พ่อค้าม้าสีหน้าขมขื่น เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งสุดท้ายก็ตกลง
“ได้สิ พวกเ้าก็ตรวจสอบม้าเถอะ เพราะข้ารีบร้อนจะกลับซีเจี้ยงหรอกนะ ไม่เช่นนั้นไม่ขายให้หรอกนะราคานี้”
ไม่มีพ่อค้าคนไหนไม่เ้าเล่ห์ เสี่ยวหมี่ไม่เชื่อคำพูดของเขาสักนิด จึงเพียงแค่ยิ้มๆ ไม่ตอบรับอะไร นางเดินตามเฝิงเจี่ยน ดูเขาเปิดปากม้าตรวจสอบฟันของแต่ละตัว
เฝิงเจี่ยนเห็นเสี่ยวหมี่เดินตามเขาไม่ห่าง น่ารักน่าเอ็นดูราวกับเด็กรับใช้จริงๆ ก็ไม่ปาน ในใจเขาพลันรู้สึกขบขัน จึงหัวเราะเบาๆ “วันหน้าเ้าจะแต่งกายเป็บุรุษมาบ่อยๆ ก็ได้ ไม่มีใครสังเกตเห็นง่ายๆ หรอก”
เสี่ยวหมี่ถลึงตาโตตอบโต้ “พี่ใหญ่เฝิง ท่านหมายความว่าข้าหน้าตาเหมือน...อ๊า”
นางพูดได้ครึ่งเดียวก็กรีดร้องออกมา ม้าตัวที่เฝิงเจี่ยนตรวจอยู่นั้นเกิดใ จึงยกขาหน้าขึ้นมาพลางส่งเสียงร้อง
เฝิงเจี่ยนหน้าเปลี่ยนสีทันที ชั่วพริบตานั้นเขารีบโอบเอวเสี่ยวหมี่ที่ดวงหน้าซีดขาวให้หลบได้ทันท่วงที
เกาเหรินเองก็พุ่งเข้ามาราวกับลูกศรเพื่อดึงบังเหียนม้าไว้
ม้าตัวนั้นเกรี้ยวกราดเหมือนอยากจะะโพุ่งออกมา แต่มันถูกรั้งคอเอาไว้ จึงทำได้แค่พ่นลมหายใจฟืดฟาด
พ่อค้าม้าใเป็อย่างมาก เมื่อหาเสียงตัวเองเจอก็ด่าออกมาว่า “ร้องหาอะไร ทำเอาม้าใจนจะเหยียบคนตายแล้ว”
เสี่ยวหมี่ใขวัญเสียจับเสื้อเฝิงเจี่ยนไว้แน่น เฝิงเจี่ยนสาดสายตาเ็าใส่พ่อค้าม้าคนนั้นแล้วพ่นเสียงเ็าใส่เขาสองคำ “หุบปาก”
พ่อค้าม้ายังคิดจะด่าต่อ แต่กลับถูกสายตาดุดันเ็าของเฝิงเจี่ยนทำให้ใจนกลืนคำพูดกลับลงไป
“ไม่ต้องกลัว ข้าอยู่นี่”
มือใหญ่โตของเฝิงเจี่ยนตบเบาๆ ลงบนหลังของเสี่ยวหมี่ ทั้งอบอุ่นและแข็งแรง จึงค่อยๆ ดึงสติของเสี่ยวหมี่กลับมา
“พี่...พี่ใหญ่เฝิง มีคน...มีคนจับข้อเท้าข้า”
เฝิงเจี่ยนขมวดคิ้ว มิน่าเล่าเสี่ยวหมี่ถึงได้กรีดร้องใเช่นนั้น
เพิงขายม้าแห่งนี้ค่อนข้างมืด อีกอย่างพวกเขากำลังเดินตรวจสอบม้าจึงไม่ได้มองที่เท้าของตัวเอง
ตัวพ่อค้าขายม้ากลับหน้าเปลี่ยนสีทันใด จู่ๆ ก็เดินไปที่คอกม้าแล้วยื่นมือไปดึงเงาร่างดำๆ ออกมา แล้วโยนลงกับพื้น
เงาร่างนั้นส่งเสียงโอดโอยออกมาเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ปรากฏให้เห็นใบหน้าดำๆ พร้อมกับดวงตาสีขาวสลับดำตัดกันชัดเจน ในดวงตานั้นยังเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว...
