คงไม่หรอกกระมัง หากเขา้าจะสับข้าคงลงมือไปนานแล้ว ครั้งที่แล้วเขาไม่ได้แยกดวงิญญาของข้า เห็นได้ชัดว่าระแวดระวังหลิวเฟิงกับวังจินเยี่ยนที่อยู่เื้ั
ทว่าหากพิจารณาถึงอุปนิสัยของหลี่อวิ๋นหัง นั่นมิใช่กล้ำกลืนความโกรธไว้หรอกหรือ? เมื่อนึกถึงหลี่อวิ๋นอี้ที่ถูกทรมานจนตาย คร่ำครวญอยู่เป็เวลาสองวันจึงขาดใจตายแล้ว...ยิ่งคิดดวงตาทั้งสองยิ่งมืดลง ยังต้องแสร้งไกล่เกลี่ยกับอี้จื่ออีอย่างสง่างามอีก เจียงเฉิงเยว่รู้สึกผิดจากก้นบึ้งหัวใจโดยพลัน เขาจึงดื่มชาสมุนไพรจนแทบจะหมดในเวลาอันสั้น
อี้จื่ออีทุบโต๊ะ “ที่แท้เป็เช่นนี้...เช่นนั้นฉิงชางจวิน ท่านวางแผนจะทำอย่างไรต่อไป?”
เจียงเฉิงเยว่เอ่ยด้วยรอยยิ้มเ็า “วางแผน? ข้าวางแผนจะลากาาผีแห่งแดนใต้ผู้นี้ออกไปจากสามโลก และจะแยกิญญาเพื่อเป็ตัวอย่างไม่ให้ผู้ใดกระทำผิดอีก!”
เขายังไม่ทันพูดจบ หลี่อวิ๋นหังที่ไม่ได้เปิดปากพูดมานานกลับกล่าวต่ออย่างเ็า “เขาหายไปหลายสิบปีแล้ว”
หลังจากได้ยิน เจียงเฉิงเยว่จึงถอนหายใจอย่างโล่งอกด้วยเหตุผลบางอย่าง เขามองดูอีกฝ่าย อาศัยโอกาสนี้ตรวจสอบอารมณ์ของอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง กลับเห็นว่ายังคงสงบไร้ระลอกอารมณ์แห่งความยินดีหรือโกรธเช่นเคย ในใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขมขื่น คิดในใจว่าแม้ตอนที่อีกฝ่ายยังเยาว์วัยจะชอบงอน เอาใจยาก ทว่ายังสามารถเห็นความเศร้าหรือความสุขเล็กน้อยบนใบหน้า ทำไมยามนี้ถึงเปลี่ยนเป็ลึกล้ำเช่นนี้ แม้แต่อารมณ์เล็กน้อยล้วนไม่ปรากฏบนใบหน้าเลย
เจียงเฉิงเยว่แสร้งทำเป็เฉยเมยและแค่นเสียง “ขอเพียงิญญาของเขาไม่แหลกสลายไปจากสามโลก ข้าจะลากเขาออกมาไม่ช้าก็เร็ว!”
หลี่อวิ๋นหังกระตุกมุมปากเล็กน้อย “ดูเหมือนว่าฉิงชางจวินจะตัดสินใจแล้ว”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึง สุดท้ายรู้ถึงเจตนาของการตำหนิและประชดประชันจากการเอ่ยชื่อของเขา
อี้จื่ออีไม่รู้ถึงการเขม่นกันระหว่างหนึ่งผีกับหนึ่งเซียน เขาเอ่ยด้วยความตื่นเต้น “ฉิงชางจวินจะเตรียมการอย่างไร? ข้าน้อยพร้อมรับคำสั่ง!”
เจียงเฉิงเยว่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “คุณชายอี้...ท่าน้าสืบหากับพวกเราต่อไปหรือ?”
อี้จื่ออีตอบรับ “แน่นอน!”
เจียงเฉิงเยว่เอ่ยต่อ “ท่านไม่กลับไปที่ไท่ซื่อซานหรือ?”
