เวลากลางดึก ณ เมืองหัวเซี่ย สายลมเย็นสบายพัดผ่านไป
เย่เทียนเซี่ยเดินอยู่ลำพังท่ามกลางแสงไฟมากมายบนถนนสายใหญ่ สองมือของเขาล้วงเข้าไปในกระเป๋า ไม่ว่าจะเป็ผู้คนที่เดินสวนกันไปมาหรือรถที่แล่นอยู่บนถนนก็ไม่สามารถดึงความสนใจไปจากเขาได้แม้แต่น้อย ในหัวเขาคิดถึงแต่ภาพที่กั่วกัวปรากฏตัวขึ้นมาในโลกนี้
คำตอบทั้งหมดน่าจะอยู่ที่ห้วงเวลาแห่งโชคชะตานิรันดร์ เย่เทียนเซี่ยหยิบเครื่องประดับสีดำที่อกขึ้นมา.....ไม่ว่าจะเป็ World of Fate หรือโลกจริงนี้กั่วกัวก็จะออกมาจากด้านในของสิ่งนี้ หรือจะเป็ปาฏิหาริย์ที่ห้วงเวลาแห่งโชคชะตานิรันดร์ที่มีรูปลักษณ์แปลกประหลาดจนไม่สามารถอธิบายได้นี้สามารถทำให้เธออยู่ในโลกแห่งเกมหรือโลกจริงได้อย่างอิสระ......จริงๆแล้วมันเพราะอะไรกันแน่?
สิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นทิ้งไว้ให้เขาจริงๆแล้วมันคืออะไรกันแน่?
เธอ......เป็ใครกัน?
เย่เทียนเซี่ยชะงักฝีเท้า คำถามนี้ที่เขาลืมมันไปนานแล้ว อีกทั้งยังพยายามหนีจากมันมานานหลายปีแต่ทันใดนั้นเองมันกลับเข้ามาเกาะกุมพื้นที่ในหัวใจของเขาไว้ เขาถอนหายใจออกมายาวๆแล้วเดินตรงไปด้านหน้าต่อไป
เย่เทียนเซ่ยเดินผ่านไปสามซอย ในที่สุดก็มาถึงหน้าเครื่องขายของอัตโนมัติที่ใกล้ที่สุด จริงๆแล้วในเขตวิลล่าของเขาก็มีร้านสะดวกซื้อขนาดใหญ่ที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงไม่มีหยุดอยู่ห้าถึงหกแห่ง แต่.....ถ้าให้ผู้ชายตัวคนเดียวแบบเขาไปซื้ออมยิ้มกลางดึกล่ะก็.......มันคงจะน่าขายหน้ามาก แค่สายตาแปลกๆจากพนักงานขายก็คงจะสามารถฆ่าเขาได้ภายในเสี้ยววินาที
เขาใช้สายตาหวาดระแวงกวาดมองไปรอบๆ หลังจากแน่ใจแล้วว่าบริเวณรอบๆไม่มีคนเย่เทียนเซี่ยก็ดึงแบงค์หนึ่งร้อยหยวนขึ้นมาหนึ่งใบแล้วใส่เข้าไปในช่องรับเงินหลังจากนั้นก็กดซื้ออมยิ้มมา 20 อัน
อมยิ้มที่มีรสชาติต่างกัน 20 อันหล่นลงมาทีละอันๆ เย่เทียนเซี่ยมองดูรอบๆอีกครั้งก่อนจะเก็บอมยิ้มทั้งหมด 20 อันใส่เข้าไปในกระเป๋าแล้วปิดมันอย่างแ่าด้วยใบหน้าสงบนิ่ง และเมื่อเขากำลังจะจากไปเขาก็เปลี่ยนใจหันกลับมาอีกครั้ง เย่เทียนเซี่ยหยิบแบงค์ร้อยหยวนออกมาอีกใบแล้วซื้อช็อคโกแลตหลากหลายรสชาติไปอีก 10 ชิ้น ทำให้กระเป๋าอีกข้างถูกอัดแน่นไปด้วยช็อคโกแลต
ภารกิจเสร็จสิ้น!เย่เทียนเซี่ยถอนหายใจ รีบเร่งฝีเท้ากลับไป ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลยว่าจะมีวันที่ตัวเองต้องมาซื้ออมยิ้มไปให้เด็กตัวกะเปี๊ยกกิน แต่ความบริสุทธิ์ น่าสงสาร และสายตาที่เต็มไปด้วยความหวังของกั่วกัวทำให้เขาต้องพ่ายแพ้
ตอนนี้ท้องฟ้ามืดสนิท เงาของก้อนเมฆดำทะมึนบดบังดวงจันทร์จนมิด ทำให้บนพื้นไร้แสงขาวนวลของดวงจันทร์ แสงไฟของเมืองที่กระพริบระยิบระยับแสดงให้เห็นถึงความเจริญของตัวเมือง แต่ทว่าแสงเ่าั้กลับสาดส่องไปไม่ถึงบาปและความโสมมนับไม่ถ้วนที่แฝงตัวอยู่ในมุมมืด
