ภายในกระโจมงานเลี้ยง หลงเทียนอวี้รู้สึกไม่สบายใจ
เหตุเพราะอยู่ด้านนอกดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็ต้องแยกห้องนอนกับหลินเมิ้งหยาฉะนั้นเย่จึงถูกสั่งให้เฝ้าจวน
หาข้ออ้าง หลงเทียนอวี้กลับมายังกระโจมที่พักชั่วคราวทว่าที่นั่นกลับมีเพียงสาวใช้สี่คน
“นายหญิงของพวกเ้าอยู่ที่ไหน?”
คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น กวาดสายตาทั่วทั้งกระโจมสาวใช้ทั้งสี่ตกตะลึง สัญญาณไม่ดีแล่นพล่านในหัวใจของหลงเทียนอวี้
“นายหญิงออกไปข้างนอกคนเดียวเ้าค่ะ”
ป๋ายจีที่มีท่าทีสงบนิ่งที่สุดรู้สึกได้ว่าเหตุการณ์ผิดปกติรวบรวมความกล้าเอ่ยตอบหลงเทียนอวี้
“ออกไปั้แ่เมื่อไร? ไปกับใคร?”
มันผิดปกติไป ที่นี่ไม่ใช่จวนหลินเมิ้งหยาไม่มีทางออกไปเดินเล่นโดยไม่พาสาวใช้ไปแม้แต่คนเดียว
ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ยังอยู่กลางป่า ด้านนอกคือป่าหนาทึบนางจะหายไปที่ไหนได้
“พวกเ้ารีบออกไปตามหาพระชายาเดี๋ยวนี้ จะต้องหานางให้เจอ!”
หลงเทียนอวี้รู้สึกว่าเื่นี้มีความผิดปกติ ยิ่งไปกว่านั้นทั้งไท่จื่อและหูลู่หนานกลับหายหัวไปจากงานเลี้ยง โดยไม่บอกไม่กล่าว
หากพวกเขาทั้งคู่เจอหลินเมิ้งหยาเข้าและทำมิดีมิร้ายนางขึ้นมาจะทำอย่างไร?
“พวกเ้าจะรีบร้อนไปไหนกัน?”
หลงเทียนอวี้เองก็คิดจะออกไปตามหาแต่เสียงหวานใสกลับดังขึ้นขัดความคิดของเขา
หลินเมิ้งหยาแหวกผ้าม่านออก ก่อนจะปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน
“พระชายา! พระชายา! ท่านหายไปไหนมา พวกเราเป็ห่วงท่านมากเลย”
สาวใช้ทั้งสี่กรูกันเข้าไปกอดนาง น้ำเสียงอ่อนหวานสั่นเครือ
“ข้า? ข้าแค่ออกไปเดินเล่นชิงหูไปเป็เพื่อนข้า ไม่มีอะไรหรอก”
เมื่อออกจากกระโจมเล็ก หลินเมิ้งหยารีบกลับมายังกระโจมของตนเองทันที
ทั้งสามคนถูกนางทำให้ตื่นตระหนกได้เพียงชั่วครู่เท่านั้นไม่ช้าก็เร็วพวกเขาจะต้องได้สติอย่างแน่นอน แม้คนของนางจะเก่งกาจมากสักเพียงไหนแต่ก็คงไม่อาจรับมือกับคนของพวกเขาทั้งหมดได้
ดังนั้น นางจึงรีบถอนตัวออกมา
“เ้าไปไหนมา?”
นับั้แ่ที่นางเข้ามาภายใน หัวใจของหลงเทียนอวี้จึงสงบลง
เขาหยุดยืนตรงหน้า มองดูนางที่กำลังปลอบโยนทุกคนเขาเป็เพียงคนเดียวที่นางมองข้าม ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด อยู่ๆความขุ่นเคืองเล็กน้อยพลันปรากฏขึ้นในหัวใจ
“หม่อมฉันเพียงแค่ออกไปเดินเล่นเท่านั้นเพคะชิงหูเป็พยานให้หม่อมฉันได้ ท่านอ๋อง เหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่นี่งานเลี้ยงจบแล้วหรือเพคะ?”
