ”
หนึ่งพี่สาวหนึ่งน้องชายคุยกันเื่ของเสี่ยวจินอยู่นาน จนกระทั่งเจินจูทำความสะอาดกรงเล็บเท้าทั้งสองข้างของเสี่ยวจินจนสะอาดแล้ว จึงตบปีกของมันเบาๆ พร้อมกับยิ้มขึ้นแล้วให้เสี่ยวจินกลับไป
เงาร่างสีทองของเสี่ยวจินบินร่อนฉวัดเฉวียนอยู่บนท้องฟ้า วนเวียนอยู่เหนือหมู่บ้านวั้งหลินสองรอบ แล้วจึงหายเข้าไปในป่าเขาลึก
เจินจูมองสีท้องฟ้า ยังห่างจากเวลาเข้าเรียนตอนบ่ายไปเล็กน้อย จึงให้ผิงอันไปนอนพักบนเก้าอี้นอนสักครู่หนึ่ง
ส่วนนางเองถือไม้กวาดขึ้น เริ่มทำความสะอาดใบไม้ที่ร่วงลงมาข้างกำแพง
ใบหงเฟิงทั่วทั้งูเาลอยละลิ่วตามลมพัดเข้ามาสู่ลานบ้านอยู่เป็ระยะๆ ตอนเช้าพานเสวี่ยหลันกวาดไปแล้วหนึ่งรอบ แต่ไม่นานก็ลอยร่วงลงมาอีกไม่น้อย
เฮ้อ... ลำบากติงซื่อกับหม่าซื่อกลุ่มทำความสะอาดจริงๆ ต้องทำความสะอาดใบไม้ร่วงมากมายเพียงนี้ ไม่ใช่งานสบายเลย
อืม... วันตงจื้อ [3] วันนั้น ให้อะไรกับคนที่มาทำงานที่บ้านดีนะ?
ขณะที่เจินจูกำลังขบคิด ประตูลานบ้านก็ถูกทุบดังขึ้น “ปังๆ”
“โฮ่งๆ” เสี่ยวหวงะโออกมาจากในบ้านอย่างรวดเร็ว
เจินจูห้ามการเห่าอย่างต่อเนื่องของมันและเดินไปด้านหน้าเปิดประตู
คนที่เคาะประตูกลับเป็คนที่ใบหน้าไม่คุ้นเคย แต่งกายเป็เด็กรับใช้ เื้ัเขาไม่ไกลออกไปมีม้าร่างกายแข็งแรงยืนอยู่ไม่กี่ตัว คนบนหลังม้าทำให้รูม่านตาของเจินจูหดเล็กลง
“พวกท่านมาหาผู้ใดกัน?” นางเปิดประตูเพียงครึ่งบาน ปรากฏเสี่ยวหวงที่ตามมาอยู่ข้างกายแต่โดยดี
เด็กสาวผิวขาวราวหิมะเส้นผมสีดำนุ่มดั่งก้อนเมฆ สวมชุดกระโปรงสีฟ้าอมเขียวสวยเรียบงดงาม ยืนอยู่ข้างประตูใหญ่สีแดงเงา กายสะโอดสะองรูปโฉมงดงามดั่ง์สรรสร้าง
“เอ๋ เป็เ้านี่เอง ไม่ได้เจอกันนานเลย ที่นี่เป็บ้านของเ้าหรือ?” หงซื่อเจี๋ยบนหลังม้ารีบพลิกตัวลงจากหลังม้าทันที แล้วเดินมาข้างหน้าอย่างกระตือรือร้น
“แฮ่...” เสี่ยวหวงแสดงฟันอันแหลมคมขึ้น ส่งเสียงขู่เตือนออกมา
“เอ๋ บ้านเ้ายังเลี้ยงสุนัขที่ดุเพียงนี้อีกด้วยหรือนี่” หงซื่อเจี๋ยรีบถอยหลังไปหนึ่งก้าว
“น้องหง เ้ารู้จักแม่นางงดงามเพียงนี้ กลับไม่บอกให้เร็วกว่านี้สักหน่อย ในอำเภอปะแป้งหนาแต่งกายงดงามเ่าั้ สู้แม่นางท่านนี้ไม่ได้เลยสักนิด” จางเฉิงหย่วนก็ลงจากม้ามาเช่นกัน เดินเข้ามาใกล้ด้วยใบหน้าตกตะลึงในความงาม
“พี่จาง ท่านอาจไม่ทราบ ข้าเพียงเคยพบหน้านางที่เมืองไท่ผิงครั้งเดียว ไม่ได้รู้จักชื่อแซ่กับลำดับศักดิ์ในวงศ์ตระกูลของนางเลย” หงซื่อเจี๋ยรีบอธิบาย
เจินจูย่นคิ้ว ถามด้วยใบหน้าเ็า “พวกท่านมีเื่อะไรหรือ?”