อี้จื่ออีบอก “ข้าเขียนจดหมายส่งกลับไปยังสำนักนานแล้ว โดยบอกว่า้าออกไปฝึกฝนหาประสบการณ์เพียงลำพัง...” เขาลอบมองหลี่อวิ๋นหังแวบหนึ่ง จากนั้นหันไปหาเจียงเฉิงเยว่ “หากเซียนจวินทั้งสองท่านไม่รังเกียจ...ให้ข้าอยู่ที่นี่ในฐานะคนรับใช้เถิด แม้ว่าการบ่มเพาะของข้าน้อยจะไม่ลึกล้ำ แต่ยังสามารถจัดการเื่ราวเบ็ดเตล็ดเล็กน้อยได้”
เจียงเฉิงเยว่ “อาจารย์ของท่านเห็นด้วยหรือ?”
อี้จื่ออีบอกด้วยรอยยิ้ม “ฉิงชางจวินคงลืมไปแล้ว...ไท่ซื่อซานของข้ามีชื่อเสียงในการขายข้อมูลในโลกแห่งบ่มเพาะ ข้อมูลเหล่านี้ปกติแล้วไม่อาจรับจากที่ใดนอกจากไท่ซื่อซาน ศิษย์ในสำนักส่วนใหญ่ก็ออกไปฝึกฝนหาประสบการณ์ ไม่จำเป็ต้องได้รับการอนุมัติ ขอเพียงรายงานความจริงตามที่เป็และได้ยินตามกำหนดเวลา...” เขาตกตะลึง จากนั้นนึกอะไรขึ้นได้ รีบบอกกับเจียงเฉิงเยว่อย่างซื่อสัตย์ “แน่นอนว่าหากฉิงชางจวินไม่เห็นด้วย ข้าน้อยจะไม่เปิดเผยให้ใครรู้สักครึ่งคำเป็อันขาด!”
เจียงเฉิงเยว่เงียบไปครู่หนึ่ง ความจริงแล้วเขาไม่กลัวการ ‘รายงานความจริง’ ของอี้จื่ออี สิ่งที่เขา้าคือการรายงานความจริงตามกำหนดเวลาของอี้จื่ออีต่างหาก เพื่อให้สำนักเต๋าและใต้หล้ารู้ชัดว่าเขาไม่ได้ล้มเลิกที่จะเสาะหาความจริง...นอกจากนี้หากอี้จื่ออีไม่อยู่ด้วยจะเหลือเพียงเขากับหลี่อวิ๋นหัง...หากอยู่ร่วมกันเพียงลำพัง เช่นนั้นก็เหมือนเนื้อที่เข้าปากเสือไม่ใช่หรือ?!
เมื่อเห็นว่าเจียงเฉิงเยว่ไม่ออกความเห็นใด นิสัยตีงูแล้วงูเลื้อยขึ้นไม้[1] ของอี้จื่ออีทำให้อีกฝ่ายยอมรับ เขาพลันตื่นเต้นขึ้นมา “ฉิงชางจวิน...เช่นนั้น...พวกเราจะไปที่ไหนกันต่อ? ้าจะทำอะไรหรือ?”
เจียงเฉิงเยว่ถอนหายใจบอก “เมืองปี่อั้นแห่งแดนเหนือ เดือนหน้า...ตลาดผีคงจะเปิดแล้ว”
หลี่อวิ๋นหังเม้มปาก อี้จื่ออีรีบร้อนบอก “ฉิงชางจวิน้ากลับไปที่ปรโลกเพื่อสืบข่าวหรือ? เหตุใดจึงต้องไปตลาดผี?”