“อา” เสี่ยวหมี่อดส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ ไม่ได้ ที่จริงแล้วเมื่อครู่นางเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็คนจริงๆ หรือไม่ที่จับข้อเท้านาง อาจจะเป็เชือกก็เป็ได้
แต่ยามนี้เมื่อได้เห็นตัวคนทำจริงๆ แล้วก็อดใไม่ได้ ตัวนางทั้งในชาตินี้และชาติก่อนล้วนไม่ใช่ดอกไม้ชั้นสูงที่ถูกเพาะเลี้ยงอยู่ในห้องกระจก นางเองก็เคยเจอคนมามากมายหลายประเภท เช่นคนจรนอกประตูทางทิศใต้พวกนั้น แต่เมื่อเทียบกันแล้ว คนจรยังดูดีกว่าคนผู้นี้มากนัก
คนผู้นี้ดูแล้วอายุยังไม่มาก สูงพอๆ กับนาง ถักเปียเล็กๆ รอบศีรษะ ดูแล้วเหมือนจะเป็เด็กผู้หญิง แต่แผ่นหลังมีร่องรอยถูกแส้ฟาดมาก่อน เนื้อปริแตกจนเืออกย้อมเสื้อ ดูก็รู้ว่าแผลกำลังอักเสบ แขนขาที่เปลือยเปล่าสกปรกเป็สีดำสนิท น่าเวทนายิ่งนัก
“คนผู้นี้เป็อะไรไป ถูกใครตีมา?”
พ่อค้าม้าได้ยินน้ำเสียงของเสี่ยวหมี่เหมือนจะแฝงความไม่พอใจไว้ ในใจก็รู้ทันที เมื่อครู่เห็นเฝิงเจี่ยนปกป้องเสี่ยวหมี่ขนาดนั้น เขาก็ดูออกแล้วว่าเด็กรับใช้คนนี้คงปลอมตัวมา ที่จริงน่าจะเป็คุณหนูสักคนที่ออกมาหาความแปลกใหม่เสียมากกว่า
คนโบราณว่าไว้ว่าใจสตรีนั้นชั่วร้ายที่สุด แต่ขณะเดียวกันก็เป็สตรีนี่แหละที่ใจอ่อนและหลอกง่ายที่สุด
พ่อค้าม้าดวงตากลอกกลิ้งไปมารอบหนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเ้าเล่ห์ “น้องชายท่านนี้ ต้องขออภัยด้วย เป็เ้าทาสเลี้ยงม้าผู้นี้ที่ทำให้เ้าได้รับความใ เ้าคนสมควรตายนี่ ข้าจะตีเขาระบายความโกรธให้ท่านเอง”
พูดจบเขาก็ดึงแส้ม้าข้างเอวออกมา สะบัดมือไปทางทาสเลี้ยงม้าคนนั้น
เสี่ยวหมี่คิดไม่ถึงว่าเขาจะลงมือต่อหน้านาง จึงใร้องะโว่า “หยุดมือ รีบหยุดมือเดี๋ยวนี้”
พ่อค้าม้าแอบกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ ยังคิดจะฟาดแส้อีกสักสองสามทีพอเป็พิธี คิดไม่ถึงว่าปลายแส้จะถูกเฝิงเจี่ยนจับเอาไว้แล้วออกแรงดึงจนเขาเกือบล้มหน้าคะมำ
เสี่ยวหมี่รีบดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเืที่ซึมออกมาใหม่บนแผ่นหลังของทาสคนนั้น ความอุ่นร้อนที่ได้ััทำให้นางสีหน้าเปลี่ยนยิ่งกว่าเดิม
“พี่ใหญ่เฝิง...”