เสียงนั้นนุ่มนวลน่าฟัง ดั่งเสียงขับขานของนกขมิ้นชวนเคลิบเคลิ้มในยามเช้า
จางเฉิงหย่วนมองพิจารณาเด็กสาวขึ้นลงอย่างละเอียด สาวน้อยดั่งวัยกระวานอายุสิบสี่ถึงสิบห้าปี บนใบหน้าไม่มีสีชาดเลยแม้แต่นิด ผิวนวลราวกับชิ้นหยกริมฝีปากชุ่มชื้นอมชมพู ลูกตาดำหนึ่งคู่ราวกับดวงดาวในยามราตรี ยามนี้กลับมีความห่างเหินและเ็า
มุมปากจางเฉิงหย่วนยกรอยยิ้มที่ไม่เหมาะสมขึ้น เด็กสาวเหล่านี้อายุน้อยนิดก็รู้จักอุบายใช้การถอยห่างเพื่อเข้าหา [4] เช่นนี้แล้ว เขาผู้แซ่จางเป็ชายหนุ่มหล่อเหลา น้อยนักที่จะเกี้ยวพาสาวอยู่ในเมืองที่เป็อำเภอ ส่วนเด็กสาวครอบครัวชาวนาครอบครัวหนึ่ง นึกไม่ถึงเลยว่าจะเล่นการผลักไสเพื่อดึงดูดใจเขา
“ฮ่าๆ แม่นางท่านนี้ ข้ากับพี่จางมาเที่ยวถึงหมู่บ้านของพวกเ้า เมื่อสักครู่เห็นอินทรีั์หนึ่งตัวคล้ายกับปรากฏอยู่ที่แห่งนี้ หลังบินวนเวียนอยู่ไม่กี่รอบ ก็บินเข้าป่าเขาไป ไม่ทราบว่าอินทรีตัวนั้นเคลื่อนไหวอยู่หมู่บ้านพวกเ้าบ่อยหรือไม่?” หงซื่อเจี๋ยไม่อาจลืมการแสดงออกอันแสนกล้าหาญของเด็กสาวในครั้งก่อนได้
อินทรีั์? เสี่ยวจินถูกพวกเขาเล็งเข้าแล้วหรือ? หัวใจเจินจูเต้นอย่างรุนแรง “หมู่บ้านพวกข้าอยู่ใกล้เทือกเขาไท่หาง สรรพสัตว์ที่ทั้งบินและเดินบนดินมีมากมาย หากพวกท่าน้าหาเหยี่ยวหรืออินทรีั์สามารถเขาไปในูเาลึกได้ ที่นั่นน่าจะมีมากกว่า”
“ไม่ใช่ อินทรีั์ตัวนั้นค่อนข้างพิเศษมาก รูปร่างใหญ่โตอย่างยิ่ง เหลืองอร่ามเจิดจ้า ดูน่าเกรงขามมีความแข็งแกร่ง ดูแล้วเหมือนสัตว์มงคลอย่างปลาที่กลายร่างเป็นกนัก” หงซื่อเจี๋ยกล่าวต่อ
สัตว์มงคลอย่างปลาที่กลายร่างเป็นก? มารดามันเถอะ นี่คืออยากจับส่งไปเมืองหลวงเพื่อเป็เครื่องบรรณาการร้องขอความชอบหรือ? เจินจูกำมือใต้แขนเสื้อไว้แน่นอย่างอดกลั้นไม่ได้ นางต้องไปเตือนเสี่ยวจินเสียหน่อย ่นี้ให้มันหลบซ่อนไปก่อน พอฟ้ามืดแล้วค่อยมาทานของที่บ้านสกุลหู เวลากลางวันอันตรายเกินไป อยู่ในป่าเขาลึกมันจะค่อนข้างปลอดภัยมากกว่า
“หากพวกท่าน้าหาสัตว์ปีกบินได้ก็ไปหาในูเา ในบ้านข้ามีเพียงคนในครอบครัวที่เป็สตรี ขอไม่ต้อนรับพวกท่านแล้ว” เจินจูกล่าวจบคิดจะปิดประตูลง
มือใหญ่ข้างหนึ่งขวางไว้ที่บานประตู จางเฉิงหย่วนยกมุมปากยิ้มขึ้น ใช้ท่วงท่าที่เขาคิดเอาเองว่าดูสง่า ยืนทำท่ากึ่งพิงไปบนบานประตู “แม่นาง เ้าไม่ต้องหวาดกลัวไป นายอำเภอของอำเภอเจิ้นอันเป็ลูกพี่ลูกน้องของท่านพ่อข้า ข้าออกจากเมืองหลวงมาท่องเที่ยวที่เอ้อโจว หยุดอยู่อำเภอเจิ้นอัน่หนึ่ง ทัศนียภาพป่าหงเฟิงผืนนี้ของหมู่บ้านพวกเ้าโดดเด่นเป็พิเศษ ทำให้คนเดินดูเพลินจนลืมกลับบ้าน สามารถเชิญแม่นางมาเป็ผู้นำทางและแนะนำสิ่งเล็กสิ่งน้อยได้หรือไม่?”
