เผชิญกับการเหยียดหยามของจ้านอู๋มิ่ง หนานกงฉู่ ผู้ทระนงตนรู้สึกอับอายขายหน้าเจียนตาย ก่อนหน้านี้จ้านอู๋มิ่งกล่าวว่าตนเป็เด็กน้อยหน้าขาวบ้าง บุรุษเบี่ยงเบนบ้าง ยามนี้ต่อหน้าฝูงชน ทั้งหยิกใบหน้าแล้วก็ยังเชยคางอีก นี่จะไม่ทำให้ตนในฐานะยอดฝีมืออันดับหนึ่งบนรายชื่อป้ายทองโกรธเคืองได้อย่างไร แต่ว่าพลังประหลาดของจ้านอู๋มิ่งกลับผนึกพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ในร่างไว้อย่างง่ายดาย ทำให้แม้กระทั่งดิ้นรนยังยากลำบาก ยิ่งมิต้องพูดถึงการต่อต้านแล้ว
การแสดงออกแบบง่ายๆ ของจ้านอู๋มิ่ง ทำให้ผู้ชมด้านล่างเวทีพูดไม่ออกจริงๆ เขากำลังเปลือยกาย กล้ามเนื้อเป็รอยฟกช้ำเขียวม่วงไปทั้งตัว และก็ยังหยิกหนานกงฉู่ที่ผิวขาวนวลเนียนเช่นนี้ คนส่วนใหญ่รู้สึกขนลุกชูชันขึ้นมาทั้งตัว สถานการณ์ลักษณะนี้ ทำให้ผู้คนอดคิดถึงเื่ราวกักขฬะหยาบคายขึ้นมามิได้ จ้านอู๋มิ่งถูกผู้อื่นรังแกอย่างเลวร้ายเช่นนี้แล้ว ยังไม่ลืมที่จะเย้าแหย่ศัตรูอย่างลามกอนาจารสักครั้ง ช่างผิดปกติมากแล้วจริงๆ
“ไอ้หนู หากเ้าปล่อยคุณชายของตระกูลข้า ข้าจะไม่ถือสาหาความกับการดูิ่ในวันนี้ของเ้า หากเ้ายังกล้าสร้างความอับอายขายหน้า อย่าได้โทษว่าเราผู้ชรามิได้เตือนเ้า ตระกูลหนานกงจะทำลายล้างเจ็ดชั่วโคตรของเ้า!” สำนึกฆ่าฟันในใจหนานกงพั่วไฮว่ดุจไฟลุกโชนโหมกระหน่ำ จ้านอู๋มิ่งดูแคลนเหยียดหยามหนานกงฉู่ ก็คือดูแคลนเหยียดหยามตระกูลหนานกง ติดขัดอยู่ที่พลังอำนาจของสำนักบริบาลเดรัจฉาน พวกเขาก็มิกล้าทำสิ่งใดเกินเลย เพราะหนานกงฉู่ยังอยู่ในกำมือจ้านอู๋มิ่ง การท้าสู้ในครั้งนี้ก็เป็ความ้าขึ้นเวทีประลองของหนานกงฉู่เอง หากทำสิ่งใดเกินเลย เกรงแต่ว่าผู้อื่นจะหัวเราะเยาะตระกูลหนานกงว่ายอมรับความพ่ายแพ้ไม่ได้
“ไอ้หนู หากเ้าไม่คำนึงถึงตนเอง ก็ต้องคำนึงตระกูลในเมืองมู่เหย่ของเ้าดูสักครั้ง…” หนานกงเจี้ยนเซ่อสำทับเพิ่มอีกสักประโยคหนึ่ง เขาเพิ่งทราบความเป็มาของจ้านอู๋มิ่งจากปากคนของสำนักกระบี่ิญญา เป็บุตรหลานตระกูลเล็กๆ ที่มาจากเมืองมู่เหย่ผู้หนึ่ง ั้แ่เด็กฝึกพลังจิติญญาแห่งการสู้ไม่ได้ ไม่ทราบเป็เพราะเหตุใด เมื่อมาถึงเมืองหนานเจากลับร้ายกาจถึงเพียงนี้ สำหรับตระกูลหนานกง ราชวงศ์ต้าเหยียนก็เป็เพียงปลาตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น อย่าว่าแต่ตระกูลเล็กๆ ในเมืองเล็กๆ ของราชวงศ์ต้าเหยียนเลย พวกเขาไม่เคยเห็นอยู่ในสายตามาก่อน