“ได้” ไม่รอให้นางพูดอะไร เฝิงเจี่ยนก็พยักหน้าแล้ว สายตาของเขาเต็มไปด้วยความเชื่อใจและตามใจ ทำให้เสี่ยวหมี่รู้สึกแสบจมูก เทียบกับทาสเลี้ยงม้าคนนี้แล้ว นางใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกว่าเขามาก หากนางจะปรารถนาสิ่งใดมากไปกว่านี้เกรงว่าคงจะกลายเป็ความละโมบแล้ว...
เดิมทีพ่อค้าม้ายังโกรธเคืองอยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นท่าทางของคนทั้งสองก็รู้สึกดีใจ ออกปากเอ่ยราคาสูงถึงสิบตำลึง
เสี่ยวหมี่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่สุดท้ายก็พยักหน้า นางจ่ายด้วยตั๋วเงินรวมค่าม้าสี่ตัวและทาสหนึ่งคน เมื่อเห็นดังนั้นพ่อค้าขายม้าจึงยอมยกสัญญาทาสของทาสเลี้ยงม้าให้
เฝิงเจี่ยนแบกทาสคนนั้นขึ้นหลังแทนเสี่ยวหมี่ แล้วเดินออกจากตลาดไปอย่างรวดเร็ว รีบมุ่งหน้าไปยังโรงหมอในเมือง ดีที่คนของทางการที่หน้าประตูถูกแสงแดดรบกวนจนไม่คิดจะตอแยพวกเขามากนักเื่ภาษี
เสี่ยวหมี่เดินเร็วๆ อยู่ข้างกายเฝิงเจี่ยน เห็นเืหยดลงมาจากหลังของทาสคนนั้น ก็อดด่าออกมาไม่ได้ “พ่อค้าม้าคนนั้นสมควรตายจริงๆ ตีคนหนักถึงเพียงนี้ได้อย่างไร”
“เ้าวางใจ”
เฝิงเจี่ยนตอบแค่สั้นๆ เสี่ยวหมี่รู้สึกแปลกใจ สุดท้ายกลับพบว่าไม่เห็นเกาเหริน
เสี่ยวหมี่กำลังร้อนใจอยู่ แต่จู่ๆ ก็เห็นเกาเหรินบังคับรถม้าตามมา
“เพิงขายม้าถล่มแล้ว หักขามันไปข้างหนึ่ง”
“ทำได้ดี” เฝิงเจี่ยนชมเกาเหรินอย่างที่นานๆ ครั้งจะทำ เสี่ยวหมี่คิดแต่จะช่วยคนตอนแรกจึงยังไม่คิดอะไร รอจนกระทั่งไปถึงโรงหมอ และท่านหมอช่วยจัดการาแใส่ยาให้ทาสคนนั้นแล้ว นางจึงค่อยๆ ดึงสติกลับมาได้ นางจับชายแขนเสื้อของเฝิงเจี่ยนถามว่า “พี่ใหญ่เฝิง เมื่อครู่ที่ทิ้งเกาเหรินไว้เพราะ...”
เฝิงเจี่ยนพยักหน้าน้อยๆ สายตาเขามีแววกังวลเล็กๆ แต่เสี่ยวหมี่กลับยิ้มออกมา “เกาเหรินเป็เด็กดีจริงๆ ข้าจะกลับไปตุ๋นเนื้อพะโล้ให้เขา”
ความกังวลในแววตาของเฝิงเจี่ยนมลายหายไปอย่างรวดเร็ว เหลือไว้เพียงแค่ความพอใจ นางจิตใจดีมีเมตตาแต่ก็ไม่เลอะเลือนไม่แบ่งแยก เขาจะไม่ชอบนางได้อย่างไร
เสี่ยวหมี่ถูกเขามองจนรู้สึกหน้าแดง นางรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ถึงแม้วันนี้จะใช้เงินไปมาก แต่ก็ช่วยชีวิตคนไว้ได้...”