เจินจูมองเขาแวบหนึ่งด้วยสายตาเ็า เ้าเด็กนิสัยเสียที่ดูเสแสร้งหยิ่งยโสผู้นี้ คิดว่าเอาท่านอาที่เป็นายอำเภอของตนเองออกมาแล้วจะสามารถจับหัวใจของเด็กสาวที่ขาดความรู้ได้หรือ
“ขอโทษด้วย คุณชายท่านนี้ โปรดให้อภัยเด็กสาวผู้น้อยที่ไม่สามารถตอบรับได้ บุรุษและสตรีไม่ควรอยู่ใกล้ชิดกัน หากพวกท่าน้าผู้นำทาง ชาวบ้านที่ว่างงานในหมู่บ้านมีมาก พวกท่านให้พวกเขาช่วยแนะนำให้ได้” เจินจูพลิกฝ่ามือคิดจะปิดประตู
จางเฉิงหย่วนขมวดคิ้วขึ้น แม่นางชนบทช่างไม่มีสายตามองเื่ราว ไม่รู้จักควบคุมสถานการณ์ เล่นตัวมากเกินไปก็ทำให้คนเกิดความเบื่อหน่ายรำคาญได้
เขายื่นมือออกมากำลังจะขวางประตู
“เสี่ยวหวง!” เจินจูะโเบาๆ หนึ่งที
“แฮ่... โฮ่งๆๆ!” เสี่ยวหวงลุกขึ้นเห่าขู่ทันที ลูกตาจ้องกลมดิก ลักษณะโเี้และดุดัน เผยเคี้ยวแหลมคมทั้งปากแสดงออกมา พร้อมกับส่งเสียงเห่าอย่างเกรี้ยวกราด ขนด้านหลังตั้งชูชันขึ้น แสดงท่าทีที่พร้อมโจมตีทุกเมื่อ
จางเฉิงหย่วนสีหน้าหยุดชะงักแข็งทื่อ ใจนถอยหลังไปสองสามก้าว
เจินจูจึงปิดประตูอย่างไม่ร้อนรน
จางเฉิงหย่วนสีหน้าเขียวคล้ำ ในดวงตาพวยพุ่งลูกไฟขึ้น สาวบ้านนอกตัวเล็กผู้หนึ่งเสแสร้งดัดจริตปานนี้เชียวหรือ
เชิงอรรถ
[1] นกตื่นธนู หรือ 惊弓之鸟 หมายถึง การเปรียบเทียบถึงคนที่เคยผ่านเหตุการณ์ที่ไม่ดีมา และภายหลังเมื่อมีอะไรมากระทบเล็กน้อยก็จะตื่นกลัวอย่างมาก
[2] ย่วนจ่าง คือ บุคคลที่มีตำแหน่งเป็ผู้อำนวยการ
[3] วันตงจื้อ หรือ 冬至 คือ วันเหมายัน หรือวันที่กลางคืนยาวนานกว่ากลางวัน เพราะดวงอาทิตย์ส่องแสงสั้นที่สุด ในบ้านเราเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วันไหว้ขนมบัวลอย
[4] ถอยห่างเพื่อเข้าหา หมายถึง กลอุบายใช้ท่าทีการถอยออกไป เพื่อให้ได้มาซึ่งความก้าวหน้า
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้