“ฮ่า ฮ่า…” จ้านอู๋มิ่งพลันหัวเราะเสียงดัง สีหน้าเฉยชา เขาคิดไม่ถึงว่าตระกูลหนานกงกลับด้อยคุณธรรมเช่นนี้ ถึงกับนำเื่ของตระกูลในเมืองมู่เหย่มาพูด ครั้งนี้พวกเขาแตะถูกเกล็ดย้อนของเขาเข้าแล้วจริงๆ
หัวเราะเสร็จเขาค่อยๆ โบกนิ้วชี้กับหนานกงฉู่ พูดอย่างเฉยชาว่า “เ้าทราบหรือไม่ว่าไฉนข้าถึงอยากเข้าสำนักกระบี่ิญญาตลอดมา? เพราะข้าอิจฉาลูกศิษย์สำนักกระบี่ิญญามากเป็พิเศษ ทันทีที่เข้าสู่สำนักก็สามารถทำสิ่งใดก็ได้ตามที่้าอย่างไร้ขื่อไร้แป เหมาะกับอุปนิสัยของข้ายิ่งนัก ดังนั้นั้แ่เล็กข้าก็ตั้งปณิธานว่าจะต้องเข้าเป็ศิษย์สำนักกระบี่ิญญา แต่เสียดายเมื่อคืนวานนี้ข้าได้สังหารถูเหยียนเซิ่ง ศิษย์สำนักกระบี่ิญญาไปแล้ว องค์ชายแห่งแคว้นถูเหยียน เขาก็เป็เช่นเดียวกับพวกเ้า พูดว่าข้าไม่กล้าทำร้าย กล่าวว่าเป็ของศิษย์สำนักกระบี่ิญญา…”
หยุดครู่หนึ่ง จ้านอู๋มิ่งกล่าวต่อว่า “ข้ากำลังคิด...มารดาข้า เพื่อ้าให้ข้าได้ทำในสิ่งที่้าทำอย่างอิสระ ไฉนเมื่อ้าจะสมปรารถนา เพื่อทำในสิ่งที่้าทำแล้ว เหตุใดจึงไม่สมัครเข้าเป็ศิษย์ของสำนักที่ไร้ขื่อไร้แปเสียเลยเล่า? ข้าคิดไปคิดมา หากว่าฝ่ายตรงข้ามเป็ศิษย์สำนักกระบี่ิญญา เขาทำได้แค่ปฏิบัติตนอย่างหยาบคายต่อข้าคนเดียวเท่านั้น การทำตามใจตนเองก็ไร้ความหมายแล้ว ดังนั้นข้าจึงตัดศีรษะเขาลงมา คนที่ดำรงชีพอยู่ในโลกนี้ก็เพื่อ้าทำตามสิ่งที่ใจปรารถนา ไม่ต้องถูกคุกคาม หากต้องมาคอยเคารพกฎเกณฑ์ ยังจะมีชีวิตอยู่เพื่อผายลมอันใดกันอีกเล่า! สมองมีปัญหาหรืออย่างไร มิใช่แผลใหญ่เท่าปากชามหรอกหรือ แต่เพราะการกระทำเื่นี้เอง ข้าจึงเข้าเป็ศิษย์สำนักกระบี่ิญญาไม่ได้แล้ว น่าเสียดายนัก! สำนักกระบี่ิญญาไม่ยอมรับข้าเป็ศิษย์มิเป็ไร ยัง้าสังหารข้าและพรรคพวกสหายข้า ก็เพราะเื่นี้เอง ข้าจึงได้พูดกับผู้าุโเจิงแห่งสำนักกระบี่ิญญาว่าเ้า้าฆ่าข้า