ไม่รอให้นางพูดจนจบ เด็กจัดยาที่เดินไปยังเรือนด้านหลังก็วิ่งออกมากล่าวอย่างโมโหว่า “น้องชายท่านนี้ เมื่อครู่ท่านไม่ได้บอกหรอกหรือว่าคนที่าเ็เป็แม่นางน้อยคนหนึ่ง ข้าจึงตั้งใจะโให้ท่านป้าบ้านข้างๆ มาช่วย สุดท้าย...คนคนนั้นเป็ผู้ชาย”
ผู้ชาย?
เสี่ยวหมี่ใอ้าปากค้าง ทาสคนนั้นมีเปียเล็กๆ เต็มศีรษะ รูปร่างก็พอๆ กับนาง จะไม่ใช่แม่นางน้อยได้อย่างไร? เดิมนางยังคิดจะพาคนกลับไป วันหน้าให้เป็ลูกมือช่วยนางทำกับข้าวซักผ้า สุดท้ายทุกอย่างก็สลายกลายเป็ฟองอากาศ...
“ขออภัยด้วย เมื่อครู่ข้ายังไม่ทันได้ถามให้ชัดเจน รบกวนพวกท่านช่วยรักษาเขาเถิด ค่ายาเราจะออกให้ครบจำนวนแน่นอน”
เสี่ยวหมี่กลบเกลื่อนความตกตะลึงของนาง รีบกล่าวรับรอง
เด็กจัดยาคนนั้นหน้าแดงน้อยๆ เห็นเฝิงเจี่ยนไม่มีท่าทีปฏิเสธก็รีบประสานมือคารวะวิ่งกลับไปหลังเรือน เดิมเขานึกไปว่าพวกเสี่ยวหมี่ลุ่มหลงในความงามของคนใกล้ตายคนนั้น ถึงได้คิดจะช่วยเหลือ
คิดไม่ถึงว่าท่านป้ากลับบอกว่าเขาเป็บุรุษ เขากลัวว่าพวกเสี่ยวหมี่ไม่ได้สมใจแล้วจะเปลี่ยนใจ ถึงตอนนั้นไม่มีคนจ่ายค่ายา เขาก็ซวยกันพอดี
สุดท้ายกลับกลายเป็ว่าพวกเสี่ยวหมี่มีน้ำใจจริงๆ กลับเป็เขาเองที่ใจแคบและคิดร้าย
ถึงแม้ทาสเลี้ยงม้าคนนั้นจะดูาเ็หนัก แต่ส่วนมากเป็อาการอักเสบบริเวณปากแผล ไม่ได้บอบช้ำไปถึงอวัยวะภายใน
เพียงไม่นานพวกเขาก็แบกเด็กคนนั้นออกมา ทั้งยังเปลี่ยนเป็อาภรณ์หยาบๆ ชุดใหม่ให้ด้วย
เด็กจัดยาส่งห่อยาสองสามห่อให้ จากนั้นก็ยิ้มกล่าวว่า “ข้าเห็นว่าน้องชายคนนี้เสื้อผ้าสกปรกเกินไป จะทำให้แผลติดเชื้อได้ง่าย จึงหาเสื้อเก่าๆ มาเปลี่ยนให้เขาแทน”
เสี่ยวหมี่จ่ายค่ายา และตบรางวัลให้เด็กจัดยาต่างหากอีกสิบกว่าอีแปะ เขายิ้มแย้มเบิกบานแบกเด็กคนนั้นขึ้นรถม้า
ระหว่างที่รถม้าสั่นไหว เสี่ยวหมี่ทนความสงสัยไม่ไหว จึงปัดผมที่ปรกหน้าเด็กคนนั้นขึ้น ปรากฏให้เห็นดวงหน้าสีทองแดง โหนกแก้มตอบสูง ดั้งจมูกโด่ง ริมฝีปากหนา ถึงแม้จะยังดูอายุน้อย แต่ก็สามารถมองออกได้ว่าเป็บุรุษจากท้องทุ่งหญ้า เมื่อครู่หากไม่ใช่เขาาเ็สาหัสทั้งยังมีผมเปียทั้งศีรษะนางคงไม่เข้าใจผิด
เฝิงเจี่ยนเห็นเสี่ยวหมี่มองเด็กเลี้ยงม้าคนนี้ไม่หยุด ก็รู้สึกแปลกๆ อยู่ในใจ เอ่ยปากเบี่ยงเบนความสนใจนาง
“ครั้งหน้าจะส่งคนไปซื้อข้ารับใช้ที่ได้รับการอบรมแล้วมาให้เ้า”
เสี่ยวหมี่พยักหน้า ตอบรับว่า “เอาสิ พี่ใหญ่เฝิง ที่จริงก็ไม่ใช่ว่าข้า้าลูกมืออะไรจริงๆ หรอก แต่หากไม่พูดแบบนั้นบิดาข้าคงไม่ยอมปล่อยให้ข้าออกมา แต่ว่า คนพวกนี้ที่บ้านต้องยากจนแค่ไหนกันถึงได้ขายเด็กเล็กขนาดนี้มารับความทรมานเช่นนี้ได้”
“คนในทุ่งหญ้าขาวส่วนใหญ่ดำรงชีวิตโดยการเลี้ยงสัตว์ อาจเพราะปีที่แล้วหิมะหนา จึงทำให้พวกเขาสูญเสียไปไม่น้อย...”
