ยอดเขาิเฟิงเป็ยอดเขาลูกแรกของูเาเฮยเสวียน สถานที่แห่งนี้บริบูรณ์ไปด้วยพืชพรรณเขียวชอุ่ม และซากของเหล่าจอมยุทธ์ไร้ิญญา
หนิงเทียนเดินตามหญิงชุดดำด้วยสีหน้าสดใสภายใต้แสงตะวัน ยิ่งมองรูปร่างอันน่าหลงใหลตรงหน้า เขาก็ยิ่งรู้สึกราวกับตกอยู่ในห้วงความฝัน
หนิงเทียนวัยสิบเจ็ดปีเคยมีนิสัยร่าเริง ทว่าการจากไปของบิดาผนวกกับความแค้นต่อตระกูลซูก็ทำให้เขาเคร่งขรึมมากขึ้น
คาดไม่ถึงว่าฟ้าหลังฝนจะพลิกผันได้ถึงเพียงนี้
ไม่เพียงแต่กลายเป็จื๋อซิว ตอนนี้เขายังมีอาจารย์อีกด้วย นี่อาจเป็การชดเชยจาก์ก็เป็ได้
แม้เยี่ยหลิงหลานจะเป็คนเ็าและถือสันโดษ แต่นางก็ดีกับหนิงเทียนมาก
ไม่ใช่เพียงเพราะเื่ราวน่าเห็นใจที่เกิดขึ้นกับเขา แต่นางยังสนใจรากบ่มเพาะแสนลึกลับในร่างกายของเขาด้วย
“เส้นลมปราณทั้งเก้าของเ้าสมบูรณ์แบบ สถานการณ์นี้ค่อนข้างพิเศษ เ้าอยู่ในขอบเขตรวบรวมขั้นเก้า่ต้นแล้ว แต่ข้าไม่ทราบประเภทของรากบ่มเพาะ จึงยังไม่สามารถสอนวิธีปลูกฝังอย่างเฉพาะเจาะจงให้เ้าได้”
หนิงเทียนถามอย่างตื่นตระหนก “เช่นนั้นข้าจะสามารถระบุประเภทรากบ่มเพาะได้เมื่อใด?”
“หากเ้าเข้าสู่ขอบเขตรวบรวมขั้นเก้า่ปลาย เ้าจะปลุกทักษะโดยกำเนิดของรากบ่มเพาะได้ เมื่อนั้นจึงจะรู้ต้นกำเนิดของมัน ข้าพาเ้ามาที่นี่เพื่อฝึกฝน หวังว่าเ้าจะพัฒนาความแข็งแกร่งและปลุกทักษะได้โดยเร็ว”
หนิงเทียนมองซากศพในกอหญ้าแล้วกล่าวอย่างหวั่นใจ “ท่านอาจารย์จะปล่อยข้าไว้เช่นนี้หรือ? ท่านไม่ถ่ายทอดความรู้ให้ข้าสักหน่อยเล่า? หากเกิดอันตรายขึ้น...”
เยี่ยหลิงหลานพูดขัดด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องกลัว ยอดเขาิเฟิงไม่อันตราย ผู้มาเยือนล้วนอยู่ในขอบเขตรวบรวมทั้งสิ้น ด้วยสถานการณ์ของเ้า ย่อมสามารถกลายเป็าาที่นี่ได้”
หนิงเทียนยังคงสงสัย “ท่านพูดจริงหรือไม่? เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่ายอดเขาิเฟิงไม่เหมือนกับที่ท่านกล่าวมาเลย?”
