ยอดหญิงพลิกชะตาโรงย้อมผ้าสกุลหลี่
บทที่ 1 เริ่มต้น ณ ปลายเส้นด้าย
ความเ็ปแล่นปราดไปทั่วร่างราวกับสายฟ้าฟาด ก่อนจะตามมาด้วยความหนาวเหน็บที่กัดกินลึกถึงกระดูก ยุนจิน พยายามฝืนเปลือกตาที่หนักอึ้งให้เปิดขึ้น แต่สิ่งที่ต้อนรับเธอกลับไม่ใช่แสงไฟนีออนในห้องที่หรูหราของเธอที่คุ้นเคย
เพดานไม้สีเข้มคล้ำปรากฏแก่สายตา มันมีรอยคราบน้ำเป็ดวงๆ แลดูเก่าแก่และชื้นแฉะ อากาศรอบกายอวลไปด้วยกลิ่นยาจีนสมุนไพรที่เข้มข้นจนขมติดลิ้น ปะปนกับกลิ่นอับของไม้เก่าและดินชื้น เป็กลิ่นอายของความยากจนข้นแค้นที่เธอไม่เคยได้ััมาทั้งชีวิต
"ซือซือ! ซือซือ ในที่สุดเ้าก็ฟื้น!"
เสียงทุ้มที่เจือด้วยความดีใจจนสั่นเครือดังขึ้นข้างหู ชายหนุ่มในชุดผ้าฝ้ายเนื้อหยาบสีซีดจางโถมตัวเข้ามาใกล้ ใบหน้าของเขาคมคายแต่ซูบตอบ ดวงตาแดงก่ำมีรอยคล้ำบ่งบอกถึงการอดนอนมาหลายคืน หนวดเคราที่ขึ้นเป็ตอแข็งทำให้เขาดูแก่กว่าวัยไปหลายปี
ยุนจินขมวดคิ้ว ความทรงจำสุดท้ายของเธอคือเสียงกรีดร้องของยางรถยนต์ที่บดไปกับพื้นถนนและแรงกระแทกมหาศาล แล้วชายคนนี้เป็ใคร?
แต่แล้วความทรงจำที่ไม่ใช่ของเธอก็ไหลบ่าเข้ามาในหัวราวกับเขื่อนแตก
เด็กสาวนาม หลี่ซือซือ ร่างกายอ่อนแอขี้โรค ตระกูลหลี่ โรงย้อมผ้าที่เคยรุ่งเรืองที่สุดในเมืองซูเหอ หนี้สิน ตระกูลสวีคู่แข่งที่เหยียบย่ำซ้ำเติม ความสิ้นหวังของบิดา ความเหนื่อยล้าของพี่ชาย และสุดท้ายคือภาพที่ตัวเองพลัดตกจากบันไดไม้ที่ผุพังเพราะความอ่อนเพลีย
นี่เธอ ทะลุมิติมาอย่างนั้นหรือ?
"พี่ พี่ใหญ่?" เสียงที่เล็ดลอดออกจากลำคอของเธอแหบพร่าและเบาหวิว มันเป็เสียงของหลี่ซือซือโดยแท้
"ใช่ พี่เอง!" หลี่เหวิน พี่ชายของนางแทบจะร้องไห้ออกมา เขารีบเข้ามาประคองน้องสาวให้นอนลง "นอนนิ่งๆ ไว้ก่อน เถ้าแก่หวังบอกว่าเ้ากระทบกระเทือนอย่างหนัก ต้องพักผ่อนให้มาก"
"ข้าหลับไปนานเท่าใด?"