ช่างกระชับและง่ายดายยิ่งนัก เ้าเป็ผู้เฒ่าผู้าุโจักรพรรดิาระดับกลางเชียวนะ ฆ่าข้าแล้วข้าไม่ยินยอมพร้อมใจ มิยอมศิโรราบ เ้าเองก็ต้องเสียหน้าเช่นกัน ดังนั้นข้าจึงบอกเขาว่าศิษย์สำนักกระบี่ิญญาที่ระดับต่ำกว่าราชันาคือขยะ หากผู้ที่ระดับราชันาขึ้นไปของสำนักกระบี่ิญญาไม่ลงมือ สำนักกระบี่ิญญาก็คืออุจจาระกองหนึ่ง ไม่มีคนสามารถฆ่าข้าได้ ดังนั้นวันนี้ข้ามาที่เยี่ยนซานตั้ง ให้ศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักกระบี่ิญญาออกมาต่อสู้กันตัวต่อตัว ถ้าข้าสิ้นชีพลง ข้ายินยอมให้จัดการได้ทุกอย่าง หากข้าชนะ เื่ฆ่าศิษย์สำนักกระบี่ิญญาเป็อันเลิกแล้วต่อกัน พูดตามตรงศิษย์สำนักกระบี่ิญญาก็มีฝีมืออยู่บ้างจริงๆ แต่ว่ายังสู้ข้าไม่ได้! ข้าคือใคร? ข้าคือคนที่สำนักบริบาลเดรัจฉานกำลังจะเปิดประตูสำนักทำพิธีรับเข้าเป็ศิษย์ของสำนักอย่างเป็ทางการอย่างไรละ”
คำพูดของจ้านอู๋มิ่ง เจิงฉู่ไฉฟังจนหน้าเขียวไปแล้ว อันใดศิษย์สำนักกระบี่ิญญาระดับต่ำกว่าราชันาคือขยะ อันใดระดับราชันาขึ้นไปไม่ลงมือ สำนักกระบี่ิญญาก็คืออุจจาระกองหนึ่ง…เจิงฉู่ไฉบันดาลโทสะยิ่งนัก คนผู้นี้คุยโวอย่างไร้ยางอายถึงเหตุผลที่เดิมทีไฉนจึง้าเข้าเป็ศิษย์สำนักกระบี่ิญญา ทำให้คนในสำนักกระบี่ิญญาแทบจะกระอักเืแล้ว คิดเข้าร่วมสำนักกระบี่ิญญาเพื่อทำในสิ่งที่ตน้าทำ ้าทำสิ่งใดก็ได้อย่างไร้ขื่อไร้แป?
ภายในสมองของฝูงชนที่เยี่ยนซานตั้งล้วนเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม ศิษย์สำนักกระบี่ิญญาสามารถทำสิ่งใดก็ได้จริงๆ หรือ ไร้ขื่อไร้แปจริงๆ เช่นนั้นหรือ?
คิดๆ ดูก็เหมือนจะจริงกระมัง ในแคว้นมหาจักรพรรดิชางเหยียนตี้กั๋ว ขอเพียงพูดว่าเป็ศิษย์สำนักกระบี่ิญญา ก็จะไม่มีผู้ใดกล้าตอแยทันที หากไปตอแยเข้าก็จะนำมาซึ่งเภทภัยเข่นฆ่าล้างตระกูลเลยทีเดียว ดังนั้นเริ่มมีคนจำนวนมากที่เห็นด้วยกับคำพูดของจ้านอู๋มิ่ง
ขณะทุกคนฟังจ้านอู๋มิ่งพูดอย่างตรงไปตรงมาว่าศิษย์สำนักกระบี่ิญญาระดับต่ำกว่าราชันาล้วนเป็ขยะนั้น บรรดาอัจฉริยะที่เตรียมจะเข้าสำนักกระบี่ิญญาล้วนสับสนมึนงงแล้ว สำนักกระบี่ิญญานี้คู่ควรเข้าไปหรือไม่กันนะ?
