สุดเขตแดนสมุทร
ตอนที่ 38
“นั่นไง ว่าแล้ว เห็นมั้ยม่านบอกว่าจะล้ม”
รามสูรคิดว่า บางทีตัวเขาคงคิดถึงม่านหยี่มากเกินไป...
“กลับเข้ามาเร็ว เดี๋ยวเราไปซื้อไอติมกัน”
มากจนเขาได้ยินเสียงม่านในหัวตอนนี้...
“น้องเมฆดูแลน้องด้วย อย่า...-”
เสียงม่านหยี่ในหัวของเขาเงียบลงไปแล้ว
ทว่า...
กลับเป็ม่านหยี่ตัวเป็ ๆ ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้
และเด็กน้อยสองคนที่วิ่งมาชนเขาก็ไม่ใช่เพียงเสียงหัวเราะในจินตนาการของเขาอีกต่อไป
รามสูรหยุดยืนนิ่งจ้องมองภาพที่เห็นตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง ทั้งน้ำเสียง ส่วนสูง ท่าทาง หรือแม้กระทั่งรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้านั้นมันเป็ม่านหยี่ของเขาทั้งหมด ก้อนเนื้อที่เต้นอยู่ในอกข้างซ้ายโหมกระหน่ำจังหวะการเต้นของมันเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัวยิ่งในตอนที่ม่านหยี่ขยับเขยื้อนหัวใจของเขายิ่งเต้นระรัวราวกับกำลังบอกว่าภาพที่เห็นตรงหน้าคือเื่จริง เป็ม่านหยี่จริง ๆ ที่ยืนอยู่ตรงนั้น ััแปลกประหลาดที่กำลังเกิดขึ้นที่ขาทั้งสองข้างของเขาเรียกร้องความสนใจจากชายหนุ่มให้ก้มลงไปมองอะไรบางอย่างที่มีลักษณะเป็ก้อนกำลังพันแข้งพันขาเขาอยู่ จนกระทั่งสายตาและสมองพิจารณาร่วมกันจนถี่ถ้วนแล้วว่าก้อนทั้งสองที่เขาเห็นนั้นเป็เด็กตัวขาวสองคนที่กำลังดึงรั้งขากางเกงของเขาเอาไว้ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เด็กสองคนนั้นหัวเราะเอิ๊กอ๊ากออกมาอย่างชอบอกชอบใจที่ได้เล่นซ่อนแอบโดยใช้เขาเป็กำแพงบังเอาไว้ไม่ให้อีกฝ่ายเห็น เด็กผู้ชายที่ซึ่งอยู่ด้านหลังเขาโผล่มาทางซ้ายในขณะเดียวกันเด็กผู้ชายผมดำก็โผล่ไปจ๊ะเอ๋ในทางขวา เรียกเสียงหัวเราะทั้งยังเสียงกรี๊ดชอบใจได้เป็อย่างดี แต่นอกเหนือไปจากเสียงหัวเราะของเด็กน้อยทั้งสองคนแล้วนั้นเมื่อเขาพิจารณาดี ๆ ก็พบว่าเด็กชายตรงหน้ามีเค้าโครงหน้าเหมือนเขาในตอนเด็กราวกับโขลกออกมาจากพิมพ์เดียวกัน หากพาไปให้แม่เขาดูคุณนายรุ่งฤดีคงต้องเห็นด้วยกับเขาแน่ ๆ ทั้งตา จมูก ปาก หรือแม้กระทั่งเสียงหัวเราะ เหมือนพ่อมันไม่มีมีผิด...
ส่วนเด็กชายที่อยู่ด้านหลังของเขาจะว่าหน้าเหมือนเขาทั้งหมดก็เห็นจะเกินไป แต่ถ้าบอกว่าเหมือนม่านหยี่ในอีกเวอร์ชันอย่างนั้นก็เห็นจะได้อยู่ เด็กชายได้เครื่องหน้าม่านมาทั้งหมดแต่โครงหน้ากลับคล้ายเขาเสียอย่างนั้น ตาก็เหมือนม่าน จมูกก็เหมือนม่าน ปากยังเหมือนม่านหยี่เลย เวลายิ้มก็เหมือนยกม่านหยี่มาไว้ตรงหน้าของเขา หรือนี่ที่เขาเรียกกันว่าลูกแม่...
เมื่อไหร่ไม่รู้ที่รามสูรรู้สึกตัวว่าเด็กน้อยสองคนนั้นถูกพาถอยห่างออกไปจากเขาแล้ว ััของมือน้อยที่เคยเกาะกุมอยู่ที่กางเกงก็ปล่อยวางและตอนนี้เด็กน้อยทั้งสองได้กลับสู่อ้อมอกผู้ปกครองอย่างม่านหยี่เรียบร้อยแล้ว
“ม่าน...”