เย่เทียนเซี่ยมักจะทำตัวเหมือนตัวเองไม่ใช่คนของโลกนี้ ทุกอย่างของเขามันก็เข้ากันไม่ได้กับความเป็จริงในตอนนี้เลย บางครั้งเขาก็เหมือนจะรักสันโดษไม่แยแสต่อสิ่งใด แต่ในบางครั้งเขากลับทำสิ่งที่คนทั่วไปอยากทำแต่ไม่มีความกล้ามากพอที่จะทำได้ สิ่งที่เขา้าจริงๆแล้วคืออะไรกันแน่......... แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังคงค้นหาคำตอบนั้นในความเงียบงัน เขามองสำรวจโลกแห่งความจริงทั้งหมดอย่างเ็า เมื่อมองเข้าไปในมุมมองที่คนธรรมดามองไม่เห็น เขาก็ยิ่งพบว่าตัวเองห่างไกลจากโลกใบนี้มากขึ้น
ฟ้า.....นายเป็ท้องฟ้าที่ห่างไกลขนาดไหนนะ
ขาว......นายเป็ก้อนเมฆที่ห่างไกลแค่ไหนกัน
เย่เทียนเซี่ยมองท้องฟ้าที่มืดมิดและก้อนเมฆสีดำที่ปรากฏอยู่บนนั้น ปากของเขาพึมพำร้องเพลงอันแสนไพเราะที่แทบจะทำให้อาจารย์สมัยประถมของเขาปวดเศียรเวียนเกล้าจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่อยากจะะโลงน้ำซะให้มันรู้แล้วรู้รอด.....
สายลมเย็นพัดผ่านข้างหูของเขา เย่เทียนเซี่ยเงยหน้าขึ้นเพลิดเพลินไปกับสายลมเย็นที่พัดโชยมาพร้อมกลิ่นเหม็นเน่าของเมืองแต่ทันใดนั้นเท้าของเขาก็หยุดชะงัก เขาเหลือบสายตามองไปทางขวามือที่ห่างออกไปตรงมุมหนึ่งในความมืด
“ฮือ....ฮือ......ปล่อยฉันไปเถอะ..... ได้โปรดเถอะ......ได้โปรด......”
รอยยิ้มเยาะเย้ยปรากฏอยู่บนใบหน้าของเย่เทียนเซี่ย เขาเบนสายตากลับมาโดยไม่หันกลับไปมองทิศทางเดิมอีกก่อนจะเดินต่อไปด้านหน้า ใจกลางเมืองหัวเซี่ยที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดกลับเต็มไปด้วยความโสมมทั้งที่มองเห็นและที่มองไม่เห็น เขาได้พบเห็นมามากมายแล้ว จากตอนแรกที่มีความโกรธ ก็ค่อยๆเปลี่ยนไปเป็ความเฉยเมย และกลายเป็ความชินชาในที่สุด บางทีนี่อาจจะเป็กฎอีกอย่างหนึ่งของโลกแห่งความจริงก็ได้ และเขาก็ไม่เคยคิดสนใจที่จะไปยุ่งเื่ของคนอื่นด้วย
ห่างไปร้อยเมตร เสียงหนึ่งที่ถูกปกปิดไว้ทำให้คนธรรมดาไม่อาจได้ยินและไม่มีใครสามารถมองเห็นเื่ที่เกิดขึ้นในมุมมืดนั้นได้ เย่เทียนเซี่ยเดินผ่านไปอีกมุมหนึ่ง ดวงตาสบายๆของเขามองไปยังทิศทางนั้นแวบหนึ่ง เท้าของเขาก็หยุดชะงักอีกครั้ง
ห่างออกไปร้อยเมตรสายตาของเขาเพ่งผ่านความมืดมิดยามราตรีจ้องมองไปยังมุมๆนั้น ที่ซึ่งใบหน้าของหญิงสาวกำลังเต็มไปด้วยความกลัว ดูจากใบหน้าของเธอเขาจับััของความรู้สึกคุ้นเคยได้ แต่ความรู้สึกคุ้นเคยนี้กลับอยู่ไม่ไกลราวกับว่าเขาพึ่งพบเธอคนนั้นเมื่อไม่นานมานี้เอง
ตอนนี้เย่เทียนเซี่ยคิดออกแล้วว่าเคยพบผู้หญิงคนนั้นที่ไหน เขาจำเป็ต้องหมุนตัวกลับมาแล้วเดินตรงไปทางนั้นอย่างช่วยไม่ได้ เย่เทียนเซี่ยพูดออกมาเสียงต่ำ “โชคดีของเธอจริงๆ วันนี้ก่อนออกจากบ้านเธอน่าจะต้องดูดวงซักหน่อยนะ”