จ้านอู๋มิ่งเพียงคนเดียวของสำนักบริบาลเดรัจฉานก็ทำให้สำนักกระบี่ิญญาโงหัวไม่ขึ้นแล้ว ทำให้สำนักกระบี่ิญญาเสียหน้าอย่างใหญ่หลวง ดูแล้วพลังอำนาจแฝงของสำนักบริบาลเดรัจฉานยิ่งใหญ่เกรียงไกร ภายในใจเหล่าบรรดาอัจฉริยะเริ่มทำการแยกแยะ บางคนเลือกเข้าสำนักบริบาลเดรัจฉานหรือไม่ก็เลือกเข้าสำนักอื่นๆ
“ตาเฒ่าผู้นั้น เ้านำเื่ราวตระกูลข้าในเมืองมู่เหย่มาพูด การตัดสินใจของเ้าผิดพลาดแล้วจริงๆ ถ้าเ้าเคยตรวจสอบเื่ราวของข้า ก่อนที่ข้าจะมาเมืองหนานเจา ข้าก็คือบุตรหลานตระกูลมั่งคั่งที่ไม่เอาไหนคนหนึ่ง ทราบหรือไม่ว่าเพราะเหตุใด? นั่นเป็เพราะคนในจวนควบคุมข้าเอาไว้ ไม่ให้ข้าไปก่อเื่ เพราะข้าไม่ก่อเื่ก็แล้วไป พอก่อเื่ขึ้นมาก็ไร้ขื่อไร้แป ทำทุกอย่างตามอำเภอใจ เื่ราวใหญ่โตพัวพันไปถึงตระกูลเลยทีเดียว ดังนั้นหลังจากทราบเื่สำนักนิกายคัดเลือกศิษย์ครั้งใหญ่แล้ว ข้าก็เดินทางจากจวนมาทันที ตระกูลไม่อาจเกี่ยวข้องพัวพันด้วย ข้าก็ได้แต่มาเข้าสำนักกระบี่ิญญาให้เป็ผู้สนับสนุน หนุนหลังข้า ดูว่าผู้ใดกล้าตอแยข้าอีกบ้าง ตระกูลรู้ว่าข้า จ้านอู๋มิ่งก็คือตัวร้ายกาจที่ไร้ขื่อไร้แป ชอบตอแยก่อเื่โดยธรรมชาติอยู่แล้ว ขอเพียงออกจากเมืองมู่เหย่ จะต้องนำมาซึ่งเภทภัยใหญ่หลวงต่อตระกูลอย่างแน่นอน มิทราบเช่นกันว่าเพราะท่านปู่ข้าคนนั้นสติปัญญาไหวพริบสูงล้ำ หรือว่าบิดามารดาข้าพลังยุทธ์สูงส่ง ฉลาดปราดเปรื่อง สรุปแล้วทันทีที่ข้าก้าวเท้าออกจากเมืองมู่เหย่ ตระกูลจ้านก็ไม่ได้ดำรงอยู่ในใต้หล้านี้อีกต่อไปแล้ว มีคำโบราณคำหนึ่งกล่าวไว้ดียิ่ง ในเมื่อตอแยไม่ได้ ยังมิรู้จักซ่อนเร้นขึ้นมาอีกหรือ! เ้ากลับยังนำเื่นี้มาคุกคามข้าอีก”