“เ้าวางใจได้ ในูเาเฮยเสวียนยิ่งขอบเขตสูงเท่าใดก็ยิ่งตายเร็วเท่านั้น ขอบเขตของข้าไม่ว่าจะไปที่ใดก็ล้วนถูกจำกัด ขณะที่ขอบเขตของเ้ายังไม่มีสิ่งใดเป็อันตราย”
“ไม่ว่าจะไปที่ใดก็ล้วนถูกจำกัด? แล้วเหตุใดท่านยังอยู่ที่นี่เล่า?” หนิงเทียนถามด้วยสีหน้าสงสัย
เยี่ยหลิงหลานจ้องเขานิ่ง ดูเหมือนศิษย์ตัวน้อยคนนี้จะหลอกได้ยาก “ยอดเขาิเฟิงมีรากบ่มเพาะและเหมาะแก่การฝึกฝนทักษะ ข้าจึงพาเ้ามาที่นี่ จงจำไว้ว่าเมื่อเข้าไปแล้วเ้าต้องระมัดระวังทุกฝีก้าว และทุกครั้งที่เ้าได้รากบ่มเพาะมา ข้าจะตอบแทนด้วยหินิญญาสองก้อน หากเ้าได้รับอาวุธิญญาจื๋อซิว ข้าก็มีผลตอบแทนให้มหาศาล”
หนิงเทียนได้ยินเช่นนี้ก็อ้าปากค้างจนกรามแทบหลุด “ท่านอาจารย์กำลังสั่งให้ข้าทำงานหนักเพื่อท่าน!”
“ไร้สาระ ข้ามาที่นี่เพื่อฝึกเ้า การเสาะหารากบ่มเพาะเป็เพียงผลพลอยได้” เยี่ยหลิงหลานตอบด้วยใบหน้าเฉยเมย หัวใจก็เต้นตามปกติ นางไม่ยอมรับความจริงเื่นี้แม้แต่น้อย
ยิ่งมองนาง หนิงเทียนก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เหตุใดอาจารย์ผู้เยือกเย็นจึงดูเหมือนจิ้งจอกเ้าเล่ห์เช่นนี้?
“ที่รับข้าเป็ศิษย์คงไม่ใช่เพราะ้าให้ข้าทำงานเพื่อท่านหรอกนะ? ไม่ใช่ว่าท่านไม่คิดจะถ่ายทอดทักษะั้แ่แรก... โอ๊ย! ข้าเจ็บ ท่านตีข้าด้วยเหตุใด?”
“เ้ากล้าสงสัยอาจารย์หรือ? น่าตีเสียจริง อาจารย์จะเป็คนเช่นนั้นได้อย่างไร?”
“ใช่!”
“สมควรโดนตี!”
“ข้าเจ็บนะ โอ๊ย! เบาลงหน่อย ท่าน! อย่าตีข้า ท่านอาจารย์โปรดไว้ชีวิต ขะ...ข้ายอมแล้ว”
“หากไม่ลงมือ เ้าก็จะไม่รู้จักเชื่อฟัง” เยี่ยหลิงหลานส่งยิ้มพราวเสน่ห์ แต่หนิงเทียนกลับหดหู่ใจจนอยากหลั่งน้ำตา
เขารู้สึกราวกับตนก้าวขึ้นเรือโจรสลัดเสียแล้ว อาจารย์ผู้งดงามดุจนางเซียนกลับกลายเป็ปีศาจสาวในพริบตา
“ท่านอาจารย์ หากข้าตายบนูเา แล้วความแค้นของท่านพ่อ...”
“ไม่ต้องกังวล เ้าไม่ตายหรอก”
“ท่านอาจารย์ พวกเราล้วนเป็เชื้อสายรากพฤกษา หากข้าค้นพบรากอสูร ท่านอยากให้ข้าเก็บมันมาด้วยหรือไม่?”