"สามวันเต็มๆ" หลี่เหวินตอบ พลางใช้หลังมืออังหน้าผากของน้องสาว "โชคดีที่ไข้ลดลงแล้ว เ้ารู้หรือไม่ว่าเ้าทำให้พี่กับท่านพ่อกลัวแทบสิ้นสติ"
ยุนจิน ไม่สิ ตอนนี้คือหลี่ซือซือ กวาดตามองไปรอบห้อง มันเป็เพียงห้องนอนเล็กๆ ที่มีแค่เตียงไม้เก่าๆ กับโต๊ะเครื่องแป้งที่ขาโยกเยก บนโต๊ะมีเพียงหวีไม้ที่ซี่หักไปหลายซี่ กับถ้วยบิ่นที่ใส่ยาต้มส่งกลิ่นฉุน หน้าต่างไม้เก่าๆ ถูกเปิดแง้มไว้ เผยให้เห็นภาพสวนหลังบ้านที่รกร้างและบ่อย้อมผ้าขนาดใหญ่หลายบ่อที่แห้งขอด ไร้ซึ่งชีวิตชีวา
ทุกอย่างคือความจริง ความจริงที่โหดร้ายและน่าหดหู่
"ท่านพ่อเล่า?" นางเอ่ยถาม
หลี่เหวินถอนหายใจยาว ดวงตาฉายแววเ็ป "ท่านพ่อ อยู่ในห้องทำงานเหมือนเคย" คำว่าห้องทำงาน ถูกเอ่ยออกมาอย่างแ่เบา ราวกับมันเป็เพียงชื่อเรียกสถานที่ที่เคยรุ่งเรือง แต่บัดนี้เหลือเพียงซากปรักหักพังทางความรู้สึก
ซือซือพยุงตัวเองลุกขึ้นนั่งอย่างช้าๆ แม้จะรู้สึกวิงเวียนไปบ้าง แต่จิติญญาของยุนจินที่เคยทำงานหนักอดหลับอดนอนมาทั้งชีวิตทำให้เธอแข็งแกร่งกว่าเ้าของร่างเดิมมากนัก
"ข้าจะไปพบท่านพ่อ"
"ซือซือ! เ้ายังไม่หายดี!"
เสียงทัดทานของหลี่เหวินเต็มไปด้วยความห่วงใย แต่หญิงสาวกลับส่ายหน้า ั์ตาสั่นไหว ด้วยความมุ่งมั่นเกินกว่าจะหยุดยั้ง นางก้าวลงจากเตียง เท้าเปล่าเหยียบพื้นไม้เย็นเฉียบ ความเย็นซึมผ่านขึ้นมาเหมือนจะสะกิดให้ร่างกายอ่อนแรงยิ่งกว่าเดิม ทว่าใจกลับไม่ยอมถอย
ร่างที่ยังไม่แข็งแรงโซเซออกจากห้องนอน ทุกย่างก้าวเป็ดั่งการฉีกาแเก่า กลิ่นสุราราคาถูกโชยมาแตะจมูกก่อนที่นางจะถึงหน้าห้องทำงาน เมื่อบานประตูถูกผลักออก ภาพตรงหน้าทำให้หัวใจของซือซือเหมือนถูกกำมือบีบจนแทบหยุดเต้น
หลี่เจิ้ง อดีตปรมาจารย์แห่งการย้อมผ้าที่เคยได้รับคำยกย่องไปทั่วแคว้นเจียงหนาน ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยยืนตระหง่านด้วยชื่อเสียงและความภาคภูมิ บัดนี้นั่งทรุดอยู่บนพื้นเย็นเยียบ รอบกายเต็มไปด้วยเศษซากความสิ้นหวัง ไหสุราที่ว่างเปล่ากลิ้งอยู่ข้างตัว ผมเผ้ารุงรัง หนวดเครารกครื้ม ร่างกายซูบผอมเหมือนถูกกลืนกินไปด้วยความเ็ปและความพ่ายแพ้