เ้าของชื่อไม่ได้ให้ความสนใจกับเขาและเช่นเดียวกันนั้นรามสูรก็ไม่คิดจะก้าวเท้าเข้าใกล้ม่านหยี่และลูกไปมากกว่านี้ เขาทำเพียงแค่ยืนมองม่านหยี่อยู่อย่างนั้น ห่างแค่เพียงเอื้อมมือคว้า แต่เขาก็ไม่ได้เอื้อมมันออกไปแล้วคว้าม่านมากอดไว้ เขาปล่อยให้ม่านหยี่ทำทุกอย่างที่้าทำในตอนนี้และเขาเองก็ทำเพียงแค่ยืนมอง มองม่านหยี่ใส่สายจูงให้เด็กน้อยทั้งสองคนจากนั้นม่านก็สะพายกระเป๋าขึ้นบ่า เด็กน้อยสองคนะโโลดเต้นกันไปมาอย่างสนุกสนานเสียงหัวเราะชอบใจยังคงดังอยู่อย่างนั้น
ก่อนที่ทั้งสามคนจะออกเดินทางอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้เขาจะไม่ปล่อยให้ม่านหยี่เดินทางไกลไปจากเขาอีกแล้ว
เื่ตลกคือเขาไม่รู้ว่าตนเองกำลังจะไปไหน ไม่รู้ว่าเดินมาไกลเท่าไหร่ ไม่รู้แม้กระทั่งว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนในสวนสาธารณะขนาดใหญ่แห่งนี้ ทั้งหมดที่เขารู้ในตอนนี้คือตามม่านหยี่ไป ตามม่านหยี่กับลูกแฝดทั้งสองคนของเขาไป ไม่ว่าม่านจะพาไปไหนเขาก็จะไปกับม่าน นายหัวรามสูรเฝ้ามองปฏิกิริยาของเด็กน้อยทั้งสองอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ด้วยกลัวว่าหากใกล้กว่านี้ลูกอาจใ แต่ถ้าหากไกลเกินไปเขาก็กลัวว่าจะตามไม่ทันอีก เขาเคยตามม่านไม่ทันแล้วหนึ่งครั้งเขาจะไม่ปล่อยให้มันเกิดเื่แบบนั้นขึ้นอีก รามสูรเฝ้ามองเด็กน้อยและคนรักเดินเล่นทอดน่องไปตามถนนสายใหญ่ ม่านต้องคอยจับจูงเด็กน้อยแสนซนให้เดินไปข้างหน้าด้วยเพราะสิ่งรอบข้างมันดึงดูดให้เ้าพวกก้อนแป้งทั้งสองแวะเวียนเข้าไปทักทายอยู่ตลอดเวลา ทั้งหมาสีน้ำตาลตัวโตท่าทางเป็มิตรที่ก็พยายามจูงเ้าของมันเข้ามาเพื่อทักทายลูก ๆ ของเขาเหมือนกัน ทั้งคู่รักที่เดินผ่านและโบกมือให้เด็กน้อยทั้งสอง หรือแม้กระทั่งยายแก่ที่มาเดินออกกำลังกายใน่บ่ายคล้อยของวัน ทั้งหมดทั้งมวลนั้นเรียกความสนใจจากลูก ๆ ของเขาได้เป็อย่างดี เด็กน้อยเลยเดินเซออกนอกลู่นอกทางจะตามเขาไปเสียหมด เป็มิตรกับผู้คนทั่วโลกอะไรขนาดนั้น
แต่ก็ว่าไม่ได้ถ้าลูกเขาไม่เป็มิตรคงไม่วิ่งมาเล่นซ่อนแอบกับเขาหรอก อย่างนั้นเขาก็คงไม่ได้เจอม่านกับลูก เขาต้องขอบคุณในความเป็มิตรของลูกถึงจะถูกสินะ
สามคนแม่ลูกแวะซื้อไอศกรีมที่รถขายไอศกรีมบริเวณทางออกของสวนสาธารณะ ม่านหยี่อุ้มเ้าตัวเล็กซึ่งเป็ผู้ชายขึ้นมาเลือกรสไอศกรีมอยู่สักครู่ รามสูรเห็นอย่างนั้นจึงรีบสาวเท้าเข้าไปด้วยเพราะเขาเองก็อยากอุ้มลูกเช่นกัน แต่ร่างแกร่งก็ต้องหยุดกึก เมื่อคิดได้ว่าลูกต้องใมากแน่ ๆ หากอยู่ ๆ เขาก็เข้าไปอุ้มแบบนั้น และลูกก็คงไม่ให้เขาเข้าใกล้อีก แบบนั้นคงแย่กว่าที่เป็อยู่ตอนนี้มาก ดังนั้นรามสูรจึงทำเพียงแค่เดินเข้าไปยืนเคียงข้างลูกชาย ทำทีท่าว่าตนเองเป็เพียงลูกค้าคนหนึ่งที่สนใจอยากซื้อไอศกรีมหลากรสจากชายที่แต่งตัวเหมือนซานตาครอสไว้หนวดยาวเฟื้อยเท่านั้น ไม่ได้มีจุดประสงค์ที่อยากจะอยู่ใกล้ลูก ๆ หรือแม่ของลูกแต่อย่างใด
“อร่อยมั้ยครับ”