“ขอเพียงเป็รากบ่มเพาะก็นำกลับมาทั้งหมด นี่คือกำไลหยกหยวน มันสามารถเก็บรากบ่มเพาะได้ ข้าให้เ้ายืม”
กำไลหยกหยวนสีฟ้าอ่อนค่อยๆ ปรากฏบนข้อมือของหนิงเทียน เมื่อปล่อยกระแสพลังไหลผ่านก็พบว่าภายในกำไลมีพื้นที่อันน่าอัศจรรย์
“ขอบคุณท่านอาจารย์ที่มอบของวิเศษให้ ข้าชอบกำไลวงนี้ยิ่งนัก” หนิงเทียนหมุนเวียนพลังิญญาเข้าไปในกำไลหยกหยวน พื้นที่ด้านในกว้างขวางจนสามารถใสู่เาได้ทั้งลูก
เ้าสิ่งนี้เยี่ยมยอดกว่าถุงมิติทั่วไปมาก แม้แต่แหวนมิติอันล้ำค่าก็ยังมีพื้นที่ไม่เกินเรือนหนึ่งหลังเท่านั้น
“ิเฟิงเป็ยอดเขาลูกแรกในเก้ายอด เหมาะสำหรับผู้ฝึกตนขอบเขตรวบรวม ด้านในไม่ได้มีเพียงจื๋อซิวเท่านั้นแต่ยังมีหยวนซิวด้วย เ้าต้องไม่เปิดเผยการก่อตัวของเส้นลมปราณทั้งเก้า เพราะนั่นจะทำให้เกิดหายนะ ส่วนตอนนี้ข้าจะสอนวิชาทะยานหลงเงาตัดผกาให้เ้าก่อน”
เมื่อพูดจบ เยี่ยหลิงหลานก็พลิกข้อมืออย่างคล่องแคล่วราวเทพเซียน พลังิญญาเบ่งบานบนปลายนิ้วของนางราวกับหมู่ดอกไม้กำลังโบยบินอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ
หนิงเทียนตั้งใจมองภาพเบื้องหน้า พลังิญญาในกายแผ่ซ่านมายังดวงตา เขามองดูเพียงรอบเดียวเท่านั้นก่อนจะเริ่มฝึกฝน กระบวนท่าทะยานหลงเงาตัดผกานั้นซับซ้อนมาก แต่เขาใช้เวลาเพียงหนึ่งก้านธูป[1]ก็สามารถใช้ได้อย่างชำนาญแล้ว
เยี่ยหลิงหลานเองยังใกับความสามารถของเขา แต่ก็กล่าวออกมาว่า “ยังต้องพยายามอีกนิด ไปได้แล้ว อย่าทำให้ข้าอับอายเล่า”
หนิงเทียนถามอย่างลังเลว่า “ท่านอาจารย์ หนึ่งกระบวนท่าไม่น้อยไปหรือ? แล้วอีกร้อยแปดสิบกระบวนท่าเล่า?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เยี่ยหลิงหลานก็แสยะยิ้ม
หนิงเทียนเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่ปลอดภัยจึงวิ่งหนีพร้ะโกน “ขอฝากอีกร้อยแปดสิบกระบวนท่าไว้ก่อน ไว้กล่าวถึงเื่นี้อีกคราเมื่อข้ากลับมา”
“เฮอะ! เ้าเด็กแสบ แน่จริงก็อย่าหนีสิ”
เยี่ยหลิงหลานพึมพำด้วยรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นในดวงตาอย่างไม่รู้ตัว
“ถูกสายฟ้าฟาดเพียงนั้นแต่ก็ยังรอดมาได้ รากบ่มเพาะในกายต้องผิดธรรมชาติเป็แน่ ข้าต้องรู้ความจริงให้จงได้”
...