“เฮ้ย.....เร็วเข้าสิ พวกบอดี้การ์ดที่อยู่ข้างๆยัยนี่ตลอดไม่ใช่คนธรรมดานะ ถ้ารอให้พวกมันหาทางกลับมาได้ล่ะก็จะต้องยุ่งยากมากแน่ๆ”
“หึ! เ้าโง่พวกนั่นยังถูกคนของฉันจูงจมูกให้วิ่งวุ่นไปทั่วเมืองอยู่เลย เห๊อะ พวกอัจฉริยะจากองค์กรพยัคฆ์อะไรนั่นก็เป็แค่หมูโง่ที่แค่ใช้แผนเบี่ยงเบนความสนใจเล็กๆน้อยๆก็รีบวิ่งตามกันไปหมดแล้ว” ชายหัวล้านสวมชุดสีดำที่มีใบหน้าน่ากลัวพูดออกมาอย่างเยาะเย้ย
“งั้นก็ดี รีบขึ้นรถเถอะ” ชายคนหนึ่งที่คาบซิการ์ไว้ในปากและพ่นควันออกมาเต็มหน้าพูดขึ้น
การกระทำเ่าั้ถูกอำพรางไว้ภายใต้ความมืดมิดยามค่ำคืน ท้ายรถตู้สีดำถูกเปิดออก หญิงสาวที่ถูกปิดปากเอาไว้ถูกมือหยาบลากไปยังท้ายรถ ดวงตาทั้งคู่ของเธอเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว ท่ามกลางการขัดขืนอย่างสุดกำลังมีเพียงเสียงอู้อี้เท่านั้นที่หลุดออกมา
ทั้งหมดเป็คนสวมชุดดำสี่คน แต่ไม่ว่าพวกเขาจะแต่งตัวอย่างไรก็ดูจะไม่ใช่คนดีแน่นอน จะขาดก็แต่เครื่องหมายที่เขียนไว้ว่า “เราคือองค์กรลับ” ติดไว้บนหน้าผากก็เท่านั้นเอง
“ค่ำคืนมืดมิดสายลมพัดไหว ช่างเป็่เวลาที่สวยงามจริงๆ ไม่ทราบว่าพี่ชายทั้งสี่และน้องสาวคนสวยกำลังเตรียมตัวจะไปใช้เวลาในค่ำคืนที่สวยงามนี้ที่ไหนกันเหรอ”
ร่างที่สวมชุดสีดำทั้งสี่คนแข็งค้างพร้อมกัน พวกเขาหมุนตัวกลับมาในทันที ท่ามกลางความมืดมิดด้านหน้า ไม่รู้ว่ามีชายหนุ่มสวมชุดอยู่บ้านสบายๆยืนอยู่ตรงนั้นนานเท่าไรแล้ว ภายใต้แสงที่สาดส่องมายังความมืดด้านล่างสามารถมองเห็นได้รางๆว่าชายหนุ่มคนนั้นกำลังแย้มยิ้มสบายๆ แต่รอยยิ้มนั้นกลับไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้พวกเขารู้สึกหัวใจเต้นถี่แรง
ด้วยการตื่นตัวที่อยู่ในระดับสูงของพวกเขา แต่กลับไม่มีใครรู้เลยว่าชายคนนี้มาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังของพวกเขาั้แ่เมื่อไร คนคนนี้.....
ชายคนที่เป็ผู้นำเปลี่ยนอารมณ์จากความตกตะลึงในระยะเวลาสั้นๆเป็ความสงบนิ่ง เขาคายซิการ์ที่อยู่ในปากทิ้ง ภายในดวงตาราวกับหมาป่าดุร้ายปรากฏประกายแห่งความมืดขึ้นมา เขาพูดออกมาเสียงเย็น “จัดการมันซะ”
“อื้ออื้อ....”หญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆรถส่งเสียงอื้ออื้อร้องขอความช่วยเหลือออกมา ดวงตาพยายามเบิกกว้างจ้องมองคนที่ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหันให้ชัดๆ เดิมทีเธอเกือบจะสิ้นหวังไปแล้วแต่แล้วทันใดนั้นราวกับคว้าจับฟางเส้นสุดท้ายไว้ได้ เธอจึงพยายามต่อสู้ดิ้นรนอย่างหนัก
ชิ้ง!
เสียงเสียดสีของโลหะดังขึ้นมา แล้วแสงของโลหะก็สว่างวูบตามมา ปืนสีเงินกระบอกหนึ่งถูกชักออกมา ใบหน้าของคนทั้งสี่ปรากฏรอยยิ้มเย็นออกมาพร้อมกัน