หากเปรียบโลกใต้พิภพเป็สระน้ำขนาดใหญ่ ตลาดผีคือกระดานะโน้ำ[2] ที่ยื่นจากชายฝั่งลงไปในน้ำ ซึ่งคนบนฝั่งและปลาในน้ำสามารถพบปะกันได้ในที่แห่งนี้ หลังจากลงน้ำผู้คนต้องตาย เมื่อขึ้นฝั่งปลาย่อมตายเช่นเดียวกัน กระดานะโน้ำนี้จะเปิดทุกสามเดือน ขอเพียงยามที่กระดานถูกเก็บ ปลาจะเข้าสู่น้ำลึก ส่วนนักท่องเที่ยวจะขึ้นฝั่ง ทั้งสองฝ่ายจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน นับว่าเป็ชายแดนของมนุษย์และิญญาทั้งสองภพ
แน่นอนว่าตลาดผีไม่ได้มีเพียงในเมืองปี่อั้น ทว่าเมืองปี่อั้นกลับเป็หนึ่งในสถานที่ใหญ่ กว้างที่สุด และยังมีอิทธิพลมากที่สุดในบรรดาตลาดผีที่เปิดระหว่างมนุษย์กับิญญาทั้งสองภพ
เขาถูกตี้จวินขับไล่ออกจากปรโลก หาก้าเข้าไปในปรโลกเพื่อสืบข่าว หนทางเดียวที่มีคือตลาดผี โดยใช้...ตัวตนของผู้บ่มเพาะธรรมดา
แน่นอนว่าเขาไม่มีทางอธิบายเหตุผลนี้กับผู้ใดโดยตรง จึงทำได้เพียงบอก “หากกลับไปที่ปรโลกโดยตรง จะเป็การแหวกหญ้าให้งูตื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากมีตัวตนเป็เพียงผู้ฝึกฝนธรรมดา...จะสะดวกต่อการปกปิดร่องรอยของการกระทำ”
สุดท้ายแล้วมีเพียงเขาที่คุ้นเคยกับปรโลกมากที่สุด หากเขาพูดเช่นนี้ สองคนที่เหลือย่อมไม่อาจโต้แย้งได้
เจียงเฉิงเยว่บอก “แต่ว่า...หากไปโดยตรงเช่นนี้ เกรงว่าจะไม่ได้อะไรเลย”
กฎของตลาดผี เจียงเฉิงเยว่ผู้เป็าาผีเข้าใจเป็อย่างดี หากเป็ผู้ฝึกฝนธรรมดาประเภทที่พลัดหลงเข้ามานั้นไม่มีทางที่จะหลบหนีได้ เมื่อทำผิดพลาดอาจสูญสิ้นชีวิตด้วยเื่เพียงเล็กน้อย ซึ่งคาดว่าอาจไม่พบอะไรเลย
ตลาดผีก็เหมือนกับตลาดมนุษย์ มนุษย์ที่ไม่คุ้นเคยจึงยากที่จะเลี่ยงจากการถูกหลอกลวง หากมีคนพาไปจึงจะจัดการเื่ราวได้ง่ายขึ้น แต่ที่จะพาไปครั้งนี้...ต้องไม่ใช่สำนักใหญ่จำพวกสำนักจงหลีซาน ไม่ต้องกล่าวถึงเื่อื่น คนมากย่อมไม่สามารถควบคุมได้ และกลุ่มนักพรตในนั้นต่างก็ตาสูงราวศีรษะ[3] ดังนั้น ไม่ก่อกวนเขาจะเป็การดี นอกจากนี้ภายใต้สำนักประเภทนี้ก็สะดุดตาผู้คนมากเกินไป ตัวตนอาจถูกเปิดเผยได้อย่างง่ายดาย
แม้ว่าไท่ซื่อซานของอี้จื่ออีจะไม่คุ้นเคยกับกฎของปรโลก แต่ก็รู้เกี่ยวกับตลาดผีอยู่บ้าง เขาจึงถาม “เช่นนั้น...ฉิงชางจวิน ท่านเตรียมจะไปที่นั่นอย่างไร?”
เจียงเฉิงเยว่บอกด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนว่าหาคนช่วยเหลือไว้แล้ว”
อี้จื่ออีถามต่อ “ฉิงชางจวินมีคนที่เลือกได้แล้วหรือ?”
เจียงเฉิงเยว่เพียงหัวเราะ
เมื่อหลอกได้พอประมาณแล้ว เจียงเฉิงเยว่เห็นอี้จื่ออีหาวจึงรีบเอ่ย “อา ดึกขนาดนี้แล้วหรือ...” เขาถือโอกาสนี้แยกย้ายไปพักผ่อน
เดิมทีเจียงเฉิงเยว่ประหยัดมัธยัสถ์มากว่าร้อยปีที่ผ่านมา เขาเตรียมที่จะนอนในห้องเดียวกันกับไป้เอ๋อร์ แม้ว่าหลี่อวิ๋นหังมีสีหน้าเฉยเมย ทว่าเขากลับรับรู้ถึงอันตรายบางอย่าง เขาจำได้ว่ายามอีกฝ่ายยังเด็กหวงเสด็จพี่มากเพียงใด แม้ว่าตอนนี้เปลือกนอกของเสด็จพี่จะเปลี่ยนคนแล้วก็ตาม ถึงอย่างไรภายนอกก็ยังเป็เสด็จพี่ของเขาอยู่ดีไม่ใช่หรือ? ควรใช้อย่างระมัดระวังและเป็ระเบียบแบบแผน ถึงอย่างนั้น หลังจากได้พบกับหลิวเฟิง ทรัพย์สินเงินทองของฉิงชางจวินจะพร่องลงได้อีกหรือ?