ยอดเขาิเฟิงล้อมรอบไปด้วยกองซากศพ หนิงเทียนเดินคาบใบหญ้าและหันกลับไปมองเป็ครั้งคราว เขาเห็นอาจารย์เฝ้าอยู่ด้านนอก และไม่เปิดโอกาสให้หนีออกไปแม้แต่น้อย
“เหตุใดที่นี่จึงมีหยวนซิว? พวกเขาไม่้ารากบ่มเพาะเสียหน่อย แล้วพวกเขามาด้วยเหตุใดกัน?” หนิงเทียนพึมพำอยู่ในใจ
พลังิญญากำลังไหลเวียน กระดูกที่แตกร้าวเริ่มสมาน แม้ก่อนหน้านี้เขาจะถูกอาจารย์ตีอย่างหนัก แต่ยามนี้เขากลับสบายใจเป็อย่างมาก
หนิงเทียนไม่ใช่คนโง่ เขารู้ว่าเยี่ยหลิงหลานช่วยจัดเส้นลมปราณให้แล้วตอนที่ตีเขา ถือว่านี่เป็วิธีการที่ค่อนข้างดี
ในดินแดนหยวนซิง การบ่มเพาะแบ่งออกเป็ห้าขอบเขต ได้แก่ รวบรวม จิตหยั่งลึก ผนึกดารา เปลี่ยนผ่าน และเหนือเมฆา นอกจากนี้แต่ละขอบเขตยังแบ่งออกเป็เก้าขั้นด้วย
ตอนนี้หนิงเทียนอยู่ในขอบเขตรวบรวมขั้นเก้าแล้ว แต่เนื่องจากเส้นลมปราณของเขาใหญ่มาก เมื่อพลังิญญาในร่างมีไม่มากพอ เขาจึงรู้สึกหิวโหยอยู่ตลอดเวลา
ยอดเขาิเฟิงสูงถึงหลายพันจั้ง[2] มีความลาดชันไม่สม่ำเสมอ พืชพรรณหนาแน่น นกและสัตว์ต่างส่งเสียงร้องเป็ระยะๆ
หนิงเทียนเดินเหยียบเศษกระดูกมาจนถึงตีนเขา ในใจรับรู้ถึงแรงกดดันทันทีที่เข้าใกล้ยอดเขานี้ ราวกับมีพลังเร้นลับล้อมรอบร่างและคอยสอดส่องสถานการณ์
“นี่คือข้อจำกัดที่อาจารย์กล่าวถึงหรือ? แม้กระทั่งผู้บำเพ็ญชั้นสูงก็ไม่กล้าเข้ามาเช่นนั้นหรือ?”
หนิงเทียนมองไปรอบๆ ก็พบว่า ห่างออกไปไม่กี่ร้อยจั้งมีร่างสองร่างกำลังย่องเข้าไปในยอดเขาิเฟิง
“ที่แท้ก็มีผู้อื่นอยู่ด้วย ไม่รู้ว่าสองคนนั้นเป็จื๋อซิวหรือหยวนซิว”
หนิงเทียนยังคงก้าวไปข้างหน้า แรงกดดันในกายก็หายไปอย่างกะทันหันเมื่อเข้าสู่เขตยอดเขา
แม้ยอดเขาิเฟิงจะดูเหมือนยอดเขาทั่วไปที่มีวัชพืชรกชัฏและต้นไม้เขียวชอุ่ม ทว่ากลิ่นอายของที่นี่กลับแข็งแกร่งกว่าภายนอกเล็กน้อย
ทันใดนั้น มีลูกศรพุ่งเข้ามาเสียบลำต้นของต้นไม้ข้างกายหนิงเทียน
“เรายึดครองที่แห่งนี้แล้ว อย่าเข้ามา!”
หญิงสาวในชุดสีเขียวผู้อยู่ห่างไม่กี่จั้งยืนถือธนูด้วยมือซ้ายอย่างอาจหาญและจ้องมองหนิงเทียนอย่างเย่อหยิ่ง
นางมีรูปร่างเพรียวบาง ความงดงามไม่ธรรมดา บนใบหน้ายังมีจิติญญาแห่งความกล้าอีกด้วย แต่ดวงตาของนางกลับหรี่มองหนิงเทียนอย่างนิ่งงัน
“หากไม่ให้เข้าไป เช่นนั้นข้าจะขึ้นไปได้อย่างไร?”
“จงอ้อมไป”
หลินเสี่ยวซินมองนิ่ง ชายผู้นี้มาที่นี่ด้วยมือเปล่าเพียงลำพังหรือ? เขาคิดว่านี่คือสวนหลังเรือนหรืออย่างไร?
หนิงเทียนเงยหน้า การมองเห็นและการได้ยินของเขาดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในไม่ช้าเขาก็ััได้ถึงคลื่นพลังที่คล้ายกันห้าลูก
“เ้าคือจื๋อซิว?” หนิงเทียนมองหลินเสี่ยวซิน ความผันผวนของนางไม่รุนแรง และรากบ่มเพาะในกายของเขาก็ไม่สนใจนางแม้แต่น้อย
“ข้ามีนามว่าหลินเสี่ยวซิน ศิษย์ฝ่ายนอกของสำนักเชียนเฉ่า เ้าเป็ใคร?”