“อร่อย...ครับ”
รามสูรอดไม่ได้จึงเอ่ยถามลูกชายออกไป นึกเอ็นดูใบหน้าน่ารักจิ้มลิ้มที่แดงระเรื่อไม่รู้เป็เพราะอากาศหรือเพราะได้กินของอร่อยกันแน่ แค่เพียงลูกบอกว่าอร่อยในใจของพ่อก็คิดว่าจะซื้อไอศกรีมไปไว้ให้กินทั้งปีบางทีเขาน่าจะวางแผนถึงเื่การทำไอศกรีมโฮมเมดขายด้วย รามสูรเงยหน้ามองม่านหยี่ที่กำลังควักกระเป๋าสตางค์ออกมาเพื่อจ่ายเงินไอศกรีมทั้งสองแท่งแต่เขาเร็วกว่านั้นรามสูรควักเอาธนบัตรมูลค่าสิบดอลลาร์ออกมาแล้วยื่นให้คนขายพลางบอกว่าเขาเลี้ยงเอง ชายแก่ไม่ได้พูดอะไรทำเพียงรับเงินไปเท่านั้น รามสูรไม่รอเงินทอนเขาออกเดินทางต่อเมื่อม่านกับลูกเดินหน้าต่อ เด็กน้อยสองคนส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวแข่งกับเสียงนกที่เกาะอยู่บนปลายกิ่งไม้จนตอนนี้เขาเริ่มจะแยกไม่ออกแล้วเสียงไหนคือเสียงลูก ๆ ของเขา หรือเสียงไหนคือเสียงนกร้อง แต่พอฟังไปก็เพลินดีเหมือนกัน...
เขาไม่เคยจินตนาการถึงการมีลูกมาก่อนเลย ยิ่งลูกแฝดยิ่งไม่เคยคิดฝันถึงเื่นั้นเพราะใครต่อใครก็รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับม่านหยี่เราเป็ผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ เราไม่เคยพูดถึงเื่มีเด็กเพราะเรายังเด็ก เขาไม่เคยคิดภาพตนเองตอนเป็พ่อ ม่านก็คงเหมือนกัน แต่แล้วชีวิตกลับพลิกผันกลายเป็ว่าม่านมีเด็กและเขาก็เป็พ่อคนในวัยยี่สิบสองปีเท่านั้น มันไม่ใช่เื่น่าตลกขบขันสักเท่าไหร่หากแต่อาจพูดได้ว่าเป็เื่มหัศจรรย์เหนือความคาดหมายเสียมากกว่า
ไม่ว่าจะตอนกลางวันหรือกลางคืนมหานครแห่งนี้ก็คลาคล่ำไปด้วยผู้คนและรถยนต์ที่สัญจรไปมาอยู่บนท้องถนน แสงไฟของเมืองหลวงถูกฉายชัดขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกันเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน เขาเดินตามม่านหยี่มาเรื่อย ๆ จนกระทั่งสามแม่ลูกเปิดประตูเข้าไปยังร้านอาหารไทยร้านใหญ่แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่หัวมุมถนนฟิฟต์อเวนิว รามเลยเอาบ้างเขากะว่าจะตามม่านหยี่ไปจนกว่าจะหาโอกาสที่เหมาะสมคุยกันได้ แต่แล้วเขาก็ต้องพบว่าด้านในร้านดูยุ่งวุ่นวายไม่แพ้กันกับข้างนอกเลย ทั้งเสียงะโโหวกเหวกโวยวายเป็ภาษาไทย เสียงกระทบของเครื่องครัวดังโฉ่งฉ่าง ทั้งยังเปลวไฟและควันสีเทาพวยพุ่งออกมาจากเตาแก๊สด้านหลังเคาน์เตอร์ซึ่งเขาคิดว่านี่น่าจะเป็จุดขายของร้านอาหารไทยร้านนี้ รามสูรกวาดสายตาหาม่านหยี่ท่ามกลางลูกค้าและพนักงานเสิร์ฟที่เดินสวนกันไปมา เขาเห็นแค่แผ่นหลังของม่านที่กำลังเดินขึ้นบันไดไปชั้นบนของตัวอาคาร ในขณะที่รามกำลังจะเดินตามไปนั้นเขาก็รู้สึกได้ว่าตรงหน้านั้นมีบางสิ่งกำลังกีดขวางทางเดินเขาอยู่
“พี่เพน”
“จะไปไหน” หญิงสาวถามน้ำเสียงเอาเื่
“จะไปตามม่าน”
“ไปไม่ได้” เ้าของร้านว่าพลางยกสองแขนขึ้นมากอดอก สองขาสั้นป้อมของเธอยังยืนจังก้าท้าทายชายร่างสูงตรงหน้าอย่างไม่มีคำว่าเกรงกลัว
“...พี่เพน ผม ม่าน! ม่าน!”