ดังนั้นจึงติดตามทั้งสองคนออกไปด้วยกัน พวกเขากำลังเดินไปยังห้องว่างข้างๆ ทันใดนั้นอี้จื่ออีกลับนึกอะไรขึ้นได้ จึงถามด้วยรอยยิ้ม “ฉิงชางจวิน ข้าได้ยินไป้เอ๋อร์บอกว่าท่านมีน้องชายคนหนึ่งที่มีชะตาหยินขั้นสูงสุดเช่นกัน ได้ยินว่าฉิงชางจวินยังรับเขาเป็ศิษย์ด้วยเหตุนี้?”
เจียงเฉิงเยว่ราวกับถูกตอกลงบนพื้น จู่ๆ กลับไม่สามารถก้าวเดินได้ ด้านหลังยังคงพูดเจื้อยแจ้วอยู่แต่เขาไม่ได้ยินสักคำ ความคิดพลันว่างเปล่า
เขาหันศีรษะไปมองหลี่อวิ๋นหังอย่างแข็งทื่อ สบสายตาที่มีความหมายแฝงของหลี่อวิ๋นหังพอดี
เมื่ออี้จื่ออีเห็นเขาหยุดเดินกะทันหันจึงหยุดฝีเท้าและมอง จากนั้นพูดด้วยความแปลกใจ “ฉิง...ฉิงชางจวิน?”
เจียงเฉิงเยว่มีเหงื่อเย็นแตกพลั่ก ละล้าละลังอยู่พักหนึ่ง ใมากจนพูดไม่ออก “ข้า...เอ่อ...”
เปิดเผยแล้วหรือ?!
ถ้อยคำของหลิวเฟิงดังก้องอยู่ที่หูของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ‘ในสายตาของหลี่อวิ๋นหัง เ้าเป็เพียงิญญาชั่วร้ายที่ร่างเสด็จพี่ของเขา แม้เ้าจะบอกเขาว่าในยามนี้ ความจริงแล้วเป็เ้าใช้ชีวิตกับเขาบนเขาฉีหวนเป็เวลาสามปี และเ้ายังช่วยเขาจนเกือบจะทำให้ิญญาแตกสลาย เ้าคิดว่าเขาจะเชื่อหรือไม่กัน?’
อีกฝ่ายจะเชื่อหรือไม่?
จะเชื่อหรือไม่?
หากรู้ว่า...เป็เขาที่แสร้งทำเป็ญาติสนิท ั้แ่ต้นจนจบเป็เื่หลอกลวงทั้งหมด
หลังจากผ่าน่เวลาแห่งความกลัว เจียงเฉิงเยว่สงบลงเล็กน้อย ความคิดเริ่มชัดเจนขึ้นมา จากนั้นถอนหายใจ “อันที่จริง...นับว่าเป็น้องชายของข้าไม่ได้หรอก”
หลี่อวิ๋นหังยืนอยู่ด้านหนึ่ง กำลังมองเขาอย่างเงียบงัน
อี้จื่ออีงุนงง “อา?”
เจียงเฉิงเยว่เห็นท่าทางที่งุนงงและสับสน เขาระบายยิ้ม ไม่ได้อธิบายอะไรมาก
อี้จื่ออีจึงไม่ซักถาม ทำได้เพียงปล่อยมันไป
หลี่อวิ๋นหังเดินตามหลังเจียงเฉิงเยว่อยู่ครึ่งก้าว ระเบียงนี้ค่อนข้างแคบ อี้จื่ออีเดินห่างออกไปเล็กน้อย ก่อนที่เจียงเฉิงเยว่จะจงใจหยุดชั่วคราวเพื่อขวางทางหลี่อวิ๋นหัง เอียงตัวไปถามหลี่อวิ๋นหังอย่างใจเย็น “เสด็จพี่ของท่านเคยบอกกับข้า...แม้จะไม่ได้กล่าวอย่างชัดเจน แต่ข้าเดาว่าซ่างเซียนเป็น้องชายคนนั้นที่เขาบอกว่ามีชะตาหยินขั้นสูงสุดใช่หรือไม่?”