ใเล็กน้อย เหตุใดนางจึงได้เจอหลงเทียนอวี้ที่นี่ความจริงงานเลี้ยงน่าจะยังไม่จบ
“เ้าไม่เป็ไรก็ดีแล้ว”
คำพูดของหลินเมิ้งหยาทำให้หลงเทียนอวี้ไม่สบอารมณ์
ทั้งที่เขาเป็ห่วงนาง จึงละทิ้งทุกอย่างแล้วรีบกลับมาที่กระโจมหลังนี้
แต่ดูเหมือนเขาจะกังวลโดยไร้ประโยชน์เสียแล้ว
ความขุ่นเคืองพลันพวยพุ่งขึ้นในใจของเขาหมุนตัวแล้วเดินออกจากกระโจมไป
ทิ้งหลินเมิ้งหยาที่ยังไม่รู้เื่รู้ราวเอาไว้ภายใน
“นายหญิงก็จริงๆ เลย ท่านไม่รู้หรอกว่าท่านอ๋องร้อนใจขนาดไหนที่หาท่านไม่เจอเหตุใดจึงแสดงท่าทีเช่นนี้เล่าเ้าคะ”
ป๋ายจื่อร้องทวงความยุติธรรมแทนหลงเทียนอวี้จ้องหน้านายหญิงที่ทำอะไรไม่ถูก
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร เขา...ช่างเถิด อีกเดี๋ยวข้าค่อยไปขอโทษเขาแล้วกันพวกเ้าสี่คนอยู่ที่นี่ ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นใช่หรือไม่?”
ตอนที่ถูกจับตัวไปสิ่งเดียวที่นางกังวลคือกลัวว่าสาวใช้ทั้งสี่จะถูกรังแก
แต่โชคดีที่บริเวณรอบๆ มีองครักษ์อยู่มากมาย อีกทั้งยังได้รับการปกป้องจากยอดฝีมืออย่างป๋ายซู
หลังจากได้เห็นว่าทุกคนล้วนสบายดี หลินเมิ้งหยาจึงวางใจ
“นายหญิงวางใจเถิดเ้าค่ะ หากป๋ายซูยังอยู่จะไม่มีใครหน้าไหนทำร้ายพวกเราได้”
หลังจากได้รู้จักกัน แม้เป็เพียงระยะเวลาสั้นๆแต่ป๋ายซูกลับมองความคิดของหลินเมิ้งหยาออก
แม้นางจะเป็พระชายา แต่นางกลับให้ความสำคัญพวกนางเสมือนมิตรสหาย
ดังนั้นเพื่อพระชายาแล้วป๋ายซูยินยอมพลีกายถวายชีวิตเพื่อปกป้องคนเหล่านี้
“ดี เช่นนั้นข้าก็วางใจป๋ายซ่าวและป๋ายจื่อจงตามข้ากลับไปในงานเลี้ยง”
เกรงว่าการหายตัวออกจากงานของนางจะทำให้ผู้อื่นสงสัย
ดังนั้นไท่จื่อและหูลู่หนานเองก็กลับเข้าไปในงานแล้วเช่นเดียวกันแล้วนางจะพลาดโอกาสเห็นอะไรสนุกๆ ได้อย่างไร
งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไป ผลปรากฏว่าทุกคนล้วนกลับมาแล้วเมื่อหลินเมิ้งหยากลับเข้าไปในงานอีกครั้ง สายตาหลายคู่จับจ้องมาทางนาง
“ท่านอ๋อง ขอบพระทัยที่เป็ห่วงเพคะ”
หลินเมิ้งหยานั่งลงข้างหลงเทียนอวี้ กระซิบเสียงแ่
เพียงประโยคเดียว ใบหน้าที่เคยเ็าพลันอ่อนโยนลง
หลังจากเงียบไปอยู่ครู่หนึ่ง อยู่ๆ เขาเอ่ยตอบ
“ไม่เป็ไร”
หัวใจอบอุ่นทว่าหลินเมิ้งหยากลับทำเพียงยกแก้วเหล้าขึ้นมาเพื่อปิดบังรอยยิ้มบนใบหน้าของตนเองเอาไว้
งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไปสายตาของไท่จื่อและหูลู่หนานจ้องมองทางหลินเมิ้งหยาราวกับ้าจะฉีกร่างของนางออกเป็ชิ้น ๆ
“ไท่จื่ออย่าทรงกริ้วเลยเพคะ หม่อมฉันผิดเองที่ทำงานไม่รอบคอบไท่จื่อได้โปรดลงโทษหม่อมฉันด้วย”
ผู้คนที่อยู่ด้านข้างล้วนเป็คนสนิทของตนเองดังนั้นทั้งสองจึงพูดคุยกันได้โดยมิต้องกังวล
ชายารองตู๋กูคิดไม่ถึงเลยว่าเื่ราวจะเปลี่ยนไปเช่นนี้
นางรู้จักอารมณ์ของไท่จื่อดี คราวนี้ไท่จื่อไม่เพียงไม่ได้สิ่งที่ตนเอง้าแต่ยังถูกหลินเมิ้งหยาพลิกเหตุการณ์ แล้วแบบนี้เขาจะไม่โมโหได้อย่างไร
“เื่นี้คงมิอาจโทษเ้าได้แต่ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าผู้หญิงคนนั้นจะฉลาดมากถึงเพียงนี้”
ไท่จื่อบีบแก้วเหล้าจนเกือบแตก
คิดไม่ถึงเลยว่าจะตกเป็ลูกไก่ในกำมือของสตรีหนึ่งอัปยศอดสูยิ่งนัก!