จ้านอู๋มิ่งโบกนิ้วมือไปมา สีหน้าเต็มไปด้วยความดูแคลนและเหยียดหยาม
“เ้าพูดว่าเ้าขึ้นมาเพื่อท้าสู้กับข้า แล้วยังชอบเสแสร้งอีก ความจริงเ้าสามารถสังหารข้าได้ เสียดายที่เสแสร้งเลยเถิดมากเกินไปแล้ว จนต้องตกมาอยู่ในน้ำมือของข้า เ้าว่าคนของตระกูลหนานกงมิอาจถ่อมตนสักเล็กน้อยบ้างเลยหรือ? พ่ายแพ้แล้วก็คือพ่ายแพ้ เป็เื่ราวใหญ่โตมากนักหรือ เ้าลองดูเถี่ยมู่เหออัจฉริยะแห่งตระกูลเถี่ยสิ ผู้อื่นก็มิใช่พ่ายแพ้ในมือข้า จ้านอู๋มิ่งเช่นกันหรอกหรือ? เหมือนเช่นคนในตระกูลหนานกงของเ้าที่เส็งเคร็งขนาดนี้หรือไม่? ผู้อื่นหลังจากพ่ายแพ้แล้วทะลุทะลวงด่านยกระดับพลังยุทธ์กลางถนนทันที นี่คือสติปัญญาที่สูงส่งเพียงไร จิตใจกว้างขวางเพียงไหนละ พี่ชายดูแคลนคนอย่างพวกเ้ามากที่สุด ตนเองกลายเป็เบี้ยล่างไปแล้วชัดๆ ยังเสแสร้งแกล้งทำอยู่อีก หรือไม่รู้ว่าเสแสร้งจนเลยเถิดจะต้องถูกฟ้าผ่าเอาหรืออย่างไร?”
น้ำเสียงของจ้านอู๋มิ่งทำให้จักรพรรดิาสองคนของตระกูลหนานกงโกรธกริ้วจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ถึงคราวที่ปรมาจารย์นักยุทธ์น้อยๆ คนหนึ่งมาสั่งสอนตระกูลหนานกงั้แ่เมื่อไร น้ำเสียงเช่นนั้นของจ้านอู๋มิ่งและลีลาการพูดกับการแสดงออก อันใดเรียกว่าเสแสร้งแกล้งทำ นี่ยังไม่เรียกว่าเสแสร้งแกล้งทำอีกหรือ?
บรรดาเหล่าวีรบุรุษของใต้หล้าฟังจนตะลึงงัน ผู้าุโของแต่ละสำนักนิกายใหญ่ต่างสบตามองหน้ากัน เ้าหนูนี่ขวัญกล้ามากจริงๆ คารมคมคายร้ายกาจ ไม่ด้อยไปกว่าพลังกายเนื้อของเขาแม้แต่น้อย แถมยังเป็ตัวอันตรายถึงชีวิตอีกด้วย วิทยายุทธ์ฝึกปรือขึ้นไปจนถึงปลายลิ้นแล้ว นี่มันขอบเขตอันลึกล้ำสูงส่งเพียงใดกัน!