สายตาที่เลื่อนลอยของเขาจ้องไปยังผนังว่างเปล่า ที่ครั้งหนึ่งเคยแขวนป้ายเกียรติยศและคำยกย่องนับไม่ถ้วน แต่บัดนี้ไม่มีสิ่งใดเหลือ นอกจากรอยตะปูและฝุ่นเกาะหนา เป็ภาพที่แทงใจเจ็บยิ่งกว่าคำใด
"ท่านพ่อ..." ซือซือเอ่ยเสียงสั่น น้ำตาคลอ
หลี่เจิ้งหันช้า ๆ มองบุตรสาว ดวงตาที่มืดมิดคล้ายทะเลไร้คลื่น พลันสั่นไหวเพียงเสี้ยววินาที ราวกับแสงสุดท้ายของตะเกียงที่ใกล้ดับ แต่แล้วก็กลับมืดหม่นดังเดิม
ริมฝีปากแตกแห้งขยับช้า ๆ เสียงแตกพร่าและหนักอึ้งดังขึ้น “ฟื้นแล้วรึ... ดีแล้ว”
เขาก้มหน้าลง สองไหล่สั่นเล็กน้อยราวกับถูกก้อนหินมหึมากดทับ “พ่อมันไร้ประโยชน์นัก ขนาดลูกสาวาเ็นอนสลบไสลไปหลายวัน พ่อกลับได้แต่เฝ้าดู แม้แต่ชีวิตของเืเนื้อเชื้อไขตัวเองยังช่วยอะไรไม่ได้”
สายตาที่หม่นหมองทอดมองไปยังมือที่เคยหยิบจับสีสันละมุนละไมในถังย้อม “ครั้งหนึ่งพ่อเคยเชื่อว่าตนสามารถย้อมผ้าให้สดสวยยืนยาวไม่รู้โรยรา แต่สุดท้าย กลับไม่ต่างอะไรกับผืนผ้าที่ถูกซักซ้ำจนสีซีดเลือน เหลือเพียงเศษผ้าขาดรุ่ยที่ไร้ค่า”
เสียงสั่นเครือแทบกลายเป็คร่ำครวญ “พ่อมัน ไม่ต่างจากตะเกียงที่น้ำมันหมดไส้ไฟดับ ยังจะมีประโยชน์สิ่งใดอีกเล่า”
คำพูดนั้นเหมือนคมมีดกรีดกลางอก ซือซือกัดริมฝีปากกลั้นสะอื้น ขณะที่หลี่เหวินซึ่งตามเข้ามาอดกลั้นไม่ไหว "ท่านพ่อ อย่ากล่าวเช่นนั้น! มันไม่ใช่ความผิดของท่าน! เป็เพราะตระกูลสวี พวกมันต่างหากที่บีบคั้นเราอย่างเืเย็น!"
"ตระกูลสวี" ซือซือทวนชื่อนั้นเบา ๆ ราวกับเสียงกระซิบ แต่ในห้วงความทรงจำของร่างเดิม มันกลับดังสนั่นเหมือนระฆังพิพากษา ชื่อนี้คือฝันร้าย คือความมืดที่กัดกินหัวใจ และคือห่วงโซ่แห่งความพังพินาศที่ทำให้ครอบครัวที่ครั้งหนึ่งรุ่งเรือง ต้องจมดิ่งลงสู่ความมืดมนเช่นวันนี้
"ใช่!" หลี่เหวินกำหมัดแน่น ริมฝีปากขบจนขาวด้วยความโกรธแค้น "พวกมันกว้านซื้อวัตถุดิบชั้นดีไปจนเกลี้ยงตลาด กดราคาผ้าเรา ประโคมข่าวลือว่าสีของเราซีดจางจนไม่มีใครอยากซื้อ พอโรงย้อมของเรากำลังจะล้ม พวกมันก็โถมเข้ามา ราวกับฝูงหมาป่าที่รุมกัดซากเนื้อที่ไร้เรี่ยวแรงขยับหนี!"