ยิ่งไปกว่านั้น สตรีคนนั้นยังเป็คนของเ้าสารเลวหลงเทียนอวี้
เขาจะล้างแค้นในครั้งนี้ให้จงได้
“เพคะ ขอบพระทัยไท่จื่อที่ให้อภัยแต่ว่าองครักษ์ที่เขาหลิงจูแห่งนี้มิได้เข้มงวดเหมือนอย่างเมืองหลวงไท่จื่อได้โปรดวางพระทัย ต่อไปนี้หม่อมฉันจะระวังมากขึ้นเป็สองเท่าจะไม่มีวันปล่อยให้นางหนีไปได้อีก”
อันที่จริงชายารองตู๋กูมิได้มีความแค้นส่วนตัวกับหลินเมิ้งหยา
ทว่าหลังจากผ่านเหตุการณ์ในครั้งนี้ความรักที่ไท่จื่อมีให้กับนางกลับเปลี่ยนไป
ที่จวนมีสนมมากมาย หากนาง้าเป็ที่รักเกรงว่าจะต้องออกแรงสักเล็กน้อย
ดังนั้น หลินเมิ้งหยาจึงกลายเป็ผู้ถูกเกลียดชัง
“ไท่จื่อ ที่ซีฟานของพวกเรา วีรบุรุษที่แท้จริงจะต้องจับเสือและยิงหมาป่าให้ได้มิรู้ว่าบนเขาหลิงจูมีเสือและหมาป่าหรือไม่?”
ฮ่องเต้ิกลับมีท่าทางอารมณ์ดีอย่างมากชายที่สามารถขึ้นเป็ฮ่องเต้แห่งซีฟานได้ ไม่เพียงต้องมีความสามารถแต่ยังต้องมีความกล้าหาญอีกด้วย
เคยได้ยินมาว่าสมัยเขายังหนุ่ม เขาสามารถจับหมาป่าด้วยมือเปล่าได้
หลินเมิ้งหยาชำเลืองมองฮ่องเต้ิ บุรุษผู้นี้อันตรายยิ่งนัก
“เื่นั้น...เขาหลิงจูอยู่ในเขตการปกครองของราชวงศ์หากเลี้ยงสัตว์ร้ายเอาไว้ เกรงว่าจะเป็อันตรายต่อราษฎร์”
สัตว์ส่วนมากที่มีในเขตการปกครองของราชวงศ์คือเก้ง กวาง
สารภาพตามตรงว่าเหตุเพราะเกรงว่าองค์ชายจะได้รับาเ็ตอนออกล่าสัตว์
ดังนั้นที่นี่จึงไม่มีสัตว์ร้าย
ฮ่องเต้ิที่ได้ยินคำตอบเช่นนั้นจึงส่งเสียงหัวเราะดังลั่น
“ช่วยไม่ได้ คนหนุ่มสาวต้องรู้จักความลำบากเสียบ้างจึงจะเติบโตเอาเช่นนี้แล้วกัน เปิ่นหวังนำเสือตัวหนึ่งมาจากซีฟาน เช่นนั้นนำมันมาเป็สีสันในการออกล่าสัตว์ในครั้งนี้เถิด”
ฮ่องเต้ิโบกมือ ชายร่างกำยำสี่คนเข้าไปยกกรงเหล็กขนาดใหญ่เข้ามา
หลินเมิ้งหยาจ้องเขม็ง เสือตัวนั้นแข็งแรงมาก ทั้งที่อยู่ในกรงแต่กลับส่งเสียงคำรามน่าเกรงขามออกมา
เสือตัวนี้ใหญ่กว่าชายร่างกำยำทั้งสี่ แม้จะถูกขังไว้ในกรงแต่มันยังคงหยิ่งทะนงมิยอมสยบต่อผู้ใด
ขนของมันเป็สีขาวทั้งตัว มิมีสีอื่นใดปะปน
เป็เสือที่สวยมาก หลินเมิ้งหยานึกเสียดายในใจ
ดังคำที่เอ่ยว่าพอเสือออกจากป่าก็ถูกสุนัขรังแกเหมาะกับสถานการณ์ในเวลานี้อย่างยิ่ง