ผู้ที่อับอายขายหน้าที่สุดคือหนานกงฉู่ คำพูดของจ้านอู๋มิ่งยากทานทน ยิ่งกว่าเอาแส้โบยฟาดใส่ตัวเขาเสียอีก เสแสร้งแกล้งทำจนเลยเถิดไปแล้ว ตนเองมีโอกาสมากมายหลายครั้งที่จะปลิดชีพจ้านอู๋มิ่งจริงๆ แต่ว่าเขาไม่ได้ทำ เขา้าทรมานจ้านอู๋มิ่งด้วยวิธีโเี้รุนแรงให้ถึงที่สุดมาตลอด กลับคิดไม่ถึงว่าขอเพียงให้จ้านอู๋มิ่งได้มีโอกาสสักครั้ง จ้านอู๋มิ่งก็สามารถจะเอาชีวิตเขาทันที จ้านอู๋มิ่งไม่ปล่อยให้โอกาสนี้ผ่านไป จึงกลายเป็โศกนาฏกรรมของตนในตอนนี้
“ไอ้หนู ระวังคำพูดของเ้าด้วย!” หนานกงพั่วไฮว่โกรธขึ้นมาแล้วจริงๆ ปรมาจารย์นักยุทธ์น้อยๆ ผู้หนึ่งกลับหยิ่งผยองถึงเพียงนี้ เขาคือหนานกงพั่วไฮว่ ละเว้นคนผู้นี้ไว้ไม่ได้ นอกจากนี้จ้านอู๋มิ่งไม่เพียงแต่ดูแคลนตนเอง ทั้งยังพูดจาเสียดสีเหยียดหยามตระกูลหนานกงของตนอีกด้วย เห็นได้ชัดว่าไอ้หนูนี่ไม่มีความคิดที่จะประนีประนอมเลยแม้แต่น้อย
“เ้ามองดูคุณธรรมของข้าสิ พี่ชายเช่นข้ายอมรับการท่าสู้ของสำนักกระบี่ิญญา เ้าว่าตระกูลหนานกงร่วมสนุกอันใดกัน ยังโวยวายถึงเพียงนี้ เช่นนี้คอยดูแล้วกัน ในสายตาตระกูลหนานกงแล้วสำนักกระบี่ิญญาก็มินับเป็อะไรได้ หรือว่าสำนักกระบี่ิญญาไร้คนมีความสามารถแล้ว แต่กลับพ่ายแพ้ไม่ได้ ดังนั้นจึงให้ตระกูลหนานกงมาก่อกวนสถานการณ์ พวกเ้าทำเช่นนี้ไม่กลัวเหล่าบรรดาวีรบุรุษแห่งใต้หล้าจะหัวเราะเยาะเอาหรือ?” จ้านอู๋มิ่งสีหน้าพลันแปรเปลี่ยน สายตาหันมองทางสำนักกระบี่ิญญาะโเสียงดังลั่น
สีหน้าของเจิงฉู่ไฉและยอดฝีมือสำนักกระบี่ิญญาแปรเปลี่ยนไปทันที พวกเขากำลังคำนวณกันว่าหากให้ตระกูลหนานกงและจ้านอู๋มิ่งแห่งสำนักบริบาลเดรัจฉานเกิดความขัดแย้งกัน จะเป็ประโยชน์กับสำนักกระบี่ิญญามากยิ่งขึ้น
คิดไม่ถึงว่าจ้านอู๋มิ่งไม่ให้พวกตนมีโอกาสนี้ จ้านอู๋มิ่งกลับเปิดโปงความคิดของพวกตนออกมาตรงๆ ทันใดนั้นฝูงชนพากันคิดขึ้นมาได้ นี่คือความขัดแย้งระหว่างจ้านอู๋มิ่งกับสำนักกระบี่ิญญา เวลานี้สำนักกระบี่ิญญาพ่ายแพ้จนหมดรูป หน้าตาและชื่อเสียงพินาศย่อยยับ แต่ทันทีที่จ้านอู๋มิ่งกล่าวคำพูดนี้ออกมา พวกเขายังคงอดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นยืนและปกป้องความปลอดภัยของจ้านอู๋มิ่ง อย่างน้อยใน่เวลาที่จ้านอู๋มิ่งยังอยู่บนเวทีต่อสู้