หลี่เจิ้งหัวเราะหึ่ง แหบแห้งจนเหมือนเสียงกระพรือของผืนผ้าเก่า "พวกมันเอาไปทุกอย่าง เกียรติยศ เงินทอง แม้แต่ศักดิ์ศรีของข้า" เขาช้อนไหสุราว่างเปล่าขึ้นมาทาบปาก ทำท่าจะดื่ม แต่สุดท้ายกลับขว้างมันทิ้งด้วยแรงสะบั้น จนไหเหล้าแตกกระจาย "หมดแล้วทุกอย่างมันจบสิ้นแล้ว!" น้ำเสียงเหมือนประกาศการตายของสิ่งที่เคยเป็ชีวิตของเขา
ซือซือเดินเข้าไปใกล้ หยิบม้วนผ้าผืนหนึ่งที่กองอยู่บนพื้นขึ้นมา มันเป็ผ้าฝ้ายธรรมดาที่ถูกย้อมเป็สีแดงทึมๆ เป็ผลงานชิ้นล่าสุดที่พี่ชายของนางพยายามทำเพื่อขายหาเงินมาซื้อข้าวสาร
ทันทีที่ปลายนิ้วของนางัักับผืนผ้า โลกทั้งใบก็เปลี่ยนไป!
ในสายตาของนาง สีแดงทึมๆ นั้นไม่ได้เป็เพียงสี แต่มันคือโครงสร้างที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า นางเห็นอนุภาค ของสีย้อมจากรากต้นเชี่ยนเฉ่า เกาะอยู่บนเส้นใยฝ้ายอย่างหลวมๆ ไร้ซึ่งการยึดเกาะที่มั่นคง นางเห็นความเ็ปของสีที่ถูกต้มในอุณหภูมิที่ไม่ถูกต้อง นางได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญของเส้นใยที่ไม่ได้รับการดูแลอย่างที่ควร...
นี่คือพลังพิเศษของนาง พลังที่ติดตัวยุนจินมาั้แ่เกิดในโลกเก่า นางสามารถ มองเห็น และรู้สึกถึงโครงสร้างของสีและเส้นใยได้! ในโลกเก่ามันทำให้นางกลายเป็นักออกแบบและนักเคมีสีย้อมผ้าอัจฉริยะ แต่ในโลกนี้ มันอาจจะเป็แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวท่ามกลางความมืดมิด
"สีแดงผืนนี้" ซือซือเปรยขึ้นมา น้ำเสียงของนางเปลี่ยนไป มันไม่ใช่เสียงแหบพร่าของคนป่วยอีกแล้ว แต่เป็เสียงที่เรียบเฉียบและมั่นคง "มันยังไม่ตาย"
หลี่เหวินขมวดคิ้ว "ซือซือ เ้าพูดอะไร? มันก็แค่ผ้าที่สีตายด้านผืนหนึ่ง"
"เปล่าเลยพี่ใหญ่" นางเงยหน้าขึ้น สบตากับพี่ชายและบิดา ในดวงตาคู่นั้นฉายแววปัญญาและความมุ่งมั่นอย่างที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน "มันไม่ได้ตาย มันแค่ถูกปรุงอย่างผิดวิธี สีย้อมจากรากเชี่ยนเฉ่า้าตัวนำที่เป็ด่างอ่อนๆ เพื่อจะเปิดเส้นใย และ้าตัวยึด ที่เป็กรดแทนนินเพื่อจะตรึงสีเอาไว้ แต่นี่... ท่านแค่ต้มมันกับน้ำสารส้มเพียวๆ ใช่หรือไม่?"
หลี่เหวินและหลี่เจิ้งอ้าปากค้าง พวกเขามองหน้ากันด้วยความตกตะลึง
"เ้า...เ้ารู้ได้อย่างไร?" หลี่เจิ้งถามเสียงสั่น นี่คือเคล็ดวิชาชั้นสูงของช่างย้อมที่ต้องใช้ประสบการณ์นับสิบปีถึงจะเข้าใจ ลูกสาวของเขาที่ป่วยออดๆ แอดๆ และไม่เคยสนใจเื่ในโรงย้อมเลยจะรู้เื่พวกนี้ได้อย่างไร?
ซือซือไม่ตอบคำถามนั้น นางหันไปมองพี่ชาย "พี่ใหญ่ ในครัวของเรา ยังมีน้ำขี้เถ้าอยู่หรือไม่?"