ถูกต้อง ฉิงชางจวินทราบชัดเพราะเวลาต่อมา หลี่อวิ๋นเฉินได้ออกจากเขาฉีหวน หลังถูกเขาร่างจึงได้ฟังจากที่หลี่อวิ๋นเฉิน...คำอธิบายนี้คงสมบูรณ์แบบเพียงพอแล้วกระมัง?
หลี่อวิ๋นหังยิ้มให้เขาเล็กน้อย
เจียงเฉิงเยว่ไม่รู้ว่าจะอธิบายรอยยิ้มนั้นอย่างไรดี...มุมปากของอีกฝ่ายยกขึ้นจริง ปรากฏอย่างชัดเจนว่าเป็รอยยิ้ม ใบหน้าหล่อเหลายังคงงดงาม ไม่มีความดุร้ายแม้แต่น้อย ถึงอย่างนั้นรอยยิ้มนั้นกลับเผยความหนาวเหน็บเสียดกระดูก แม้จะตอบสนองได้ช้า ทว่าเจียงเฉิงเยว่ก็รับรู้ถึงอันตราย เขาถึงกับรู้สึกว่าหลี่อวิ๋นหังอาจยื่นมือมาบีบคออย่างกะทันหันในวินาทีต่อไป!
เจียงเฉิงเยว่สบตากับอีกฝ่าย เขาอดไม่ได้ที่จะเข่าอ่อนและสำนึกผิด หลังเหงื่อเย็นกำลังจะหลั่งไหลก็รีบบอก “ดึกมากแล้ว...เซียนจวินรีบไปพักผ่อนเถิด ข้าจะกลับห้องก่อน” เมื่อพูดจบก็ไม่กล้ามองอีกว่าหลี่อวิ๋นหังตอบสนองอย่างไร จากนั้นรีบผลักประตูแล้วหนีเข้าไปในห้องของตนเอง
ภายหลังถูกทำให้ตื่นตระหนก เจียงเฉิงเยว่พลิกตัวไปมาบนเตียงครึ่งคืนจึงค่อยหลับไปอย่างสะลึมสะลือ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ความเ็ปอย่างรุนแรงทำให้เขาตื่นขึ้นจากการหลับใหล ความเ็ปอย่างรุนแรงนี้แผ่จากลำคอ แขนขาทั้งสี่ และหัวใจ จุดหลิงไถทั้งเจ็ดจุดนั้นช่างคุ้นเคยนัก เขาจึงไม่ได้ใส่ใจอีก
ั้แ่ถูกตี้จวินกักิญญาเอาไว้ในร่างนี้ จุดที่ิญญาถูกกักและผนึกไว้ราวกับโรคเรื้อรังที่ทรุดหนักลง ไม่แน่ใจว่าเมื่อไรจะถูกสร้างความเ็ปอย่างรุนแรงราวกับถูกเปลวเพลิงเผาไหม้ จะกำเริบอย่างไม่มีกฎเกณฑ์เมื่อใดและยาวนานเท่าไร ่สองสามปีแรกอาจเป็เพราะิญญาได้รับความเสียหายมากเกินไป จึงเ็ปอย่างรุนแรงเช่นนี้บ่อยครั้ง บางครั้งอาจยาวนานต่อเนื่องทั้งวัน ใน่ไม่กี่ปีนี้ิญญาเริ่มสมบูรณ์ การกำเริบจึงไม่ถี่เช่นนั้น เหลือเพียงสองสามปีจึงกำเริบสักครั้ง ่เวลาก็สั้นเพียงไม่กี่วัน อย่างมากที่สุดเพียงไม่เกินหนึ่งถึงสองชั่วยามย่อมหายดีแล้ว
ถึงอย่างไรฉิงชางจวินก็เคยฝึกฝนในนรกทั้งสิบขุมที่ปรโลก ดังนั้นความเ็ประดับนี้จึงไม่ถึงกับทนไม่ไหว เขากัดริมฝีปากล่าง ซ่อนความเ็ปในลำคอเงียบๆ โดยมีเหงื่อเย็นไหลลงมาที่หน้าผาก ฝ่ามือหนึ่งที่อยู่ในผ้าห่มกำลังจับลำคอ อีกมือหนึ่งจับที่ข้อเท้า จากนั้นงอตัวเป็ก้อนกลม ความเ็ปอย่างรุนแรงในจุดสำคัญทั้งเจ็ดของร่างกายทำให้เขาต้องจับมันไปมาจนไม่รู้ว่าต้องจับตรงไหนดี ทั้งตัวของเขาบิดเป็เกลียว และไม่นานก็ม้วนเตียงเป็ผักดองแห้งจนยับยู่ยี่ กลายเป็ก้อนกลม