สำนักเชียนเฉ่าหรือ?
หนิงเทียนแปลกใจเล็กน้อย
“ข้ามาจากสำนักวั่นจื๋อ...”
“ไร้สาระ!”
หลินเสี่ยวซินขัดจังหวะก่อนหนิงเทียนจะพูดจบ
“หากไม่ใช่ขอบเขตเปลี่ยนผ่าน ผู้ใดบ้างจะสามารถเป็ศิษย์ของสำนักวั่นจื๋อได้? หรือหากเ้าอยู่ในขอบเขตเปลี่ยนผ่านจริง เมื่อมาที่นี่ก็คงกลายเป็โครงกระดูกไปนานแล้ว”
หนิงเทียนถามอย่างประหลาดใจ “มีเื่เช่นนี้ด้วยหรือ?”
“เ้าโง่! แดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามของจื๋อซิว ไม่ว่าจะเป็สำนักกายา สำนัก์ หรือสำนักวั่นจื๋อล้วนต้องอยู่ในขอบเขตเปลี่ยนผ่านเป็อย่างต่ำ ด้วยความแข็งแกร่งอันน้อยนิดของเ้า แค่สามารถเป็ศิษย์ฝ่ายนอกของสำนักเชียนเฉ่าได้ก็น่าเหลือเชื่อเกินพอแล้ว!”
หนิงเทียนลูบคางพลางพิจารณาตามสิ่งที่ได้ยิน ที่แท้ความแข็งแกร่งของท่านอาจารย์ก็ไม่น้อยเลย
“ข้านามว่าหนิงเทียน เป็ผู้บ่มเพาะรากพฤกษา เหตุใดเ้าถึงไม่ให้ข้าผ่านไปเล่า?”
“ไม่ได้ ข้ามีเื่ต้องทำ ถ้าอยากขึ้นก็จงอ้อมไป ไม่เช่นนั้นก็กลับไปเสีย”
หนิงเทียนขมวดคิ้วและตรวจสอบสถานการณ์รอบตัวอย่างถี่ถ้วน พลังิญญาในร่างเอ่อล้นออกมาจากจุดหย่งเฉวียน[3] ก่อนจะหลั่งไหลลงสู่ผืนดิน เพียงครู่หนึ่งทิวทัศน์โดยรอบก็ชัดเจนขึ้นในห้วงจิตของเขา
“ที่แท้ที่นี่ก็มีรากบ่มเพาะ” หนิงเทียนพึมพำกับตัวเอง ขณะที่หลินเสี่ยวซินเริ่มตื่นตระหนก
“ออกไปเดี๋ยวนี้! ไม่เช่นนั้นข้าจะยิงศรใส่เ้าอย่างไร้ความปรานี” หลินเสี่ยวซินง้างสายธนูเตรียมปล่อยลูกศรและเล็งไปที่หนิงเทียน พลันต้นหญ้ารอบกายนางส่งเสียงกรอบแกรบ พร้อมปล่อยคลื่นแห่งความเกลียดชังออกมา
“รากบ่มเพาะประเภทหญ้า? ทักษะควบคุมวัชพืช?”
หนิงหยาง บิดาของเขาก็เป็จื๋อซิวเช่นกัน ดังนั้น เขาจึงมีความรู้ทั่วไปอยู่บ้าง
“ข้าจะนับถึงสาม เ้าจงออกไป ไม่เช่นนั้นข้าจะยิง” หลินเสี่ยวซินไม่อยากพูดไร้สาระกับเขา หญิงสาววัยสิบหกปีไม่ได้มีนิสัยเลวร้าย ทั้งยังไม่อยากสังหารผู้ใด นางแค่้าขับไล่หนิงเทียนออกไปเท่านั้น
ทว่ายามที่ทั้งสองคนตกอยู่ในภาวะจนมุมและหนิงเทียนกำลังพิจารณาว่าควรล่าถอยหรือไม่ ก็มีเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นเสียก่อน
เสียงคำรามประหลาดดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงคนกรีดร้อง
วินาทีถัดมา มีร่างหลายร่างโผล่ออกมาจากป่า ชั่วครู่หนึ่งก็มีเงาแสงกระบี่สว่างขึ้นจากฝั่งผู้โจมตี
“แย่แล้ว!” หลินเสี่ยวซินอุทานแล้วหมุนตัวแผลงศร ก่อนจะถูกโจมตีจนปลิวไปตามแรงฝ่ามือ แล้วทรุดกายอยู่แทบเท้าของหนิงเทียน
หนิงเทียนถามอย่างสงสัย “เ้าอยู่ในขอบเขตรวบรวมขั้นใด?”