“ไม่น่าจะเป็ไปได้” เสี่ยวหมี่ไม่เห็นด้วย “ข้าได้ยินเถ้าแก่เฉินบอกว่า ปีที่แล้วหิมะบนท้องทุ่งไม่หนักหนา พ่อค้าในเมืองยังนำเกลือหยาบและใบชาไปแลกของอย่างอื่นมาอยู่เลย”
เฝิงเจี่ยนได้ยิน สายตาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย และเปลี่ยนไปปลอบโยนนางแทน “บางทีบ้านของเด็กคนนี้อาจจะเจอเื่ร้ายอื่นมา”
เสี่ยวหมี่เองก็คิดอย่างอื่นไม่ออกเช่นกัน
ยามนี้พวกเขากลับมาถึงหมู่บ้านเขาหมีโดยพ่วงม้ามาด้วยสี่ตัวอย่างเอิกเกริก ดึงดูดสายตาคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน
คนอื่นๆ พากันเข้ามาล้อมม้าพวกนั้นแล้วเปิดปากดูฟันทีละตัว พลางวิพากษ์วิจารณ์ ส่วนพวกผู้หญิงเข้าไปช่วยเสี่ยวหมี่พาเด็กเลี้ยงม้าที่ยังสลบไม่ได้สติเข้าไปในเรือน เมื่อได้ยินประวัติความเป็มาของเด็กคนนั้น พวกผู้หญิงที่ใจอ่อนเป็ทุนเดิมก็ด่าพ่อค้าคนนั้นไม่หยุด แล้วจึงไปช่วยกันเคี่ยวยา
กลับเป็เสี่ยวหมี่ที่รีบวิ่งไปหาบิดาเพื่อรายงานเื่เด็กเลี้ยงม้า ถึงแม้บิดาลู่จะไม่สนใจเื่ในบ้าน แต่ก็เป็ผู้นำตระกูล การจะเพิ่มคนเข้ามาในบ้านเช่นนี้ อย่างไรก็ต้องบอกให้เขารับทราบ
บิดาลู่กำลังตรวจสอบตำราเก่าๆ ในห้องที่ฝุ่นเกาะจนสำลักออกมา
“ท่านพ่อ แค่กๆ ข้าช่วยเอ่อ...คนคนหนึ่งมาจากตลาดม้า เป็เด็กเลี้ยงม้า เดิมข้าคิดว่าเป็แม่นางน้อยเป็สาวใช้...สุดท้ายกลับเป็ผู้ชายไปได้ อะแฮ่ม...”
“ช่างเถอะ รีบออกไปเถอะ เื่ในบ้านให้เ้าเป็คนจัดการ”
ไม่รู้ว่าบิดาลู่ได้เจอตำราชั้นดีอะไร จึงโบกไม้โบกมืออย่างตัดรำคาญไล่บุตรสาวออกไป
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้