ความเ็ปนั้นรุนแรงเกินไป เขาจึงเริ่มท่องคาถาสงบใจให้ตนเอง จากนั้นพยายามอย่างสุดชีวิตที่จะดึงสติออกจากความเ็ปที่รุนแรงอย่างไม่ทันระวัง กระทั่งเผลอส่งเสียงครวญครางออกมา
จิตสำนึกค่อยๆ พร่ามัวลง เจียงเฉิงเยว่รู้สึกเพียงว่าตนเองไม่อาจจัดการกับการโฉบไปมาที่ชายแดนระหว่างการตื่นและสลบไสลได้ ใน่เวลาที่สะลึมสะลือนี้ เขาไม่รู้ว่าตนเองกำลังหลับหรือตื่น หรือฝันว่าตนเองกำลังตื่นอยู่กันแน่
หน้าผากราวกับถูกสายลมอบอุ่นพัดมาแ่เบา เขามีความรู้สึกคันเล็กน้อยจากการปะทะ ภายใต้ความเ็ปอย่างรุนแรง เขากลับสามารถััถึงมันได้อย่างชัดเจน
เจียงเฉิงเยว่ค่อยๆ ตกลงสู่ห้วงนิทรา ความเ็ปเริ่มจางหายไปทีละน้อย เขามีความฝันที่ยาวนาน ในความฝันนั้นตนเองนั่งอยู่บนเรือลำเล็กที่โคลงเคลงท่ามกลางลมและคลื่นที่บ้าคลั่งอยู่ชั่วขณะหนึ่ง สุดท้ายเมฆฝนกระจัดกระจาย แสงแดดลอดส่องผ่านชั้นเมฆ มีสายรุ้งแต่งแต้มอยู่ที่ขอบฟ้า มีพระพุทธเ้าที่เงียบสงบและงดงาม ยังฝันอีกว่าตนเองกลายร่างเป็ผีเสื้อตัวเล็กหลากสีสันที่กระพือปีกท่ามกลางพายุฝนโหมกระหน่ำอย่างลำบาก เมื่อหมดหวังกลับได้รับการต้อนรับจากพุ่มไม้พุ่มหนึ่ง กลีบดอกโบตั๋นสีขาวหลังพายุฝนยังคงปกคลุมไปด้วยหยาดน้ำค้าง เขากลับรู้สึกสบายใจในกลิ่นหอมที่ชวนให้เพลิดเพลิน ตัวเขาเกาะอยู่บนกลีบดอก ล่องลอยอยู่เป็เวลานานจึงกลับไปที่ท่าเรือ ในที่สุดก็สามารถพักผ่อนได้
เขากระพือปีกอย่างเชื่องช้า รู้สึกสบายใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เจียงเฉิงเยว่สูดหายใจเข้าลึกๆ พลิกตัวอย่างสบาย กลิ่นหอมที่รวมด้วยความหอมหวานและเย็นเยียบจางๆ พุ่งเข้าจมูกอย่างเลือนราง
กลิ่นหอมของดอกโบตั๋นนี้ ช่างคุ้นเคยนัก
เขาลืมตาขึ้นช้าๆ จากนั้นนิ่งค้างเวลานานจึงนึกขึ้นได้ว่าตนเองอยู่ที่ใด ท้องฟ้าด้านนอกเป็เวลาที่เสาไม้ไผ่ทั้งสามต้นมากัน[4] สายตาของเขาจับจ้องไปที่ลายฉลุหน้าต่างที่แง้มออก ยามสายลมพัดผ่านก็พัดบานประตูจนส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเบาๆ เขาจึงค้นพบว่าเมื่อคืนตนเองไม่ได้ปิดประตูให้ดี
เจียงเฉิงเยว่ลุกขึ้นจากเตียง จากนั้นลูบผมที่ยุ่งจากการนอนหลับ นิ่งค้างอยู่พักหนึ่งจึงลุกขึ้นหาวและไปล้างหน้า
ความเ็ปอย่างรุนแรงจากการกักขังและผนึกิญญาเมื่อคืนนี้ ดูเหมือนจะกินเวลาสั้นกว่าครั้งก่อนหน้านี้มากนัก