“นี่! ไม่ได้ นายรามสูร น้องชายอัสนี ไปเลยออกไปเลย”
“พี่ผมขอ ให้ผมเจอม่านนะ ผมขอร้องละ” นี่จะเป็อีกครั้งที่เขาจะเสียม่านหยี่ไปอย่างนั้นเหรอ อุตส่าห์ได้เจอกันแล้วแท้ ๆ
“ไม่ได้ จะมาอยากเจออะไรตอนนี้! ไม่ได้ ออกไปเลย ไม่ให้เจอ!” หญิงสาวทั้งผลักทั้งดันชายหนุ่มรุ่นน้องให้ออกไปจากร้าน พฤติกรรมแปลกประหลาดนี้เรียกความสนใจของฝรั่งตาน้ำข้าวทั้งหลายที่กำลังนั่งรับประทานอาหารในร้าน
“ออกไปไม่อย่างนั้นฉันจะแจ้งตำรวจ”
“...พี่”
“และไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก ที่นี่ไม่ต้อนรับพวกเธอ โดยเฉพาะเธอรามสูร!”
เ้าของร้านยื่นคำขู่เอาไว้พร้อมกันนั้นก็ยืนจ้องหน้าเขาไม่ยอมขยับไปไหน เขาเชื่อว่าเธอเอาจริงแน่เื่แจ้งตำรวจและเขาก็ไม่ควรจะท้าทายเื่นี้ในต่างประเทศเช่นนี้ ดังนั้นรามสูรเลยจำใจถอยออกมาจากร้านและเดินไปนั่งยังม้านั่งเหล็กตัวเก่าที่มันตั้งอยู่หน้าร้านอาหารพอดิบพอดี เขาจ้องมองผ่านประตูกระจกขนาดใหญ่เข้าไปในร้านพยายามเพ่งสายตาเพื่อหาม่านหยี่กับลูกชายทั้งสองแต่สุดท้ายก็พบแต่ความผิดหวัง
ทว่า...ความรู้สึกที่เหมือนมีคนมองอยู่ก็เรียกให้ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นไปมองยัง้า และใช่...เป็ม่านหยี่ที่พลิกตัวหลบออกไปจากหน้าต่างบานใหญ่ทันที
แค่เพียงเสี้ยววินาทีที่สายตาเราสบกัน...เขาก็รู้ว่าม่านยังคงรอเขาอยู่เหมือนกัน
ผู้ปกครองลูกสองสูดหายใจเข้าออกลึกเท่าที่จะลึกได้ พลางยกมือขึ้นมากุมเอาไว้บนอกข้างซ้ายที่ซึ่งหัวใจของเขากำลังเต้นเร็วระรัวคิดว่าไม่กี่วินาทีข้างหน้ามันคงจะหลุดออกมาเต้นข้างนอกแล้วแน่ ๆ หากเขากับลูกไม่ถึงบ้านสักที เหตุการณ์ในวันนี้เป็เื่เหนือความคาดหมาย เหตุสุดวิสัย เื่บังเอิญหรือจะอะไรก็ช่าง แต่การที่ลูกทั้งสองของเขาวิ่งโร่ไปเล่นซ่อนแอบกับพ่อที่ไม่เคยเจอกันเลยตั้งสามปีอย่างนี้มันจะแปลกไปไหมนะ หรือเป็เื่ปกติ สำหรับม่านหยี่แล้วเป็เื่อันตรายต่อใจอย่างถึงที่สุด เขาแทบจะกลั้นหายใจมาตลอดทางเดินกลับบ้าน เด็กน้อยสองคนก็นะช่างจ้ออะไรขนาดนั้น ทักทายผู้คนซ้ำยังเล่นหัวร่อต่อกระซิกกับคนอื่นไปทั่ว ดีนะที่ลูก ๆ ไม่ถามเขาว่าผู้ชายที่เดินตามหลังมาคนนั้นคือใคร เพราะเขาก็ไม่รู้จะบอกลูกอย่างไรเหมือนกัน ม่านใช้ชีวิตอยู่อเมริกามาเป็เวลาสามปีกว่าแล้วั้แ่ที่เขาตกลงกับคุณหมอที่ประเทศไทยว่าจะเข้าร่วมโครงการวิจัยซึ่งอยู่ในการดูแลของแพทย์สหรัฐอเมริกา เื่ที่เขาท้องถูกดำเนินการอย่างลับ ๆ โดยกลุ่มแพทย์และนักวิจัยทั้งไทยและอเมริกา จนกระทั่งตอนนี้ม่านหยี่และลูกทั้งสองได้มาใช้ชีวิตที่อเมริกาอย่างเต็มตัว