"มี แต่เ้าจะเอาไปทำอะไร?" หลี่เหวินถามด้วยความงุนงง น้ำขี้เถ้ามันก็แค่ของที่ใช้ซักล้างเสื้อผ้าที่สกปรกมากๆ เท่านั้น
"และเปลือกทับทิมแห้งเล่า?" นางถามต่อ ไม่สนใจความสับสนของเขา
"น่าจะยังเหลืออยู่บ้างในห้องเก็บสมุนไพรเก่า ซือซือ เ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?"
แทนคำตอบ นางหันไปทางบิดาผู้ยังคงนั่งนิ่งอยู่บนพื้น ดวงตาที่เคยแน่วแน่และมั่นคงของนางจ้องลึกเข้าไปในแววตาที่ว่างเปล่าของบิดา "ท่านพ่อ ข้าขอยืมบ่อย้อมเล็กที่สุด กับฟืนหนึ่งหาบได้หรือไม่เ้าคะ?"
หลี่เจิ้งแค่นเสียงในลำคอ "เอาไปทำอะไร? เอาไปเล่นขายของรึ? พอได้แล้วซือซือ! พ่อไม่มีอารมณ์มาเล่นกับเ้า!"
คำพูดนั้นแทงลึกเข้าไปในใจของหลี่เหวิน แต่หลี่ซือซือกลับไม่สะทกสะท้าน นางย่อตัวลงตรงหน้าบิดา หยิบผ้าสีแดงผืนนั้นขึ้นมาอีกครั้ง "ข้าไม่ได้จะเล่น แต่ข้าจะชุบชีวิตมัน"
"ชุบชีวิต?" หลี่เจิ้งหัวเราะอย่างขมขื่น "ผ้าที่ย้อมเสียแล้วก็เหมือนคนที่ตายไปแล้ว ไม่มีทางฟื้นคืน!"
"คนตายไม่อาจฟื้น แต่ผ้าผืนนี้แค่ป่วยหนักเท่านั้น" นางกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "ท่านพ่อเคยสอนข้ามิใช่หรือว่า 'จิติญญาของช่างย้อมคือการสนทนากับสีและผ้า' แต่ตอนนี้ ท่านกลับไม่ยอมแม้แต่จะรับฟังเสียงของมัน"
คำพูดนั้นราวกับค้อนที่ทุบลงบนหัวใจของหลี่เจิ้ง เขาสะท้านไปทั้งตัว ใช่ เขาเคยพูดเช่นนั้นจริงๆ ในวันที่เขายังรุ่งเรือง ในวันที่เขายังเป็ปรมาจารย์หลี่
ซือซือจำได้อย่างไร? นั่นเป็คำพูดที่ข้าเคยสอนเหวินเอ๋อร์เมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นซือซือยังเป็แค่เด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่วิ่งเล่นอยู่ข้างบ่อย้อม หรือว่านาง? หลี่เจิ้งนิ่งคิดแบบงง งง
"พี่ใหญ่ ช่วยข้าด้วย" ซือซือไม่รอให้บิดาอนุญาต นางหันไปหาพี่ชายซึ่งเป็ความหวังเดียวในตอนนี้
หลี่เหวินมองหน้าน้องสาวที่เปลี่ยนไปเป็คนละคน แววตาคู่นั้นไม่มีความอ่อนแอหลงเหลืออยู่เลย มันเต็มไปด้วยความมั่นใจอย่างประหลาด ราวกับว่านางรู้อยู่แก่ใจว่ากำลังจะทำอะไร เขาสูดหายใจเข้าลึก ตัดสินใจเชื่อในปาฏิหาริย์ที่อาจไม่เกิดขึ้นจริง
"ได้! พี่จะช่วยเ้า!"