หลังเขาออกจากประตูไปอย่างยากลำบากกลับเห็นไป้เอ๋อร์ อี้จื่ออีและหลี่อวิ๋นหังนั่งอยู่ด้วยกันที่ข้างโต๊ะอาหารในโถงรับรองของโรงเตี๊ยม หลังจากนั้น ไป้เอ๋อร์ยืดหลังตรงอย่างเรียบร้อยราวกับต้อนรับอาจารย์ เมื่อเห็นเจียงเฉิงเยว่เข้ามาตาพลันเป็ประกาย ริมฝีปากเล็กเบะอย่างน้อยอกน้อยใจแล้วมองไปยังหลี่อวิ๋นหังอย่างระมัดระวัง ก่อนถอนสายตาเงียบๆ หลุบตาจ้องโต๊ะโดยไม่พูดอะไร
หลี่อวิ๋นหังถือถ้วยชาเขียวและยังคงเป่า ไอน้ำที่หนาแน่นลอยขึ้น กลิ่นหอมกรุ่นของชาล้นทะลักออกมา
เสวียนเหยาซ่างเซียนเก็บแรงกดดันิญญาทั้งหมดของตนเองจึงไม่ต่างจากคนทั่วไป อย่างไรก็ตามใบหน้าของหลี่อวิ๋นหังนั้นยากที่ผู้คนจะไม่ให้ความสนใจจริงเชียว ดังนั้น เมื่อแขกมากมายที่ไปๆ มาๆ รับประทานอาหารและเข้าพักเดินผ่านเขาต่างก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองอย่างสงบนิ่ง เขินอายและประหลาดใจ ทว่าตัวหลี่อวิ๋นหังเองกลับนั่งตรงไม่เคลื่อนไหวราวกับูเา และไม่แม้แต่จะเหลือบมองด้วยหางตาไปด้านข้างสักแวบหนึ่ง
อี้จื่ออีทักทายอย่างตื่นเต้น “ฉิง...” เขามองไปรอบด้าน จากนั้นเปลี่ยนชื่อเรียกอย่างมีไหวพริบ “พี่หลิน! ทางนี้...”
เจียงเฉิงเยว่นั่งลง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อรุณสวัสดิ์! ข้าขอโทษ ข้าหลับเพลินไปหรือ?”
อี้จื่ออีบอก “พวกเรารอน่ะไม่เป็อะไรหรอก แต่ไป้เอ๋อร์น้อยร้องเรียกหาท่านแต่เช้า...” เขาพูดเพียงครึ่งประโยค จากนั้นยกยิ้มแล้วกลืนครึ่งหลังของประโยคลงไป
ไป้เอ๋อร์นับได้ว่าสบโอกาสฟ้อง จึงมองไปที่หลี่อวิ๋นหังอย่างคับแค้นใจ “พี่ชายเทพเซียนบอกว่า...ท่านอาจารย์ตื่นสาย ไม่อนุญาตให้รบกวนการนอนของท่านอาจารย์”
เจียงเฉิงเยว่รู้สึกอับอายอยู่เล็กน้อย เขาจึงทำได้เพียงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “พวกท่านรับประทานข้าวเช้าหรือยัง?”
อี้จื่ออีกเท้าคางแล้วพยักหน้า “จะกล้าปล่อยให้ไป้เอ๋อร์น้อยของเราหิวได้อย่างไร? เราสามารถออกเดินทางได้ทันทีที่ท่านรับประทานอาหารเสร็จ”
------------------------
[1] ตีงูแล้วงูเลื้อยขึ้นไม้ เป็สำนวน หมายถึง สบโอกาสที่จะได้ประโยชน์ แล้วหาทางที่จะได้รับประโยชน์มากขึ้น
[2] กระดานะโน้ำ หมายถึง สปริงบอร์ด
[3] ตาสูงราวศีรษะ เป็สำนวน หมายถึง เย่อหยิ่ง ทะนงตน
[4] เสาไม้ไผ่ทั้งสามต้นมากัน หมายถึง ่เวลาประมาณ 7.00-11.00 น.