ใช่...เขามีลูกแฝด สามปีก่อนในท้องของเขามีเด็กแฝดสองคนอยู่ในนั้น ไม่มีใครรู้ ม่านไม่รู้ คุณหมอก็ไม่รู้ จนกระทั่งเข้าเดือนที่เจ็ดในขณะตรวจร่างกายเด็กน้อยคนที่สองก็นำพาความประหลาดใจมาให้ทุกคนในห้อง ลูกชายอีกคนของเขาชอบเล่นซ่อนแอบเสียจนเข้าเดือนที่เจ็ดพวกเราถึงรู้ว่ามีน้องหมอก ที่กำลังจะลืมตาดูโลกพร้อมกับน้องเมฆ
เหมหิรัญ สิริลักษณ์
เมฆลา สิริลักษณ์
ถึงแม้ว่าชื่อของเด็กฝาแฝดทั้งสองอาจดูขัดแย้งกันไปบ้าง เนื่องจากเหมหิรัญคือชื่อของั์รามสูรเมื่อครั้งได้ไปจุติเป็ั์อยู่บนสรวง์ ส่วนเมขลานั้นเป็ชื่อของนางฟ้าผู้ซึ่งเป็ศัตรูกับั์รามสูร ทั้งสองไม่ถูกกันสักเท่าไหร่ ทุกครั้งที่เกิดพายุฝนฟ้าคะนองฟ้าแลบแปลบปลาบล้วนเกิดจากการที่นางเมขลาใช้ลูกแก้วยั่วโมโหั์รามสูรทั้งนั้น แต่ถึงอย่างไรลูกชายของเขาสองคนนี้ก็ถูกเลี้ยงมาด้วยความรักและความใส่ใจจากทั้งตัวม่านหยี่เองและพี่ ๆ คนไทยในร้านอาหารไทยแห่งนี้ ทุกคนเข้าใจว่าเขาเป็พ่อเลี้ยงเดี่ยวที่โดนภรรยาทิ้งให้ดูแลลูกทั้งสองคนเพียงคนเดียว จะมีก็แต่พี่เพนนีผู้ซึ่งรู้ความจริงทั้งหมดว่าม่านหยี่สามารถท้องได้และเด็กสองคนนี้เขาก็เป็คนอุ้มท้องมาเก้าเดือน
ม่านบังเอิญเจอกับพี่เพนนีเมื่อครั้งที่กำลังตั้งท้องได้หกเดือน หญิงสาวเข้ามาทักทายเขาและมองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยจนเขาไม่อาจเก็บงำความลับนั้นเอาไว้ได้ม่านจึงได้บอกกับเธอไป กลายเป็ว่าพี่เพนนีพยายามดูแลเขาและคอยอยู่เป็เพื่อนมาตลอดั้แ่ตอนนั้นทั้งยังรับเขาเข้าทำงานในร้านอาหารที่เธอร่วมลงทุนกับแฟนหนุ่ม ม่านเข้าพักยังชั้นบนของตึกแห่งนี้ที่มีพี่ ๆ คนไทยอาศัยอยู่ ม่านหยี่กลายเป็นักบัญชีและนักวางแผนการตลาดให้กับร้านอาหารไทยใจกลางมหานครนิวยอร์ก พี่ ๆ คนไทยที่อยู่ที่นี่ช่วยกันเลี้ยงหลานชายสองคนให้เติบโตขึ้นมาอย่างดี ถึงแม้เหมหิรัญหรือน้องหมอกจะมีนิสัยนิ่งขรึมชนิดที่ว่าลูกชายของเขาสามารถนั่งนิ่ง ๆ เงียบ ๆ เพียงคนเดียวได้ทั้งวันโดยที่ไม่ต้องพูดกับใคร ม่านเคยกังวลว่าลูกชายของเขาอาจเป็เด็กพัฒนาการช้าหรือมีความผิดปกติทางสมองแต่เมื่อตรวจร่างกายโดยละเอียดและพบแพทย์ประจำตัวที่เฝ้าติดตามอาการแล้วนั้นคุณหมอก็บอกว่าลูกชายของเขาไม่ได้มีความผิดปกติอะไรเพียงแค่เป็เด็กไม่ค่อยพูดสักเท่าไหร่ แตกต่างจากน้องเมฆผู้ซึ่งเป็พี่ชายรายนั้นช่างจ้อช่างถาม ทำเอาพี่ ๆ ในร้านเหนื่อยที่จะตอบคำถามเด็กชายไปเลย เด็กสองจะอารมณ์ดีเมื่อได้ออกไปเล่นที่ปาร์คหรือสวนสาธารณะดังนั้นทุกบ่ายคล้อยของทุก ๆ วันม่านจะพาเด็กทั้งสองออกไปเดินรับลมเย็นกับอากาศสดชื่น ๆ เพื่อให้ลูกชายได้ัักับธรรมชาติจากใจกลางเมืองใหญ่แห่งนี้