“คือ...คือว่า มันคงไม่ดีเท่าไร”
ไท่จื่อจ้องมองเสือตัวนั้นด้วยท่าทางลังเล
ใช่ว่าทุกคนจะสามารถเอาชนะเสือตัวนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นเสือแห่งซีฟานมิต่างอะไรจากเ้าแห่งป่า มันมิเคยจำนนต่อสิ่งใด
“ไม่เป็ไรหรอก แม้เสือตัวนี้จะร้ายกาจแต่ในสายตาของวีรบุรุษแห่งซีฟาน มันเป็เพียงแค่สัตว์ร้ายตัวหนึ่งเท่านั้น”
คำพูดของฮ่องเต้ิเจือไว้ซึ่งการยั่วยุสุดท้ายไท่จื่อต้องยอมจำนวน ฝืนใจพยักหน้าลง
สายตาของหลินเมิ้งหยายังคงหยุดอยู่ที่เสือตนนั้น หลงเทียนอวี้รู้สึกประหลาดใจ
นางคงมิได้คิดว่าจะจับเสือได้ง่ายๆ หรอกกระมัง
“ท่านอ๋อง หากต้องเผชิญหน้ากับมัน ท่านจะปล่อยมันไปได้หรือไม่?”
เหนือความคาดหมายประโยคแรกที่หลินเมิ้งหยาเอื้อนเอ่ยคือการบอกให้เขาปล่อยเสือขาวตัวนี้ไป
“แต่คนที่คิดจะฆ่ามันมิได้มีเพียงข้าคนเดียว”
หลงเทียนอวี้ไม่คิดอยากเข้าร่วมการล่าอยู่แล้วเขาเพียงแต่ทำไปตามน้ำเท่านั้น
ทว่าหลินเมิ้งหยากลับหันหน้ามา ดวงตาคู่สวยจ้องเขาเขม็ง
“เสือตัวนี้กำลังท้อง ถ้าหากมันตายอีกหนึ่งชีวิตในท้องมันก็จะตายไปด้วย”
หลินเมิ้งหยาสังเกตอยู่นาน แม้รูปร่างของเสือตัวนี้จะสง่าผ่าเผยทว่าท้องของมันกลับมิได้มีสัดส่วนอย่างที่ควรจะเป็
ไม่ว่ามันจะคำรามเสียงดังขนาดไหน แต่มันมักจะระวังส่วนท้องของตนเอง
หลินเมิ้งหยาเดา เสือตัวนี้จะต้องท้องอย่างแน่นอน
“เ้ารู้ได้อย่างไร?”
หลงเทียนอวี้หันไปมองเขารู้สึกเพียงว่าเสือตัวนี้เพียงแค่ตัวใหญ่มากเท่านั้น
ดูเหมือนคำพูดของหลินเมิ้งหยาจะเป็ความจริง
“หม่อมฉันรู้ ถ้าหากหม่อมฉันบอกให้ฮ่องเต้ิปล่อยมันไปในตอนนี้มันคงไม่สมเหตุสมผลเท่าไรแต่หม่อมฉันหวังเหลือเกินว่ามันจะสามารถอยู่รอดปลอดภัยจนให้กำเนิดลูกน้อยของมันได้”
หลินเมิ้งหยารู้ถ้าหากเสือตัวนี้อยู่ต่อหน้าราษฎร์หรือแม้กระทั่งคนฆ่าสัตว์พวกเขาจะไม่ทำร้ายสัตว์ที่กำลังตั้งท้องอย่างแน่นอน
นี่คือกฎการอยู่ร่วมกันที่มนุษย์สร้างขึ้นไม่ว่าจะเป็สัตว์ชนิดไหน หากมัน้าขยายเผ่าพันธุ์ พวกเราจำเป็ต้องเคารพมันด้วยเช่นกัน
หลินเมิ้งหยามิใช่กระต่ายน้อยใสซื่อแต่ถึงกระนั้นนางก็รู้สึกสงสารเสือท้องแก่ตัวนี้
“หากเป็เช่นนั้น ข้าจะพยายาม”