หลินเสี่ยวซินได้รับาเ็สาหัสจนเืลมผันผวน นางรีบกระโจนลุกขึ้นแม้จะมีเืไหลออกมาจากปากจนแดงฉาน
“ขะ...ขั้นเก้า”
หลินเสี่ยวซินส่ายหัวแล้วหันไปกล่าวกับหนิงเทียนว่า “ถ้าอยากรอดก็จงหนีไปเสีย”
จากนั้นก็รีบกลับไปเผชิญหน้ากับศัตรู
“ขอบเขตรวบรวมขั้นเก้าไร้ประสบการณ์ถึงเพียงนี้เลยหรือ?”
ทันทีที่หนิงเทียนพูดจบ หลินเสี่ยวซินก็ถูกฝ่ามือฟาดลงไปอีกครั้ง
“เอาชนะไม่ได้ก็อย่าเข้าสู้! ช่างโง่เขลายิ่งนัก” หนิงเทียนยื่นมือมาอุ้มหลินเสี่ยวซิน ก่อนจะเห็นว่าใบหน้าของนางซีดเซียวและพลังิญญาในร่างก็หมุนวนไปมาอย่างสับสน
“วางข้าลง หนีไป!”
“แล้วเ้าเล่า?”
“ข้าทิ้งสหายไม่ได้” หลินเสี่ยวซินพยายามดิ้นเพื่อกลับไปช่วยสหาย
หนิงเทียนจึงถามนางว่า “เ้าไม่กลัวตายหรือ?”
“เราจะไม่ตาย ผู้โจมตีก็เป็ศิษย์สำนักเชียนเฉ่า สิ่งที่ทำได้มากที่สุดคือทำให้อับอายเท่านั้น”
ขณะที่นางพูด ร่างสี่ร่างก็ถูกถล่มจนร่วงลงมาข้างกายหนิงเทียน
“รากบ่มเพาะนี้เป็ของเรา ไปให้พ้น!”
ชายชุดขาวยืนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ กำลังมองลงมายังกลุ่มคนผู้พ่ายแพ้ แต่เขาไม่คาดคิดว่าจะมีคนแปลกหน้ามองเขาอยู่
“เ้ามาจากที่ใด? จ้องข้าเช่นนี้ไม่รู้หรือว่าข้าควักลูกตาเ้าได้?”
ชายชุดขาวไม่พอใจอย่างยิ่ง เขาปรากฏตัวอย่างสง่างามและเย่อหยิ่ง แต่กลับมีชายผู้หนึ่งมองตนโดยไม่กะพริบตา
นั่นเป็รูปลักษณ์แบบใดกัน? กำลังมองคนเขลาหรือ?
ช่างรนหาเื่ยิ่งนัก!
---------------------------------------
[1] หนึ่งก้านธูป (一炷香) เป็การนับเวลาของคนจีนสมัยโบราณ เทียบเป็หน่วยเวลาปัจจุบัน คือ 1 ชั่วโมง
[2] จั้ง (丈) เป็มาตราวัดความยาว โดย 1 จั้ง ยาวประมาณ 10 ฟุต หรือประมาณ 3.3 เมตร
[3] จุดหย่งเฉวียน (涌泉穴) คือ จุดลมปราณบริเวณกลางฝ่าเท้าค่อนไป้า ซึ่งเชื่อมไปถึงไต
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้