แต่ใครจะไปคิดว่าการออกไปเดินเล่นในครั้งนี้จะบังเอิญพบกับพ่อของลูกเข้าให้...
เขาไม่ได้คิด รามก็คงไม่ได้คิดเช่นกัน เขาคิดแค่ว่าวันนี้เป็วันที่อากาศดีอีกวันหนึ่ง ไม่หนาวจนเกินไป ไม่ร้อนจนเกินไป คนไม่เยอะ และต้นไม้นานาพรรณกำลังเปลี่ยนสี เขาคิดเพียงแค่นั้น ไม่ได้คิดว่าจะเจอกับรามสูร ณ ที่ใดที่หนึ่งข้างนอกนั่น ดังนั้นเมื่อเราเจอกันเขาเลยใจนทำอะไรไม่ถูก
ราวกับว่าสติถูก่ชิงออกไปในตอนที่เด็กน้อยทั้งสองคนวิ่งไปเล่นซ่อนแอบหลังพ่อ เด็กนี่ก็นะช่างรู้งานอะไรขนาดนั้นก็ไม่รู้ ทันทีที่คว้าตัวลูกไว้ได้ม่านก็ต้องสวมสายจูงทั้งมือที่สั่นเทาและพาลูกชายทั้งสองเดินกลับบ้านเลยทันที เพราะไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไปดีอย่างนั้นเขาเลยขอกลับมาตั้งหลักที่บ้านก่อนก็แล้วกัน เขาไม่ได้โกรธรามสูร ไม่มีความจำเป็อะไรต้องโกรธอีกฝ่ายเลย รามเป็คนดีและดีกับเขามาโดยตลอด ถึงแม้รามจะไม่อาจรับได้กับการที่ต้องรู้ว่าเขาท้องได้ถึงอย่างนั้นรามสูรก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร เป็เขาเสียอีกที่ทำร้ายอีกฝ่ายเอาไว้มากเกินกว่าจะให้อภัยได้ อย่างนั้นเขาเลยไม่มีสิทธิ์จะไปโกรธราม
เรารับมือเื่นี้ได้ดีแย่ต่างกันไป เขารับมือกับเื่ที่ตัวเองมีเด็กได้แย่ถึงขั้นที่ว่าไม่้าเก็บเด็กเอาไว้ การทำแท้งสำหรับเขาไม่ใช่เื่ผิดบาปเพราะทุกครั้งที่เขาหันมามองตัวเองที่เกิดมาบนโลกใบนี้แล้วเจอกับเื่ราวเลวร้ายต่าง ๆ นานาที่เคยผ่านมานั้น สู้ไม่ให้ลูกเกิดมาเสียจะดีกว่า ส่วนรามสูรนั้นรับมือกับเื่นี้ได้แย่ยิ่งกว่า ถึงขั้นที่รามหนีหายไปเลยแต่ก็อย่างที่ว่า เขาไม่โกรธรามและเข้าใจดี แต่ด้วยข้อจำกัดทางการแพทย์ที่ทำให้ไม่สามารถทำแท้งได้อีกทั้งเมื่อม่านเข้าร่วมการวิจัยกับทีมแพทย์แล้วเขาก็จะได้รับค่าตอบแทนก้อนโตและการดูแลรักษาตลอดชีวิต ดังนั้นม่านหยี่เลยตัดสินใจย้ายมาที่สหรัฐอเมริกาโดยทันทีหลังจากที่ได้รับรายละเอียดพวกนี้จากคุณหมอที่ประเทศไทย เขายังติดต่อกับลุงตี๋อยู่บ้างแต่ไม่บ่อยนัก คุณหมอคอยสอบถามอาการและชีวิตความเป็อยู่ของเขา ส่วนม่านหยี่นั้นก็เผลอถามถึงรามสูรออกไปโดยไม่รู้ตัว