“ข้ายอมรับว่าเ้าเป็อัจฉริยะที่หาได้ยากจริงๆ ความแข็งแกร่งของเ้ามีคุณสมบัติที่จะได้รับความเคารพจากสำนักกระบี่ิญญา แต่การพนันของเ้ากับสำนักกระบี่ิญญาระยะเวลาหนึ่งวัน ยังไม่ถึงตอนท้ายสุด ก็คือยังไม่ปรากฏผลแพ้ชนะ คำพูดของเ้านี้ออกจะเร็วเกินไปหน่อย” เจิงฉู่ไฉทราบว่าตนมิอาจไม่ออกมาพูดจาแล้ว แต่ว่าจะให้เขายอมรับความพ่ายแพ้โดยตรงนั้นเป็ไปไม่ได้ สำนักกระบี่ิญญาเป็หนึ่งในบรรดาสำนักชั้นนำของแผ่นดินนี้ กลับต้องมาก้มศีรษะยอมรับความพ่ายแพ้แก่เด็กน้อยผู้หนึ่ง เกรงว่ารอจนกลับถึงสำนักกระบี่ิญญา คงจะถูกบรรดาผู้าุโลงโทษให้หันหน้าเข้ากำแพงสำนึกตนแล้ว ยิ่งมิต้องพูดถึงการเลื่อนตำแหน่งของตนในอนาคตแล้ว
“ในเมื่อการพนันยังไม่สิ้นสุดและเพื่อแสดงว่าสำนักกระบี่ิญญาไร้เจตนาให้ผู้อื่นมาก่อกวน ข้าไม่้าได้ยินเสียงเห่าหอนที่เหมือนเช่นเสียงสุนัขบ้า” จ้านอู๋มิ่งพูดพลางหันศีรษะเหลือบมองไปทางหนานกงเจี้ยนเซ่อและหนานกงพั่วไฮว่คราหนึ่ง ยื่นหัวแม่มือออกค่อยๆ พลิกกลับชี้ลงล่างช้าๆ สายตาเต็มเปี่ยมการดูิ่และเหยียดหยาม
“พวกเ้าหุบปากแล้วไปอยู่ด้านข้างเสีย ที่นี่ไม่มีสถานที่ให้ตระกูลหนานกงมาพูดจา อย่าลืมว่าหนานกงฉู่คนนี้เป็ศิษย์ของสำนักกระบี่ิญญาแล้ว เขาเป็ตัวแทนของสำนักกระบี่ิญญามาท้าสู้กับข้า ก่อนหน้าที่เขาจะขึ้นมา ไม่เห็นพวกท่านขัดขวาง ตอนนี้พ่ายแพ้แล้วจึงมาส่งเสียงเอะอะโวยวายอยู่ตรงนั้น ตระกูลหนานกงเป็อย่างไรเล่า ตระกูลหนานกงก็สามารถดูิ่ข้ามหน้าข้ามตาสำนักกระบี่ิญญาและสำนักบริบาลเดรัจฉานแล้วหรือ? พวกเ้าเสแสร้งแกล้งทำเกินเลยไปแล้วกระมัง!” จ้านอู๋มิ่งสั่งสอนหนานกงเจี้ยนเซ่อและหนานกงพั่วไฮว่อย่างหยิ่งผยองรอบหนึ่ง
เสียงของจ้านอู๋มิ่งทำให้ทั่วทั้งเยี่ยนซานตั้งเงียบกริบ ไร้สรรพเสียงสำเนียงใด เหล่าบรรดาอัจฉริยะที่มาจากสถานที่ต่างๆ ของแคว้นมหาจักรพรรดิพลันพบว่าคนผู้นี้ที่มาร่วมการคัดเลือกใหญ่ของสำนักนิกายหลักพร้อมกับพวกตน ได้กลายเป็บุคคลตัวอย่างในใจของพวกเขาไปแล้วโดยมิรู้ตัว บุคคลอันดับหนึ่งบนป้ายทองอะไรนั่นล้วนเป็เื่น่าขบขัน จิติญญากล้าหาญสูงส่งเช่นนี้ ทระนงองอาจเช่นนี้ หยิ่งผยองเช่นนี้ กล้าอาศัยฐานบ่มเพาะปรมาจารย์นักยุทธ์สร้างความอัปยศแก่สองจักรพรรดิา สร้างความอัปยศแก่ตระกูลหนานกงที่ไร้ผู้ทัดเทียม นี่จึงจะเป็วีรบุรุษที่แท้จริง เป็ราชันอัจฉริยะที่แท้จริง ใต้หล้ายังมีผู้ใดสามารถเทียบเคียงเขาได้อีก พวกเขาเริ่มรู้สึกเคารพนับถือจ้านอู๋มิ่งขึ้นมาแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้