ลานดินหลังบ้านที่เคยเงียบเหงากลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้งในรอบหลายปี หลี่เหวินก่อไฟใต้หม้อย้อมใบเล็กที่ไม่ได้ใช้งานมานานจนฝุ่นจับหนาเตอะ ควันไฟสีขาวลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าสีเทาหม่นของยามบ่าย ราวกับเป็สัญญาณชีพแรกของโรงย้อมที่ใกล้ตาย
ซือซือทำงานอย่างคล่องแคล่ว นางสั่งให้พี่ชายนำน้ำขี้เถ้ามาผสมกับน้ำอุ่นในอัตราส่วนที่นางกำหนด ก่อนจะนำเปลือกทับทิมแห้งมาต้มในหม้ออีกใบเพื่อสกัดเอาสารแทนนินออกมา กลิ่นเปรี้ยวฝาดของเปลือกทับทิมลอยปะปนกับกลิ่นไหม้ของฟืน
หลี่เจิ้งเดินโซเซออกมาจากห้องทำงาน เขาไม่ได้คิดจะช่วย แต่ในใจลึกๆ ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าลูกสาวของตนคิดจะทำอะไรกันแน่ เขายืนกอดอกพิงเสาเรือนเก่าๆ มองดูการกระทำของนางด้วยสายตาดูแคลน
นางทำทุกอย่างราวกับเคยทำมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ท่วงท่าการคนน้ำ การวัดอุณหภูมิด้วยหลังมือ มันช่างดูเป็ธรรมชาติเหลือเกิน นี่ใช่น้องสาวขี้โรคของข้าจริงๆ หรือ?หลี่เหวินยืนมองน้องสาวแบบไม่เชื่อสายตา
ซือซือนำผ้าสีแดงที่ป่วยหนัก ผืนนั้นลงไปแช่ในน้ำด่างอ่อนๆ ของน้ำขี้เถ้า ในสายตาของนาง พลังพิเศษทำให้เห็นภาพอันน่าอัศจรรย์! เส้นใยฝ้ายที่เคยหดตัวปิดแน่นราวกับกำแพง บัดนี้ค่อยๆ คลายตัวออกอย่างช้าๆ เหมือนดอกไม้ที่กำลังแย้มบานต้อนรับน้ำค้าง อนุภาคสีแดงเก่าที่เกาะอยู่อย่างหลวมๆ ถูกชะล้างออกไปบางส่วน เหลือเพียงแก่นสีที่ฝังตัวอยู่ลึกที่สุด
"พี่ใหญ่ น้ำต้มเปลือกทับทิมได้ที่แล้ว" นางสั่งโดยไม่หันไปมอง
หลี่เหวินรีบยกหม้อลงจากเตา ซือซือรับมันมาแล้วค่อยๆ รินน้ำสีน้ำตาลเข้มลงในบ่อย้อมที่มีผ้าแช่อยู่ นางคนมันอย่างนุ่มนวล ท่วงท่าของนางราวกับกำลังร่ายรำ
"ไร้สาระสิ้นดี!" หลี่เจิ้งทนดูต่อไปไม่ไหว "เอาด่างไปล้างสี แล้วเอาฝาดไปทับถม มันมีแต่จะทำให้ผ้ากระด้างและสีเพี้ยนไปกันใหญ่! เ้ากำลังทำลายผ้าผืนสุดท้ายที่พอจะขายได้ของเรา!"
ซือซือหยุดมือ นางหันไปเผชิญหน้ากับบิดา "ท่านพ่อ ท่านมองเห็นแค่ ด่าง กับ ฝาด แต่ท่านไม่เห็นหรือว่าเส้นใยกำลัง เปิดรับ และสีสันกำลังโหยหาที่ยึดเกาะ ท่านมองแต่ตำราเก่าๆ จนลืมไปแล้วว่าวัตถุดิบทุกอย่างมีชีวิตของมันเอง!"
คำพูดของนางเฉียบคมราวกับใบมีด มันกรีดลงไปบนความหยิ่งทระนงในฐานะช่างฝีมือของหลี่เจิ้งจนเืซิบ
นางไม่สนใจบิดาอีกต่อไป นางนำผ้าขึ้นจากบ่อ ล้างมันในน้ำสะอาดอีกครั้ง ก่อนจะนำมันกลับไปที่บ่อย้อมดั้งเดิมที่พี่ชายของนางเคยใช้ ซึ่งยังมีคราบสีแดงเก่าหลงเหลืออยู่ นางสั่งให้พี่ชายเติมน้ำและก่อไฟอีกครั้ง
"ซือซือ เ้าจะทำอะไรอีก