“ม่านครับน้องหิวข้าว”
แรงกระตุกชายเสื้อเรียกความสนใจจากคนที่ยืนหลบมุมอยู่ที่ข้างหน้าต่าง น้องเมฆลูกชายของเขากำลังบอกว่าตนเองและน้องเริ่มหิวแล้วหลังจากที่พากันวิ่งเล่นไปทั่วปาร์คเมื่อตอนบ่ายที่ผ่านมา ซ้ำเมฆยังยิ้มหวานทักทายคนอื่นไปทั่วอย่างนี้จะไม่ให้หิวได้อย่างไร
“เย็นนี้อยากกินอะไรครับ” ร่างบางย่อตัวลงนั่งคุยกับลูกชาย น้องหมอกเดินเข้ามาสมทบในมือถือสีเทียนกับสมุดภาพระบายสีเอาไว้ ม่านหยี่มองหน้าเด็กสองคนที่ทำท่าครุ่นคิดโดยเฉพาะคนพี่ที่เล่นหูเล่นตาสีหน้าท่าทางน่ามันเขี้ยว แอบหนักใจไม่ใช่น้อยหากว่าโตไปลูกชายของเขาต้องเ้าชู้มากแน่ ๆ ดูทรงแล้ว ส่วนคนน้องอย่างน้องหมอกนั้นก็เอียงหัวเล็กน้อยพอให้เขารู้ว่าลูกชายคนเล็กกำลังคิดหนักเื่เมนูอาหารเย็นนี้
“เอางี้ม่านว่าเราออกไป-...”
ยังไม่ทันพูดจบก็ต้องกลืนประโยคที่เหลือลงคอเพราะหากเขาออกไปหาอะไรทานที่ข้างนอกตอนนี้ก็ต้องเจอกับรามแน่ ๆ เขายังรับมือกับความบังเอิญครั้งนี้ไม่ไหว ม่านยังไม่รู้ว่าเราสองคนสมควรจะทักทายกันแบบคนรู้จักดีหรือไม่ แม้ว่าดูท่าแล้วพ่อของเด็กสองคนนี้อาจอยากคุยกับเขา แต่ม่านก็ไม่รู้ว่าการคุยกันครั้งนี้มันจะดีหรือร้ายอย่างไร เขาเลยไม่ทักทายรามไปและไม่บอกกับลูกว่าคนที่เดินตามมาตลอดทางกลับบ้านนั้นคือพ่อ
“อยากกินอาหารไทยมั้ย”
“อื้อ ๆ หนูอยากกินแซนด์วิช”
“แซนด์วิชคืออาหารอเมริกันลูก” ม่านหยี่นึกเอ็นดูเด็กน้อยเมฆกับหมอกเข้าใจว่าอาหารทุกอย่างบนโลกคืออาหารไทย ม่านต้องคอยพูดภาษาไทยกับลูกด้วยเพราะกลัวว่าลูกชายของเขาจะพูดและฟังภาษาไทยไม่เข้าใจ แต่เขากลับคิดผิดเมื่อพี่ ๆ คนไทยข้างล่างก็รัวภาษาไทยใส่หลานกันใหญ่ อย่างนี้ลูกชายของเขาเลยกลายเป็เนทีฟสปีคเกอร์ภาษาไทยและภาษาอังกฤษไปโดยปริยาย
“แต่ม่านอยากกินแซนด์วิชมั้ย”
“ม่านอยากกินอะไรดีนะ” คราวนี้ม่านหยี่ทำท่าสงสัย เราสามคนมักจะมีปัญหากับเมนูอาหารเสมอ ด้วยเพราะหลายครั้งมันก็ซ้ำซากจำเจเสียจนน่าเบื่อ หากว่าจะออกไปทานข้างนอกก็ราคาแพงและมีรสชาติไม่ถูกปาก อาหารอเมริกันส่วนมากก็มีแต่ของทอดและแป้งเสียส่วนใหญ่ถึงแม้ว่าม่านจะพยายามหลีกเลี่ยงแล้วแต่เขาก็รู้สึกว่าตนเองตัวอ้วนตุ้บมากกว่าตอนที่มาถึงแรก ๆ อยู่พอสมควร ม่านไม่อยากให้ลูกชายทั้งสองติดกินของทอดเราเลยทำอาหารกินกันเองเสียส่วนใหญ่
“วันนี้ม่านคิดไม่ออกเลย”
“ข้าวเตียว ๆ มั้ย”
น้องหมอกเสนอเมื่อเห็นว่าม่านกับพี่ชายครุ่นคิดเอียงหัวไปมา
“ก๋วยเตี๋ยวเหรอ?”
“ข้าวเตียว”
“ที่มีเส้นใช่มั้ยครับ”
“เยส ๆ ” เด็กชายหมอกพยักหน้าขึ้นลง
“เขาเรียกก๋วยเตี๋ยว”
“กวยเทียว”
ไปกันใหญ่เลยทีนี้ ทีแรกเกือบถูกอยู่แล้วเชียวนะหมอก
“ก๋วย มองปากม่าน ก๋วย”
“กวย” ม่านหยี่กลัวใจเหลือเกินว่าลูกชายจะเผลอเปลี่ยนพยัญชนะต้นจาก ก.ไก่ เป็ ค.ควาย
“ก๋วย...เตี๋ยว” เขาพยายามเอ่ยคำว่าก๋วยเตี๋ยวช้า ๆ เพื่อให้ลูกชายทั้งสองตามทัน แต่ถึงอย่างนั้น
“กวย...เตียว” ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเมื่อลูกชายทั้งสองยังพูดคำว่ากวยเตียวอยู่ แต่ม่านก็ไม่ได้เร่งรัดอะไรเขาทำเพียงระบายยิ้มออกมาเบา ๆ เข้าใจว่าเป็ธรรมชาติของเด็กน้อยที่จะยังไม่สามารถออกเสียงวรรณยุกต์ได้
คุณพ่อมือใหม่กลางเก่าละมือจากความพยายามให้ลูกชายทั้งสองคนออกเสียงคำว่าก๋วยเตี๋ยวได้ ไปลงมือทำอาหารในห้องครัวโดยมีตัวป่วนคือเด็กน้อยสองคนที่วิ่งเล่นหยอกล้อกันไปมา น้องหมอกดูจะคึกคักกว่าทุกวันคงเป็เพราะสองสามวันนี้เราไม่ได้ออกไปไหนเลยเพราะที่ร้านยุ่งอยู่ตลอดเวลาเขาเลยไม่มีเวลาพาลูก ๆ ออกไปเดินเล่น พอเด็ก ๆ ได้เจอธรรมชาติใน่นี้ลูกชายของเขาเลยอารมณ์ดีเป็พิเศษ เด็กสองคนวิ่งเข้าไปในห้องนอนได้ยินเสียงเล่นในบ้านจำลองที่เราสามคนสร้างขึ้นจากผ้าห่มและอุปกรณ์ง่าย ๆ ที่หาได้ในบ้าน มันเป็เสมือนหลุมหลบภัยและบ้านหลังน้อยให้พวกเราทั้งสามคน สักพักก็ได้ยินเสียงเท้าทั้งสองคู่วิ่งไล่กันไปมาพลางเสียงกรี๊ดหัวเราะชอบใจ ม่านคอยสอดส่องดูลูก ๆ ในขณะที่ตนเองก็ลงมือทำอาหารไปด้วย
ทว่าเมื่อมองออกไปยังนอกหน้าต่างฟ้าใจกลางเมืองนิวยอร์กกลับมืดครึ้มรามกับว่าฝนกำลังจะตกอีกไม่กี่อึดใจต่อจากนี้
“ฝนหลงฤดูหรือยังไง” ม่านหยี่พึมพำกับตนเอง พลางเหลือบตาลงไปมองยังม้านั่งด้านล่างที่ซึ่งใครบางคนยังคงนั่งรออยู่อย่างนั้นไม่ยอมลุกไปไหน
“จริง ๆ เลยนะรามสูร ถ้าฝนตกจะทำยังไง” ถามในคำถามที่ตนเองก็รู้คำตอบอยู่แล้ว